“เส้นทางแห่งความชั่วร้ายยังไงซะก็เป็นความอยุติธรรม…ซู่จิ้ง เจ้าน่ะมันบ้าไปแล้ว! เจ้าน่ะยังพอจะมีความดีหลงเหลืออยู่ภายในจิตใจบ้างไหม เจ้าน่ะจะต้องจบชีวิตของตัวเองลงต่อหน้าพระพุทธองค์” ซู่เหลียวได้พูดออกมาอย่า
ซู่จิ้งยังคงไออย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้เองนอกจากความปั่นป่วนในพลังลมปราณแล้ว อารมณ์ของตัวเขาเองก็ยังปั่นป่วนไม่มั่นคง การที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็เป็นเรื่องที่ปาฏิหาริย์มากพอแล้ว
ลู่โจวได้ส่ายหัว ‘สุดท้ายแล้วทุกครอบครัว ทุกๆ ที่ก็ย่อมจะมีปัญหาเป็นของตัวเองอย่างงั้นสินะ’ ในท้ายที่สุดแล้วลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “ซู่เหลียว เนื่องจากเจ้ามีเศษเสี้ยวฟากฟ้า ทำไมเจ้าถึงไม่โจมตีซู่จิ้งแต่กลับเลือกที่จะโจมตีตัวข้าแทนล่ะ? “
ทันทีที่ลู่โจวพูดถึงเศษเสี้ยวจากฟากฟ้า ในตอนนั้นเองซู่เหลียวก็รู้สึกกระวนกระวายใจ ท่าทีของเขาที่เคยมั่นใจและเกรี้ยวกราดในตอนนี้ดูเปลี่ยนไปแล้ว
ซู่จิ้งจ้องไปที่ซู่เหลียวก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะมันชั่วช้า! เจ้าคงจะยืมเศษเสี้ยวฟากฟ้าจากวิหารแห่งความว่างเปล่ามาก็เพื่อที่จะใช้สังหารข้าอย่างงั้นสินะ? “
ในตอนนี้ซู่เหลียวไม่จำเป็นที่จะเก็บซ่อนอะไรอีกต่อไป “แล้วถ้าใช่จะทำไมกันล่ะ? พวกเราทั้งสามคนต่างก็เลือกที่จะร่วมมือกันเพื่อที่จะเสียสละผลประโยชน์ส่วนรวมให้กับวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มามากมายขนาดไหน แต่เจ้ากลับไม่คิดถึงเรื่องนี้ยอมร่วมมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้าซะได้ เจ้าน่ะก็แค่กลืนน้ำลายตัวเองก็เท่านั้น…”
ซู่จิ้งยกมือขึ้นมาก่อนที่จะใช้พลังลมปราณกระแทกเข้าไปที่ใบหน้าของซู่เหลียว
เพรี๊ยะ!
“ที่วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์มีสาวกกว่า 1,000 ชีวิต เจ้าน่ะเห็นคุณค่าชีวิตของพวกเขาบ้างไหม? ” ซู่จิ้งได้ถามออกมา
“ถ้าหากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ร่วมมือกับวิหารแห่งความว่างเปล่า พวกเราก็ไม่ต้องกังวลเลยว่าใครจะเสียต้องตาย! ” ซู่เหลียวยังคงเถียงกลับ
เพรี๊ยะ!
