แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากการผสานเศษเสียวฟากฟ้าได้จางหายไป “ติ้ง! ได้รับอาวุธ กริชฟากฟ้า”
“ติ้ง! ได้รับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์”
ลู่โจวได้มองไปที่พื้น
ลู่โจวเห็นกริชสีหยกเล่มหนึ่ง…มันเป็นกริชที่มีขนาดใหญ่ไปกว่าเศษเสี้ยวฟากฟ้าเล็กน้อย นอกจากนี้มันยังมีขนาดใหญ่กว่ากริชธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป มันดูสวยงามและดูประณีตเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ระบบไม่ได้แนะนำเจ้าของผู้ที่เหมาะสมกับอาวุธชิ้นนี้
ลู่โจวได้มองไปที่ระบบอีกครั้ง ในตอนนี้ตัวเขากำลังครอบครองอาวุธนิรนาม, กระบี่ตัดชีวา และถุงมือนักสู้อยู่
สำหรับลู่โจวตัวเขารู้สึกชื่นชอบอาวุธนิรนามมากที่สุดแล้ว หลังจากการทดสอบมากมายหลายครั้งตัวเขาก็รู้ได้ว่าอาวุธนิรนามจะต้องเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ไม่ผิดแน่
ส่วนกระบี่ตัดชีวา ลู่โจวได้รับมันมาจากผู้อาวุโสแห่งสำนักเที่ยงธรรมจางฉิวชู มันเป็นอาวุธที่ผ่านการขัดเกลามาแล้ว มันเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีถุงมือนักสู้ มันเป็นของที่สามารถต้านทานการโจมตีจากเหล่าศิษย์สาวกของตัวเขาได้ มันเป็นของระดับสรวงสวรรค์แน่นอน
‘นอกจากอาวุธนิรนามแล้ว ดูเหมือนฉันจะต้องมอบอาวุธชิ้นอื่นให้กับเหล่าสาวกสินะ ยิ่งเหล่าสาวกมีพลังมากเท่าไหร่ ฉันผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขาก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น’
ปัจจุบันมีศิษย์คนที่ห้าอย่างจ้าวยู่และศิษย์คนที่แปดอย่างซู่ฮ่องกงเท่านั้นที่ยังไม่มีอาวุธประจำตัว
‘แล้วฉันจะแบ่งอาวุธยังไงดีล่ะ? ‘
จ้าวยู่เป็นเด็กสาว นางคงจะไม่เหมาะกับกระบี่ตัดชีวาที่ดูขนาดใหญ่เกินไปสำหรับนาง ถุงมือนักสู้เองก็ดูเหมือนกับอาวุธที่ใช้สำหรับการออกเพลงหมัด มันคงจะเหมาะกับศิษย์คนที่แปดอย่างซู่ฮ่องกงมากกว่า แต่ซู่ฮ่องกงในตอนนี้เพิ่งจะกลับมาที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า ถ้าหากดูความภักดีที่มีในตอนนี้คงไม่ดีแน่ถ้าหากจะให้อาวุธกับศิษย์คนนี้ไป
ดูเหมือนว่ากริชฟากฟ้าจะเหมาะสมสำหรับจ้าวยู่มากที่สุดแล้ว แต่ถึงแบบนั้นพลังวรยุทธที่นางมีก็ยังไม่ถึงขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นนางก็คงจะไม่สามารถที่จะควบคุมอาวุธระดับสรวงสวรรค์ได้แน่
ลู่โจวได้หยิบกริชฟากฟ้าขึ้นมาจากพื้นดิน ในตอนนั้นเองตัวเขาก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่ไหลสู่ฝ่ามือของเขาได้ มันเป็นพลังที่มาจากกริชเล่มนั้นนั่นเอง
“นี้มันอาวุธที่ดีสินะ” ลู่โจวอดไม่ได้ที่จะพูดชมเชยมัน “แต่ถึงแบบนั้นยังไงซะอาวุธนิรนามก็คงจะดีกว่าอยู่ดี”
ทันใดนั้นเองลู่โจวก็มีความคิดที่อยากจะทดสอบกริชเล่มนี้กับอาวุธนิรนามที่ตัวเขามี แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาทำให้ลู่โจวหยุดความคิดนี้ลงซะก่อน
กริชฟากฟ้าจะต้องเป็นอาวุธระดับสรวงสวรรค์ไม่ผิดแน่ ถ้าหากมันถูกทำลายไปก็คงจะต้องเป็นอะไรที่เสียเปล่าไปฟรีๆ
ตัวเขาได้วางกริชฟากฟ้าลงไปก่อนที่จะเหลือบมองไปที่ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์
“ของชิ้นนี้เกี่ยวกับเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ทั้งสามส่วนไหมนะ? ” ลู่โจวได้แต่สงสัย ตัวเขาได้สัมผัสได้ที่ม้วนหนังสือเล่มนั้น และในตอนนั้นเองวัสดุที่ดูคล้ายกับกระดาษก็ได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนของมันละลายก่อนที่จะหายไปในร่างกายของลู่โจว
ตัวเขาที่เห็นแบบนั้นจึงรีบเปิดเมนูเพื่อที่จะเปิดเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ดู…
