บทที่ 311 วิทยุทรานซิสเตอร์

บทที่ 311 วิทยุทรานซิสเตอร์

บทที่ 311 วิทยุทรานซิสเตอร์

อาจบอกได้ว่าหลินชิงเหอเฝ้าดูเด็กหนุ่มโจวต้งคนนี้เติบโตอยู่ ซึ่งเธอก็รู้นิสัยของเขาว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี

หลินชิงเหอจึงมาหาเขา เหตุผลที่มาหาก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่าความคิดถึงเขาและอยากจะถามเขาว่าสนใจจะเริ่มธุรกิจไหม หากสนใจเขาสามารถลองเริ่มทำได้

ถ้าเขาต้องการจะทำ เขาก็คอยระวังหลังให้น้องชายของเธอได้ถูกไหม?

“ปีนี้ครอบครัวเราเลี้ยงไก่ได้เยอะเลยครับ ผมจะให้คุณน้ามารับพวกมันไปขายพอดี” โจวต้งยิ้มกริ่ม

เขารับผิดชอบงานในแปลงนา ซึ่งปีนี้เขาทำสัญญาไว้เป็นจำนวนมากเหมือนกัน ส่วนภรรยาของเขาก็เลี้ยงไก่เป็นจำนวนมาก ทั้งไข่ไก่หรือไก่เป็นสามารถแลกเป็นเงินมาจุนเจือครอบครัวได้

บอกได้ว่าชีวิตของพวกเขาดีมาก

“ทำไมไม่เพิ่มจำนวนการเลี้ยงให้มากกว่าเดิมล่ะ?” หลินชิงเหอพูด “ไม่ใช่ว่าหลังบ้านนายยังมีพื้นที่ว่างอยู่ผืนหนึ่งเหรอ? ไปขอทำสัญญากับทางหมู่บ้านสิ จากนั้นก็ล้อมรั้วไว้ เป็นแบบนี้นายจะเลี้ยงไก่ได้เป็นร้อยตัวหรือมากกว่านั้นเลย หลังจากนั้นก็เลี้ยงหมา 2 ตัวไว้เฝ้า ภรรยานายก็อยู่ที่บ้านดูแลเด็ก ๆ กับเลี้ยงไก่ไป คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอก”

ต้องบอกว่าโจวต้งเป็นชายที่รักและเทิดทูนภรรยามากคนหนึ่ง เขาไม่อยากให้ไฉ่ปาเม่ยทำงานในทุ่งนาเลย งานในไร่นาล้วนเป็นเขาแบกรับไว้ทั้งหมด

ไฉ่ปาเม่ยอยู่กับบ้าน แม้หล่อนจะซื่อสัตย์ แต่ก็รู้จักการดำเนินชีวิต

ไม่เพียงแต่ครอบครัวพวกเขาจะเลี้ยงไก่ได้เกือบ 20 ตัว ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนมากแล้ว พวกเขายังเลี้ยงลูกหมูไว้อีกด้วย ปีหน้าคงจะได้ผลผลิตอู้ฟู่แน่นอน

หล่อนช่างเป็นภรรยาที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง

“ที่ดินหลังบ้านเหรอครับ” โจวต้งชะงักไปด้วยความประหลาดใจ

“นายไปทำสัญญากับทางหมู่บ้านว่าอนาคตจะขอซื้อได้ไหม ถ้าซื้อได้นายก็ซื้อเลย” หลินชิงเหอพูด

ตอนนี้พวกเขายังซื้อไม่ได้ มีเพียงทำสัญญาเช่าได้อย่างเดียว แต่ในอนาคตมันจะไม่เป็นปัญหาเลย

“ที่อาสะใภ้เสนอมาก็ฟังดูดีนะคะ” ไฉ่ปาเม่ยผู้มีครรภ์นูนใหญ่แล้วตอบ ดวงตาของหล่อนเป็นประกาย

“ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?” หลินชิงเหอยิ้มกริ่ม “ไปซื้อไม้มาขึ้นรั้วล้อมสวนเสียนะ แล้วหาหมามาเลี้ยงอีก 2 ตัว บ้านของพวกเธออยู่ในหมู่บ้านแล้วก็อยู่ติดกับบ้านฝั่งแม่ด้วย ใครล่ะจะกล้าทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ? แค่ตะโกนเรียกพวกเขาก็มาแล้ว ดังนั้นอย่าห่วงเลย”

“แต่ตอนนี้ภรรยาผมท้องอยู่นะครับ” โจวต้งมองหน้าท้องนูนป่องของภรรยา

“รอจนกว่าฉันจะคลอดลูกในปีนี้แล้วออกจากพักฟื้นหลังคลอดก่อนค่ะ แล้วฉันจะเลี้ยงพวกมัน” ไฉ่ปาเม่ยเอ่ยจริงจัง