ครั้งนี้ซู่จิ้งไม่ได้ใช้พลังลมปราณอีกต่อไป ตัวเขาได้ใช้ฝ่ามือของตัวเองตบไปที่ใบหน้าของซู่เหลียวแทน
สีหน้าของซู่เหลียวเปลี่ยนไปเมื่อถูกตบ ในตอนนี้ใบหน้าครึ่งหนึ่งได้เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงบวม
“เจ้าคิดว่าวิหารแห่งความว่างเปล่ามีเจตนาอันดีจริงๆ อย่างงั้นหรอไง? ” ซู่จิ้งได้ถามขึ้น “กงหยวนเจ้าอาวาสวิหารแห่งความว่างเปล่าได้ฝึกฝนในเส้นทางวิถีพุทธด้านมืดมาอย่างยาวนาน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้แม้ว่าเขาจะพยายามทำตัวเองให้ดูน่าเคารพนับถือสักแค่ไหน แต่ไม่มีใครที่ร่วงรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วเจ้าอาวาสคนนั้นทำอะไรไปแล้วบ้าง เจ้านั่นน่ะออกทำร้ายผู้คนด้วยพลังที่ตัวเองมี เอาเปรียบผู้บริสุทธิ์ไปมากมายแค่ไหนแล้ว! “
เมื่อซู่เหลียวได้ยินแบบนั้น ตัวเขาก็ได้แต่อ้าปากค้าง
“นั่นจะต้องโกหกแน่ ข้าเคยเห็นอรหันต์กายาทองคำของปรมาจารย์กงหยวนมากับตาตัวเอง! พลังของเขาบริสุทธิ์จนไม่อาจที่จะพรรณนาได้! ไม่มีทางเลยที่มันจะเป็นของปลอมไปได้! “
“ดื้อด้านซะจริง! ” ซู่จิ้งได้เตะไปที่ซู่เหลียวอย่างไร้ความปรานี
พลั๊วะ!
ซู่เหลียวกระเด็นไปด้านหน้าก่อนที่จะกลิ้งลงบนพื้น
แม้ว่าซู่จิ้งจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังพอจะเดินพลังลมปราณได้
ซู่เหลียวที่ถูกพลังสายฟ้าฟาดของลู่โจวก่อนหน้านี้อ่อนแรงลงไปมากแล้ว เขาไม่สามารถที่จะทนลูกเตะของซู่จิ้งได้เลย เพราะแบบนั้นเขาจึงได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ ไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก
เหล่านักบวชทั้งสามรอคอยโอกาสมาจนถึงวันนี้ก็เพื่อที่จะใช้เศษเสี้ยวฟากฟ้าโจมตีนั่นเอง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งสามไม่พบโอกาสอันดี ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนักบวชทั้งสามตัดสินใจที่จะหาโอกาสช่วยเหลือนักบวชศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่มาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นทุกอย่างก็ผิดคาดไป พวกเขาทั้งหมดไม่คิดมาก่อนเลยว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้!
ใบหน้าของซู่จิ้งเบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ได้กัดฟันพูดกับลู่โจวขึ้นมา “อาตมาต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้ท่านต้องเห็นภาพที่น่าเวทนานี้…เบื้องหลังความสกปรกของวิหารของอาตมาถูกเปิดเผยออกมาแล้ว หลังจากที่อาตมาจัดการกับพวกเขาได้ อาตมาจะรีบให้คำอธิบายแก่ท่านเอง ท่านผู้อาวุโส”
ลู่โจวพยักหน้า
บางทีคงจะมีแต่ซู่จิ้งคนเดียวเท่านั้นที่พอจะมีไหวพริบและมีเหตุผลมากที่สุดในวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์
ลู่โจวได้หันกลับไปมองที่ซู่เหลียวก่อนที่จะพูดขึ้น “วิหารแห่งความว่างเปล่ามอบเศษเสี้ยวจากฟากฟ้าให้กับเจ้าอย่างงั้นหรอ? “
“ถูกต้อง” ร่างกายของซู่เหลียวเจ็บไปทั้งตัว ในตอนนี้เขาได้แต่มองมายังลู่โจวอย่างหวาดกลัวเท่านั้น
ลู่โจวได้ถามขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ารู้ไหมว่าเศษเสี้ยวชิ้นอื่นๆ อยู่ที่ไหนกัน? “