เมื่อเปิดเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ขึ้น เคล็ดวิชาอักษรส่วนแรกยังคงสว่างไสว ส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีกสองส่วนยังคงมืดมิดเช่นเดิม
“มันไม่ใช่เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีกส่วนอย่างงั้นหรอ? “
ลู่โจวได้เปิดเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ส่วนแรกขึ้นมา ตัวหนังสือที่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับพลังแห่งคำพูดได้ส่องแสงสีทองปรากฏขึ้นต่อหน้าของตัวเขา
ระหว่างเหตุความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเมืองอันยาง พลังคำพูดที่อยู่ในเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นี้เองได้ปรากฏอยู่ภายในใจของตัวเขา ‘แล้วชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นี่มันคืออะไรกัน? ‘ ลู่โจวรู้สึกสับสน นับตั้งแต่ที่ลู่โจวได้เคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มา ตัวเขาก็ไม่เคยที่จะเข้าใจอะไรมันได้เลย
ลู่โจวนั่งลงก่อนที่จะทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อีกครั้ง
เมื่อเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ในเมนูระบบถูกเปิดขึ้น ตัวเขาก็เข้าสู่สภาวะที่ใช้ทำความเข้าใจมัน
ในตอนนั้นเองเนื้อหาทั้งหมดของเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ก็ได้ปรากฏในใจของตัวเขา
“เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังอันไร้ขอบเขต พลังจากร่างกายที่จะทำให้เข้าใจของสิ่งอื่นๆ ได้อย่างแท้จริง พลังที่จะพาคนรอบข้างไปสู่หนทางแห่งปัญญาได้ พลังที่จะนำพาทุกคนให้ไปสู่พลังและเส้นทางแห่งการรู้แจ้ง”
“เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งความเงียบ คนคนนั้นจะต้องมีสมาธิมากพอ มากเกินกว่าที่จะแผ่ขยายมันออกไปได้ไกลราวกับแสงที่ไม่มีวันมอดดับ พลังที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด พลังแห่งสมาธิ”
ช่วงเวลาที่ตัวอักษรปรากฏขึ้น
สภาพจิตใจที่เคยเหนื่อยล้าในตอนนี้ดูเหมือนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมบ้างแล้ว
ในไม่ช้าลู่โจวก็ได้ใช้สมาธิที่มีทั้งหมดไปกับการทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จนลืมกาลเวลา
เจ็ดวันได้ผ่านไปในพริบตา
ทุกๆ วันหยวนเอ๋อจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนตัวเองก่อนที่จะจับตามองขอทานเฒ่า ฝานลี่เทียนเอาไว้
วันๆ ฝานลี่เทียนไม่คิดที่จะทำอะไรเลยนอกจากดื่มเหล้าและนอนหลับ…ชายคนนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรจากขอทานทั่วไปที่หาเจอได้ตามท้องถนน
ฝานลี่เทียนดูเหมือนกับคนไร้ค่าเกินกว่าที่จะได้รับความช่วยเหลือ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ดูจะพอใจกับสถานะที่ตัวเองเป็นอยู่ในตอนนี้ บางครั้งฝานลี่เทียนก็ต้องการที่จะนอนอาบแดดเพื่อที่จะจำกัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ในร่างกาย
“สาวน้อย…เจ้าไม่เบื่อหรอไงที่จับตามองข้าทุกวันแบบนี้? ” ฝานลี่เทียนที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ได้พูดขึ้น
“ท่านอาจารย์บอกให้พวกเราเจ้าตาดูเจ้าเอาไว้…ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่เจ้าผ่านม่านพลังมาได้ยังไงกัน? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาตรงๆ
“เจ้าอยากรู้อย่างงั้นสินะ? ” ฝานลี่เทียนได้จ้องมองรอบตัว ในตอนนี้มีผู้ฝึกยุทธหญิงสองคนอยู่ใกล้ๆ
หยวนเอ๋อพยักหน้าตอบรับ
ฝานลี่เทียนได้หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น “รู้ไหมว่าข้าชื่นชมอะไรในตัวเจ้ากัน? “
“อะไร? “
“เจ้าน่ะเป็นคนตรงไปตรงมา จริงใจ และไม่ใช่คนที่ชอบโอ้อวดตน”
หยวนเอ๋อที่ได้ฟังคำชมก็ได้หัวเราะออกมาอย่างหลงตัวเอง “ศิษย์พี่ของข้าเองก็พูดแบบนั้น”