หล่อนรู้สึกว่าทางเลือกนี้น่าลงมือทำเพราะสามารถจัดการมันได้

“แต่ถ้าเธอเลี้ยงไก่มากขึ้น เธอต้องดูแลสุขอนามัยให้ดี ๆ นะ น้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ตามโรงพยาบาลก็ใช้ได้ แต่ถ้าไม่มีก็ใช้ผงปูนขาว ถ้ารักษาสุขอนามัยในเล้าให้ดี ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยเตือน

“อาสะใภ้พูดถูกแล้วค่ะ” ไฉ่ปาเม่ยพยักหน้า

“ส่วนเรื่องช่องทางการขายไก่ เธอก็คุยกับน้องชายของอาได้และต่อรองราคากันเอง อาไม่รู้เรื่องนี้ก็เลยไม่ได้มาเกี่ยวข้องด้วย” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

ไฉ่ปาเหมยกับโจวต้งเคยติดต่อกับน้องชายสามตระกูลหลินเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาขายไก่มากกว่า 10 ตัวให้กับอีกฝ่าย เนื่องจากพวกเขาขายเป็นจำนวนมาก ราคาจึงสูงขึ้น หากขายแค่ตัวสองตัวก็จะได้ราคาไม่สูงนัก นับว่าเป็นการตกลงราคาที่ดีไม่น้อย

เมื่อหลินชิงเหอออกจากบ้านไปแล้ว โจวต้งจึงปรึกษาเรื่องนี้กับไฉ่ปาเม่ย

“เลี้ยงไก่เยอะขนาดนั้นเป็นความคิดที่ดีแน่เหรอคุณ?” โจวต้งยังลังเล

“ถ้าไม่ดีแล้วอาสะใภ้คงไม่มาบอกเราเรื่องนี้หรอกค่ะ อาสะใภ้น่ะเป็นห่วงคุณเสมอนะคะ” ไฉ่ปาเม่ยตอบด้วยรอยยิ้ม

จากนั้นหล่อนก็เปิดห่อลูกกวาดและแบ่งกันคนละครึ่งระหว่างลูกชายและลูกสาวของพวกเขา

ความจริงตัวไฉ่ปาเม่ยเองก็อยากเลี้ยงไก่เพิ่ม แต่หล่อนไม่กล้าพูดเรื่องนี้หลังคิดสาระตะดูแล้ว หล่อนยังไม่ลืมการตัดหางปล่อยวัดที่ผ่านมา

แต่ตอนนี้คุณอาสะใภ้ชิงเหอยื่นมือมาช่วยแล้ว หล่อนจึงรู้สึกวางใจ ไม่กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแน่นอน

“หลังสิ้นปีใหม่นี้แล้ว ผมจะไปหาเลขาธิการสาขาของหมู่บ้านและทำสัญญาขอที่ดินหลังบ้านเราดีไหมครับ?” โจวต้งเป็นคนที่เชื่อฟังภรรยา เขาจึงกล่าวตอบแบบนี้

“งั้นก็ทำสัญญาเลยค่ะ” ไฉ่ปาเม่ยพยักหน้า

หล่อนกำลังจะคลอดลูกในอีก 4 เดือน หลังคลอดลูกแล้วหล่อนก็เริ่มทำงานได้

หล่อนไม่อาจปล่อยให้สามีทำงานจนหมดแรงเพื่อเลี้ยงทั้งครอบครัวได้หรอกถูกไหม? หล่อนเองก็ช่วยเขาได้เหมือนกัน

เมื่อหลินชิงเหอกลับมาถึงบ้าน เธอก็นำเรื่องโจวต้งและน้องสาวของเขาไปบอกท่านแม่โจว

“สองพี่น้องคู่นี้มีชีวิตที่ดีแล้วนะคะ พวกเขาเคยเผชิญความเหนื่อยยากมาก่อนเมื่อตอนยังเป็นเด็ก แต่ตอนนี้ก็ได้ลิ้มรสหวานหลังชีวิตอันขมขื่นไปแล้ว” หลินชิงเหอพูด

โจวต้งแต่งงานกับไฉ่ปาเม่ย ซึ่งตระกูลไฉ่ก็ให้ความช่วยเหลือได้ในทุกเรื่อง จะมีใครในหมู่บ้านที่กล้าดูถูกพวกเขากันล่ะ?

ตอนนี้ทั้งคู่มีลูกชายและลูกสาวอย่างละคนและกำลังจะมีคนที่สามอยู่ในท้อง ชีวิตของพวกเขาช่างเจริญรุ่งเรืองนัก

โจวซีก็ได้แต่งงานกับคนบางคนในหมู่บ้าน แม้จะอยู่ตรงชายขอบของหมู่บ้าน แต่ครอบครัวนั้นก็ยังเป็นครอบครัวที่ดีมีชื่อเสียง ปีนี้พวกเขาได้ทำสัญญาขอที่ดินเป็นจำนวนมาก สามีของโจวซีเป็นลูกชายคนสุดท้องของบ้านนั้นและเป็นคนทำงาน

เขาตามกลุ่มคนที่สร้างบ้านไปทำงาน เงินเดือนจึงสูงเท่ากับบรรดาคนที่ทำงานในตัวอำเภอ ยิ่งกว่านั้นชายหนุ่มยังเป็นคนรักใคร่เทิดทูนภรรยามาก เขาไม่อยากให้โจวซีต้องทำงานในทุ่งนา และให้หล่อนทำงานบ้านอย่างเดียว