“ข้า…ข้าไม่รู้” ซู่เหลียวส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่รู้จริงๆ อย่างงั้นหรอ? “
ซู่เหลียวได้พยักหน้าตอบกลับอย่างฉุนเฉียว
‘มันก็สมเหตุสมผลแล้วล่ะนะ เจ้านี่เป็นแค่ลิ่วล้อ ไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่าเศษเสี้ยวชิ้นอื่นๆ อยู่ที่ไหนกันแน่’ ลู่โจวไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเศษเสี้ยวฟากฟ้าอีกต่อไป เขามองไปยังทิศที่โถงแห่งพลังตั้งอยู่
การต่อสู้ของหยวนเอ๋อและจ้าวยู่เป็นการต่อสู้ที่แสนจะเรียบง่าย พวกเธอทั้งสองคนเกือบที่จะเก็บกวาดคู่ต่อสู้ทั้งหมดได้แล้ว เหล่านักบวชที่สวดไทเอ็นได้ต่างก็เป็นเพียงลิ่วล้อก็เท่านั้น พวกเขาทั้งหมดไม่ได้มีพลังวรยุทธอะไรที่สูงส่งเลย การจัดการกับพวกเขาไม่ได้ทำให้ลู่โจวได้รับแต้มบุญมากมายอะไร
ในขณะเดียวกันต้วนมู่เฉิงและหมิงซี่หยินก็ได้คุมความได้เปรียบในการต่อสู้ไปเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญหายไป พลังที่สี่นักบวขศักดิ์สิทธิ์มีก็ได้อ่อนแอลงไปเป็นอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะปัดป้องการโจมตี แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังไม่มากพอ ในตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ไปในตอนไหน
หยวนเอ๋อได้ปรบมือขึ้นมาด้วยความยินดี หลังจากนั้นเองเธอก็ได้วิ่งมาหาผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ท่านอาจารย์ นักบวชพวกนี้ช่างน่าเบื่อจริงๆ …ศิษย์ไม่ได้ออกแรงเต็มที่เลยแม้แต่น้อย พวกเขาก็ล้มลงก่อนซะแล้ว”
ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะพูดต่อไป “นักบวชพวกนี้อย่างมากก็มีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นมหาราชครูเท่านั้น…” จริงๆ แล้วลู่โจวก็อยากที่จะพูดอะไรมากกว่านี้ แต่เมื่อคิดถึงจุดยืนของตัวเองที่ยังเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครูเท่านั้นตัวเขาก็คงไม่อาจที่จะพูดให้ร้ายกับเหล่านักบวชได้
“ติ้ง! สังหารผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ได้รับรางวัล: 1,000 แต้มบุญ” การแจ้งเตือนที่คล้ายคลึงกันได้แจ้งเตือนลู่โจวถึงสามครั้งด้วยกัน
ลู่โจวจ้องมองไปยังด้านหน้า ตัวเขาเห็นกงจือ, กงจี และกงจางล้มลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดวงตาของหมิงซี่หยินดูเปล่งประกาย ในตอนนี้ตัวเขาได้แต่พยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมกับถือเคียวพื้นพิภพอยู่ในมือ
ในขณะเดียวกันต้วนมู่เฉิงเองกำลังจะเช็ดเศษฝุ่นที่ติดอยู่บนหอกราชันย์ไป…
นอกจากเสื้อผ้าที่ยับเยินดูเหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอะไร
หลังจากที่หมิงซี่หยินกลับมา ตัวเขาก็ได้พูดกับลู่โจวในทันที “ศิษย์รู้สึกดีใจที่ไม่ทำให้ท่านอาจารย์ผิดหวัง! ศิษย์จัดการพวกเขาได้แล้วครับ”
“ดีมาก” ลู่โจวเหลือบมองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดขึ้น “แต่อย่างไรก็ตาม…”
ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘แต่’ หัวใจของหมิงซี่หยินก็ได้เต้นไม่เป็นจังหวะ ตัวเขาคิดมาตลอดว่าผู้เป็นอาจารย์จะต้องชมเชย แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘แต่อย่างไรก็ตาม’ อยู่ท้ายประโยคมักจะเกิดเรื่องที่เลวร้ายขึ้นมาเสมอ