“บอกข้าหน่อยได้ไหม…ว่ามีใครชื่อสกุลฝานบนภูเขาทองไหม? ” ฝานลี่เทียนได้ถามออกมา
“มีสิ”
“แล้วเขาอยู่ไหนกัน? “
“อยู่นี่ไง ก็เจ้าไงที่มีชื่อสกุลฝานน่ะ? “
“…” ฝานลี่เทียนถึงกับพูดไม่ออก “ข้าหมายถึงคนอื่นนอกเหนือจากข้าน่ะ”
หยวนเอ๋อได้เล่นเส้นผมตัวเองอย่างเหม่อลอย หลังจากนั้นนางก็ได้กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าหมายถึงฝานซงอย่างงั้นหรอ? เดี๋ยวนะ พวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็มีชื่อสกุลเดียวกัน! หมายความว่าเจ้าเป็นพ่อของเจ้านั่นหรอกหรอ? “
ใบหน้าฝานลี่เทียนถึงกับกระตุก “ข้า…นั่นไม่ใช่ชื่อสกุลของข้าหรอก ข้าก็แค่อยากที่จะถามก็เท่านั้น…”
“แปลกจริงๆ เจ้าน่ะเป็นแค่ขอทานเฒ่าธรรมดาๆ เจ้าไม่กลัวว่าท่านอาจารย์ของข้าจะจัดการกับเจ้ารึยังไงกัน? ” หยวนเอ๋อได้ถามออกมาตรงๆ
ฝานลี่เทียนถึงกับพูดไม่ออก “ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่ได้มีชื่อสกุลว่าฝาน”
“ก็ได้…แล้วเจ้าผ่านม่านพลังมาได้ยังไงกัน! “
ฝานลี่เทียนได้ยิ้มก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเฉยเมย “แม้แต่แหดักปลาที่ดีที่สุดในโลกยังต้องมีช่องว่าง นับประสาอะไรกับม่านพลังของพวกเจ้า…”
หยวนเอ๋อที่ฟังแบบนั้นรู้สึกงุนงง
เมื่อฝานลี่เทียนเห็นว่าตำแหน่งของดวงอาทิตย์ได้เปลี่ยนไป เขาก็ได้ลุกขึ้นมาก่อนที่จะเปลี่ยนจุดนอน ตัวเขาได้วางศีรษะเอาไว้บนแขนก่อนที่จะพูดออกมา “สาวน้อย ฝานซงนั่นตายไปแล้วสินะ? “
“โชคดีที่เจ้านั่นได้พบกับอาจารย์ของข้า…ถ้าหากท่านอาจารย์ไม่ได้สอนเคล็ดวิชาหยางทั้งหกให้ เขาก็คงจะต้องตายไปนานแล้วล่ะ” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“ข้าดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ…แล้วเขาเป็นยังไงบ้างที่หุบภูเขาแห่งนี้? “
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ลูกของเจ้าสบายดี” หยวนเอ๋อที่พูดเสร็จรีบกระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้
พร๊วด!
ฝานลี่เทียนที่เพิ่งจะดื่มเหล้าไปได้สำลักออกมา “ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้ชื่อฝาน แล้วเขาจะไปเป็นลูกชายของข้าได้ยังไงกัน? “
หยวนเอ๋อพยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับไป “เจ้าเองก็พูดมีเหตุผล”
ฝานลี่เทียนที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าอย่างยินดี หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้พูดออกมาอย่างแยบยล “สาวน้อย เจ้าช่วยเอาเหล้ามาให้ข้าทีจะได้ไหม…เหล้าที่ผ่านการบ่มกว่าหลายสิบปีนั่นน่ะ? “
“ข้าจะไปเอามาให้ก็ได้ เห็นแก่หน้าของหลานเจ้าก็แล้วกัน” หยวนเอ๋อได้พูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ฝานลี่เทียนถึงกับผงะ ปมภายในใจเขาได้ก่อตัวขึ้นจนทำให้ตัวเขาไม่อาจที่จะพูดอะไรตอบกลับไป ในตอนที่กำลังคิดคำอธิบายอยู่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น
ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ! ฟรึ๊บ!
หลังจากนั้นไม่นานคลื่นพลังลมปราณก็ได้วนเวียนอยู่ที่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้า จากจุดนี้สามารถมองเห็นพลังที่ก่อตัวกันตรงใจกลางคลื่นพลังได้ดี
ทุกๆ คนที่อยู่บนหุบเขาทองต่างก็หยุดทำทุกอย่างเพื่อที่จะจ้องมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในเวลาเดียวกันพลังจากม่านพลังภูเขาทองก็ถูกคลื่นพลังที่อยู่ด้านบนดูดกลับไป ในตอนนี้คลื่นพลังที่ว่าก็ได้เหมือนกับพายุหมุนบนใจกลางมหาสมุทรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราต่างก็จ้องมองเหตุการณ์นี้ เมื่อผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งเห็นแบบนั้น นางก็รีบพูดออกมาในทันที “รีบแจ้งผู้อาวุโสฮั๊ว, ท่านต้วนมู่เฉิง, ท่านจ้าวยู่ และท่านหยวนเอ๋อเร็ว! “