ชีวิตของพวกเขาช่างดีไม่น้อย

พวกเขาเคยผ่านความยากลำบากเมื่อตอนยังเด็กมาก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาโตขึ้นแล้ว อะไร ๆ จึงดีขึ้น

หลินชิงเหอพยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรมากนัก

เมื่อโจวชิงไป๋กลับมา ทั้งครอบครัวก็ลงมือกินอาหารเย็น

พวกเขากินซาลาเปานึ่งเคียงกับน้ำแกง

หลินชิงเหอกลับเข้าห้องไปเรียนต่อหลังกินเสร็จ ขณะที่โจวชิงไป๋สับฟืนอยู่ที่ลานบ้าน

ท่านแม่โจวกับท่านพ่อโจวเดินออกมาสนทนากัน เพราะช่วงนี้กำลังอยู่ในช่วงปีใหม่

“พอเจ้าพวกลิงทะโมนพวกนั้นไม่กลับมาที่บ้าน บ้านเราก็ดูเงียบเหงาไปเลยนะคะ” หลินชิงเหอเอ่ยเมื่อโจวชิงไป๋กลับมาที่ห้องหลังสับฟืนเสร็จ

โจวชิงไป๋คิดว่าเธอคงเบื่อจึงเอ่ยขึ้นมา “พรุ่งนี้เสี่ยวเหมยกับคนอื่น ๆ ก็จะมาแล้วนะครับ”

หลินชิงเหอยิ้ม “ในหมู่คนรุ่นหลังมีวลีหนึ่งกล่าวว่า ‘รังร้าง คนชรา’ พูดถึงคนรุ่นเราไว้น่ะค่ะ ชิงไป๋…อนาคตเราจะเป็น ‘รังร้าง คนชรา’ ไม่ได้นะคะ”

“เราไม่เป็นแบบนั้นหรอก” โจวชิงไป๋พยักหน้า

ตอนนี้เขาจะหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่ออนาคตจะได้พาภรรยาท่องเที่ยวไปรอบ ๆ พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกเบื่อเหงา

ความจริงแล้วโจวชิงไป๋ไม่มีความรู้สึกอยากรอคอยให้วันเวลาไหนมาถึงนัก เขารู้สึกว่าวันเวลาที่ดีที่สุดคือเวลาที่ภรรยาอยู่ข้าง ๆ เขา มีเธออยู่แล้ว ทุกอย่างก็ไม่แตกต่างกัน

แม้จะไม่คิดอะไร แต่เขาก็ต้องปล่อยให้ภรรยามีชีวิตอย่างที่เธอต้องการ

หลินชิงเหอหยุดอ่านหนังสือและบอกให้เขานั่งบนเตียงเตา เธอกลิ้งเข้ามาในอ้อมแขนของเขา และทั้งคู่ก็เริ่มบทสนทนาส่วนตัว

ในวันแรกของปีใหม่ เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่าจะไปนั่งอยู่ที่บ้านตระกูลโจว แต่เนื่องจากสะใภ้รองอยู่ที่นั่น หลินชิงเหอจึงไม่มีความสนใจอยากไปที่นั่นและอยู่กับโจวชิงไป๋แทน

“เกือบลืมไปเลย” หลินชิงเหอพลันนึกขึ้นได้และหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์ออกจากมิติ ซึ่งตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะเอามาให้ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจว แต่หลังกลับมาถึงแล้วเธอก็ลืมหยิบออกมา หญิงสาวมองหน้าโจวชิงไป๋ “จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดีคะ?”

“คุณทิ้งไว้ในถุงแล้วก็ทำลืม ๆ ไปเถอะ” โจวชิงไป๋เอ่ยอย่างไม่สนใจมากนัก

หลินชิงเหอพยักหน้า จากนั้นก็ขอให้โจวชิงไป๋ค้นหาช่องเพื่อที่จะฟัง โจวชิงไป๋หมุนปรับมัน แล้วทั้งคู่ก็เริ่มนั่งฟังวิทยุกัน

หลังสองทุ่ม ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็กลับเข้ามาในบ้าน พอพวกเขาเห็นวิทยุทรานซิสเตอร์ตั้งอยู่ในโถงบ้าน ดวงตาของคนชราทั้งสองก็เป็นประกายขึ้นมา

แต่ลูกชายคนเล็กกับภรรยาปิดประตูห้องและดับไฟไปแล้ว พวกเขาจึงพับคำถามเก็บไว้จนกระทั่งถึงอีกวันหนึ่ง

……………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สองพี่น้องโจวต้งโจวซีมีชีวิตที่ดีกันแล้ว น่ายินดีมาก ๆ เลยค่ะ พวกเขาสมควรมีชีวิตที่ดีกันเสียที

พ่อเฒ่าแม่เฒ่าทั้งสองเจอวิทยุแล้วดีใจเชียวนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset