ความนิ่งสงบได้แผ่ซ่านไปทั่วห้องโถงใหญ่ของศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกครั้ง
คำพูดของลู่โจวเมื่อครู่นี้ทำให้ทุกคนตื่นตกใจ
‘เจ้าบ้าคนนี้น่ะหรอเป็นเจ้าชายองค์ที่สาม? ‘
‘ท่านอาจารย์เลอะเลือนไปรึเปล่า? ‘
เหล่าสาวกทั้งหลายต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครที่จะกล้าพอที่จะพูดความคิดนี้ออกมา
เจียงอาเฉียนรู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ และเมื่อตัวเขาได้สติอีกครั้ง เขาก็ได้เริ่มพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโส ท่านก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันนะ! ข้าจะไปเป็นเจ้าชายองค์ที่สามได้ยังไงกัน? “
ลู่โจวคิดอยู่แล้วว่าเจียงอาเฉียนจะไม่ได้ยอมรับในทันที ในตอนนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างเยือกเย็น “ศิษย์ทรยศของข้ายี่เทียนซินได้ใช้เวลาถึง 5 ปีด้วยกันกว่าที่จะแทรกซึมไปที่หอจดหมายเหตุในพระราชวังได้ ผลสุดท้ายแล้วสิ่งที่นางหาเจอมีเพียงเบาะแสเดียว เบาะแสที่ข้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเหตุกวาดล้างในหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์ แต่ถึงแบบนั้นผู้ฝึกยุทธอย่างเจ้ากลับพบความจริงได้ในเวลาอันสั้น เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไงกัน? “
เจียงอาเฉียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมา “ข้าบอกท่านไปแล้วไง ว่าข้ามีสหายอยู่ที่พระราชวัง”
ฮั๊ววู่เด๋าที่เพิ่งเข้ามาในห้องโถงได้เริ่มเอ่ยปากถามขึ้น “สหายแบบไหนกันที่จะหาข้อมูลลับสุดยอดแบบนั้นมาได้? “
“…” เจียงอาเฉียนถึงกับพูดไม่ออก
ฮั๊ววู่เด๋ายังคงพูดต่อไป “สวัสดีฝ่าบาท” ฮั๊ววู่เด๋าเป็นชายผู้ที่มาจากสำนักหยุน และเพราะแบบนั้นเขาจึงไม่เข้าใจมารยาทและพิธีรีตองอันซับซ้อนของเหล่าราชวงศ์
เมื่อเห็นแบบนั้นด้วยความเคยชินที่เจียงอาเฉียนมีก็ทำให้เข้าเผลอพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ท่านเรียกผิดไปตามพิธีการนะ” แต่เมื่อเจียงอาเฉียนรู้ตัว เขาก็ได้เอามือปิดปากของตัวเองในทันที หลังจากนั้นเขาก็รีบพูดออกมาอย่างเร่งรีบ “เข้าใจผิดน่ะ! แค่เข้าใจผิดเท่านั้น! ทุกท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป…” จนท้ายที่สุดแล้วเจียงอาเฉียนก็ได้ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะพูดขึ้น “ก็ได้…”
ฮั๊ววู่เด๋าที่เห็นแบบนั้นก็ได้ยืนตรงขึ้นด้วยความเคารพ
ลู่โจวพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกไป “ข้าน่ะมีเวลาล้นหลาม ข้าไม่ได้กังวลไปหรอกว่าเจ้าจะไม่ยอมรับมัน”
เจียงอาเฉียนพูดออกมาก่อนที่จะถอนหายใจ “ข้าน่ะต้องเจอปัญหามากแค่ไหนกว่าที่จะส่งข่าวมายังศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ท่านผู้อาวุโส ตัวข้าได้พลาดไปจริงๆ “
หมิงซี่หยินที่ได้ยินแบบนั้นได้พูดแทรกขึ้น “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว! เจ้าชายอย่างเจ้าก็เป็นได้แค่อุปสรรคของพวกเราชาวศาลาปีศาจลอยฟ้า! “
เห็นได้ชัดว่าเจียงอาเฉียนได้หลอกใช้ศาลาปีศาจลอยฟ้า ในโลกนี้จะมีใครกล้าพอที่จะทำแบบนั้นได้? แม้แต่ยู่เฉิงไห่จากสำนักทางใต้เองก็ยังไม่แม้แต่จะกล้าทำ
เจียงอาเฉียนรีบโบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “ช่างน่ารังเกียจ น่ารังเกียจอะไรแบบนี้! ข้าอยากที่จะบอกกับท่านผู้อาวุโสมาโดยตลอด ข้าน่ะเกลียดแผนการอันชั่วร้ายและการหลอกลวงภายในพระราชวังมาก และเพราะแบบนั้นนั่นคือเหตุผลที่ข้าออกจากพระราชวังมาเพื่อทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ ไม่ว่าข้าจะเจออุปสรรคมากมายสักแค่ไหน ข้าก็ไม่อยากที่จะกลับไปเป็นเจ้าชายอีกต่อไป”
ฮั๊ววู่เด๋าที่ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “องค์ชาย ทำไมท่านถึงต้องการตัดสัมพันธ์กับทางพระราชวังกันล่ะ? “
เจียงอาเฉียนถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามของฮั๊ววู่เด๋า “แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าชายก็จริง แต่ถึงแบบนั้นข้าก็มีเพื่อนดีๆ เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ท่านอยากที่จะหัวเราะข้าก็เชิญเลย แต่ตัวข้าน่ะชอบใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปมากกว่า แต่ถึงแบบนั้นการจะเอาตัวรอดในโลกยุทธภพได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะแบบนั้นข้าเลยเลือกใช้นามแฝงเจียงอาเฉียนเพื่อที่จะเป็นชาวยุทธในโลกยุทธภพแห่งนี้”
“ผู้คลั่งไคล้ดาบทั้งสามล้วนแต่มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น เป็นที่น่าประทับใจมากที่องค์ชายสามารถฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นนั้นได้” ฮั๊ววู่เด๋าพูดออกมาอย่างเคารพนับถือ
“นั่นก็เป็นแค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้นแหละ…” เจียงอาเฉียนพูดออกมา
“ช่างเป็นคำพูดที่ยอดเยี่ยมซะจริง! ” ลู่โจวได้พูดขัดจังหวะขึ้น “มันจะยอดเยี่ยมกว่านี้มากถ้าหากเขาไม่ได้ทรยศพี่ชายของตัวเองแบบนี้น่ะ? “
เจียงอาเฉียนถึงกับผงะ
‘ผู้ที่บงการเบื้องหลังเหตุกวาดล้างหมูบ้านปลามังกรสวรรค์ก็คือองค์ชายคนที่สอง ไม่เพียงแต่องค์ชายคนนี้จะไม่ปกป้องพี่ชายของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามแทงข้างหลังผู้เป็นพี่อีกด้วย ใครจะไปเชื่อกันว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำเพราะเหตุผลส่วนตัวน่ะ? ‘
สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่เจียงอาเฉียน สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับในตอนนี้ศาลผู้พิพากษากำลังพิจารณาความผิดของจำเลยอยู่ เจียงอาเฉียนเป็นตัวละครที่กลายเป็นจำเลยไป
เจียงอาเฉียนถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้น “คนที่เหลาะแหละมากที่สุดในใต้หล้านี้ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกนอกซะจากเจ้าชายอย่างข้า”
ภายในกำแพงพระราชวัง นอกเหนือจากระเบียบการและกฎเกณฑ์ต่างๆ แล้วก็ไม่มีอะไรสำคัญนอกเหนือไปจากพลังและสถานะอีกต่อไป พระราชวังไม่ใช่สถานที่ที่จะมีความสัมพันธ์กันในครอบครัว
ลู่โจวได้ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเรามากลับเข้าเรื่องกันเถอะ ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าตัวข้ากำลังต้องการที่จะตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์กันล่ะ? “
“ก็เพราะศิษย์คนที่หกของท่านไม่ใช่หรอไง? ” เจียงอาเฉียนพูดออกมาอย่างสับสน
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดแน่…เจ้ารู้จักฝานเชียวสินะ? “
ฮั๊ววู่เด๋าได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของฝานเชียว “ฝานเชียวเป็นหนึ่งในสมาชิกสำนักหยุนของข้าเอง”
หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดโต้กลับไป “ผู้อาวุโสฮั๊ว คิดถึงจุดยืนของท่านในปัจจุบันด้วย ฝานเชียวน่ะได้ปลอมตัวเป็นอาจารย์ของข้าเพื่อที่จะก่อกรรมไปทั่ว เจ้านั่นน่ะดูหมิ่นอาจารย์ของข้าและพวกเราชาวศาลาปีศาจลอยฟ้า กฎก็ต้องเป็นไปตามกฎ เจ้านั่นน่ะสมควรที่จะถูกสับออกเป็นแปดชิ้นแล้วโยนให้เหล่าสัตว์อสูรที่อยู่เชิงเขากินซะ! “
“…” ใบหน้าอันชราของฮั๊ววู่เด๋าเปลี่ยนไปเป็นสีแดง ในตอนที่ตัวเขาตัดสินใจที่จะอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ตัวเขาก็เท่ากับว่าได้ออกจากสำนักหยุนมาแล้วอย่างเต็มตัวนั่นเอง
“ข้าเคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง” เจียงอาเฉียนตอบกลับมาอย่างมืดมน
“ฝานเชียวบอกข้าถึงเรื่องความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในแม่น้ำมังกรสวรรค์ เจ้านั่นบอกกับข้าเรื่องกระดูกพิเศษมา” ลู่โจวพูดขึ้น
“เป็นอย่างงั้นเองหรอ? ” เจียงอาเฉียนเกาหัวตัวเอง