ลู่โจวได้หันหน้ากลับมาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเฉียบคม “แต่อย่างไร้ก็ตามห้ามฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นนอกเหนือจากเคล็ดวิชาเวหาพงพนาซะล่ะ”
“ท่านอาจารย์…ศิษย์ก็แค่อยากรู้อยากเห็นเพียงเท่านั้น ที่ศิษย์เรียนรู้การขุดอุโมงค์เอาไว้ ศิษย์ตั้งใจที่จะใช้หลบภัยเพียงเท่านั้น ศิษย์สาบานได้เลยว่าศิษย์ไม่มีเจตนาอื่นใด! ” หมิงซี่หยินรีบพูดแก้ตัว
ลู่โจวได้พูดตอบกลับไป “เจ้าจงตั้งใจฝึกเคล็ดวิชาเวหาพงพนาต่อไปซะ อย่าได้คิดฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่น”
“ครับท่านอาจารย์! ” หมิงซี่หยินรู้สึกดีใจมาก ไม่เพียงแต่ตัวเขาจะไม่ถูกทำโทษ อาจารย์คนนี้ยังคอยชี้แนะตัวเขาอีกด้วย
ในขณะเดียวกันนั้นเองทุกๆ คนที่อยู่หน้าโถงแห่งพลังก็ได้เงียบลง
เหล่าสาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ที่ถูกทรมานโดยบทสวดไทเอ็นต่างก็กำลังฟื้นตัวมาอย่างช้าๆ พวกเขาทั้งหมดลุกขึ้นยืนก่อนที่จะจ้องมองไปยังหม้อธูปที่ถูกทำลายไป…ที่ตรงนั้นนักบวชของวิหารแห่งความว่างเปล่าได้พ่ายแพ้ให้กับเหล่าสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
นี่คือความแข็งแกร่งของศาลาปีศาจลอยฟ้า
เหล่าศิษย์สาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ได้แต่กลืนน้ำลาย แม้ว่าพวกเขาจะหวาดกลัวมากแค่ไหนแต่พวกเขาเองก็รู้สึกสบายเช่นกันเมื่อเห็นแบบนั้น นอกจากนี้พวกเขายังเห็นพระพุทธองค์ร่างทองของลู่โจวกับตาตัวเองอีกด้วย!
‘ใครบอกกันว่าคนชั่วจะกลายเป็นพระพุทธองค์ไม่ได้? ‘
‘ใครบอกกันว่าคนชั่วทั้งหมดล้วนแต่เป็นปีศาจร้าย? ‘
แท้จริงแล้วลู่โจวไม่ได้ต้องการที่จะเป็นนักบุญอย่างพระพุทธองค์เลย…
ในขณะที่เหล่าสาวกจากวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์กำลังรวมตัวกันที่กระถางธูปอีกครั้ง ในตอนนั้นเองเหล่าสาวกที่สะบักสะบอมหมดแรงหรือแม้แต่เหล่าสาวกที่ยืนไม่ไหวบางคนก็ยังจะมารวมตัวกัน พวกเขาทั้งหมดยืนเรียงรายกันก่อนที่จะยืดฝ่ามือออกมาข้างหน้า
ซู่จิ้งในตอนนี้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิม เขาจ้องไปยังเหล่าสาวกของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ก่อนที่จะพูดขึ้น “ในตอนนี้วิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ปลอดภัยแล้ว” หลังจากนั้นเขาก็ได้หันมาหาลู่โจวอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเริ่มไอออกมาอีกครั้ง “ขอบคุณจริงๆ ที่ท่านช่วยพวกเรา ท่านผู้อาวุโสจี”
ในขณะนั้นเองเหล่าสาวกกว่า 1,000 คนของวิหารทางเลือกแห่งสวรรค์ก็ได้พูดขึ้น “ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือท่านผู้อาวุโสจี”
แม้ว่าเสียงของเหล่าสาวกจะฟังดูอ่อนแอแค่ไหน แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะส่งเสียงให้กับลู่โจวได้ฟัง
“ติ้ง! มีผู้สวามิภักดิ์ใหม่ 982 คน คุณได้รับรางวัล: 9,820”
ลู่โจวรู้สึกยินดีเป็นที่สุด ถ้าหากจะมองย้อนกลับไปดูเหมือนว่าทางเลือกที่ตัวเขาเลือกจะเป็นทางที่ถูกต้องที่สุดแล้ว “เอาล่ะเอาดอกแมกโนเลียสีดำมาให้ข้าซะ”