“เจียงอาเฉียน…เจ้าคิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายๆ อย่างงั้นหรอ? ” แม้ว่าดวงตาของเจียงอาเฉียนจะขุ่นมัว แต่ถึงแบบนั้นเขากลับมองเจียงอาเฉียนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เจียงอาเฉียนรู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็โต้ตอบอะไรกลับไปไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เลือกที่จะพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสรู้เรื่องดีหมดทุกอย่างแล้ว ทำไมท่านถึงต้องถามออกมากันด้วย”
ลู่โจวได้พูดถามออกไปอีกครั้ง “พระราชวังได้งมหากระดูกจากแม่น้ำนั่นมานานกว่าทศวรรษแล้ว เจ้าคิดว่าพระราชวังจะหาอะไรเจอไหม? “
“ไม่”
“กระดูกพิเศษพวกนั้นคืออะไรกันแน่? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอีกครั้ง
“เอ่อ…” เจียงอาเฉียนจ้องมองไปรอบๆ ตัวเอง ดูเหมือนว่าตอนนี้ตัวเขากำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอย่างไม่ละสายตา
ลู่โจวไม่ได้สนใจอะไร เขาพูดต่อไปอีกครั้ง “เจ้าควรจะเข้าใจจุดยืนของตัวเอง ในตอนนี้การจะปกปิดข้าต่อไปมันเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายแล้ว”
เจียงอาเฉียนได้คารวะไปที่ลู่โจว ในตอนนั้นเองท่าทีที่ขี้เล่นของเขาได้หายไปอย่างสนิท “ข้าไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องโกหกท่าน ท่านผู้อาวุโส ข้าพูดตามจริงทั้งหมด ข้าคิดว่าคนจากพระราชวังพวกนั้นคงจะลืมไปแล้วซะด้วยซ้ำว่าข้าเคยออกจากพระราชวังมา ข้าน่ะได้ทิ้งพระราชวังมาหลายปีแล้ว ตัวข้าเองก็ไม่มีสหายอยู่ในพระราชวังมากมายเท่าไหร่ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าพระราชวังอาจจะไม่มีองค์ชายคนที่สามอีกต่อไป” เจียงอาเฉียนได้หยุดกลืนน้ำลายก่อนที่จะพูดต่อไป “ในตอนที่ข้ากำลังสืบหาความจริงที่แม่น้ำสวรรค์ คนของข้าทั้งสองคนก็ได้ถูกสังหารไป ข้าเองไม่สามารถตำหนิใครได้เลยเพราะตัวข้าไร้ความสามารถเอง”
ห้องโถงใหญ่ได้เงียบสงบอีกครั้ง
หลังจากนั้นเจียงอาเฉียนก็ได้พูดต่อไป “พี่ชายของข้าน่ะเป็นคนโหดร้ายทารุณ เขาไม่เหมาะที่จะเป็นผู้ที่จะปกครองแผ่นดิน”
“ข้าเชื่อเจ้า” ลู่โจวพูดออกมา
“ขอบคุณมากท่านผู้อาวุโส”
“เจียงอาเฉียน เป็นไปได้ไหมว่ากระดูกพวกนั้นจะเป็นกระดูกของชาวมนุษย์เผือกกัน? ” ลู่โจวได้ถามออกมาอย่างเยือกเย็น
“ชะ…ชาวมนุษย์เผือก…” เจียงอาเฉียนส่ายหัว “มีข่าวลือจากพระราชวังเคยว่าเอาไว้ กระดูกของชาวมนุษย์เผือกสามารถช่วยทำให้ผู้ใช้ยืดอายุขัยออกไปได้ ถ้าปากเป็นแบบนั้นจริง ทำไมถึงทางพระราชวังจะต้องงมหากระดูกมากว่าหลายสิบปีแบบนี้ด้วย? “
ไม่มีใครเลยที่สามารถหาสมบัติล้ำค่าพบหลังจากที่กอบกู้กระดูกของชาวมนุษย์หิมะทั้งหมดขึ้นมาจากแม่น้ำมาเป็นเวลากว่าสิบปีได้ ดูเหมือนว่าวัตถุประสงค์ในการงมแม่น้ำจะเปลี่ยนไปแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส ข้าจะพูดสิ่งที่เคยพูดออกไปอีกครั้ง ข้าน่ะพูดความจริงมาโดยตลอด ข้าไม่ใช่คนที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้เลย เพราะแบบนั้นมันคงจะดีกับข้ามากถ้าหากท่านยอมมอบดาบดีๆ ให้กับข้าสักเล่ม” เจียงอาเฉียนรวบรวมความกล้าทั้งหมดพูดขึ้น
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าบอกไปแล้วว่าข้าน่ะไม่ชอบคนที่ไม่รักษาคำพูด ข้าน่ะสัญญากับเจ้าไปแล้ว เพราะแบบนั้นข้าจะต้องทำตามสัญญานั้นแน่”
หลังจากที่ลู่โจวพูดจบ ตัวเขาก็ได้โบกมือขึ้นไปกลางอากาศอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเองของชิ้นหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะลอยตรงไปที่เจียงอาเฉียน
ในตอนนั้นเองทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ของสิ่งนั้น พวกเขาอดสงสัยไม่ได้เลยว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าได้มอบสมบัติอะไรให้กับเจียงอาเฉียนกันแน่