พลังในตัวของจ้าวยู่ได้ตอบโต้กลับมา
ในขณะที่ลู่โจวกำลังหมุนเวียนพลังลมปราณอยู่ พลังพิเศษที่มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เองก็ได้ปะทุออกมา พลังลมปราณที่ดูโปร่งใสดูเหมือนจะถูกพลังสีฟ้าเข้าผสมผสาน พลังของลู่โจวในตอนนี้ดูมีสีสันสวยงามมาก พลังแสงสีฟ้าระยิบระยับได้ลอยอยู่รอบฝ่ามือของลู่โจวเอง
เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น พิษเย็นที่อยู่ในตัวของจ้าวยู่ก็ค่อยๆ ถูกพลังของลู่โจวขับออกมาจากตัว มันเป็นผลที่มาจากพลังพิเศษนั่นเอง
ที่ผิวหนังของจ้าวยู่มีหมอกบางๆ ปรากฏขึ้นมา ในตอนนี้เองที่ร่างกายของจ้าวยู่เริ่มร้อนมากขึ้น
ในช่วงเวลาสั้นๆ พิษเย็นที่อยู่ในเส้นพลังลมปราณของจ้าวยู่ก็ได้อ่อนพลังลงอย่างต่อเนื่องก่อนที่มันจะหายไปอย่างสมบูรณ์แบบ ในตอนนี้ทั่วร่างกายของนางเหลือแต่เพียงความอบอุ่น น้ำแข็งบางๆ บนเสื้อผ้าของนางได้ละลายหายไปเพราะความร้อนอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเองฮั๊วยู่จิงที่เพิ่งจะออกจากศาลาทางใต้ไปก็ได้ใช้ความคิดอย่างหนัก ยิ่งนางคิดมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งสับสนมากขึ้นเท่านั้น บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะนางถูกท่านหญิงเจดกักขังอยู่ในพระราชวังนานเกินไปโดยที่ไม่ได้รู้เหตุผล ตอนนี้นางได้เข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว แต่ถึงแบบนั้นนางก็กำลังทำในสิ่งเดียวกันอยู่ดี
ฮั๊วยู่จิงหยุดเดินก่อนที่จะพึมพำกับตัวเองออกมา “ทำไมท่านปรมาจารย์ถึงได้ถามข้าด้วยล่ะ? ” นางได้แต่เกาหัว ไม่ว่าจะคิดหาเหตุผลยังไงก็คิดไม่ออก
ในตอนนั้นเองนางก็ได้เห็นฝานซงและฝานลี่เทียนเข้า
ฝานซงที่เห็นฮั๊วยู่จิงยืนอยู่ที่ด้านนอกศาลาทางใต้ เขาก็ได้คารวะให้ก่อนที่จะทักทายมาจากระยะไกล “มะ…แม่นางฮั๊ว สวัสดี”
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? ” ฮั๊วยู่จิงขมวดคิ้ว
“ข้าหมายถึง…ผู้อาวุโสฮั๊วน่ะ…” ฝานซงรีบแก้ตัว
ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก
ฝานลี่เทียนได้ตบไปที่คอของฝานซง ฝานซงที่ได้สัญญาณแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเขากำลังทำผิดไป ตัวเขารีบพูดออกมาอีกครั้ง “แม่นางฮั๊ว” คำที่ฝานซงใช้เรียกเป็นคำที่ดูผิดแปลกจนเกินไป เมื่อเห็นการแสดงออกของฝานซง ฮั๊วยู่จิงก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขายังเป็นโสดจนมาถึงวันนี้ได้
ฝานซงได้คารวะก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “แม่นางฮั๊ว”
ฮั๊วยู่จิงไม่ใช่คนที่ถือสาเรื่องเล็กน้อย นางได้คารวะทั้งสองคนกลับไป
ฝานซงที่เห็นแบบนั้นก็ได้ถามออกมา “แม่นางเห็นท่านปรมาจารย์บ้างรึเปล่า? “
“ท่านมีธุระกับท่านปรมาจารย์อย่างงั้นหรอ ท่านผู้อาวุโส? ” ฮั๊วยู่จิงหันกลับไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะถามออกมา
ฝานลี่เทียนได้ตอบกลับไป “ข้าโชคดีที่ได้รับดอกแมกโนเลียสีดำมาจากท่านปรมาจารย์ เพราะแบบนั้นข้าก็เลยเบิกจุดตันเถียนได้อีกครั้ง…เพราะแบบนั้นข้าก็เลยอยากที่จะขอบคุณท่านปรมาจารย์ด้วยตัวเอง”
“ในตอนนี้ท่านฟื้นฟูพลังวรยุทธได้แล้วอย่างงั้นหรอท่านผู้อาวุโส? ” ฮั๊วยู่จิงเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับสุดยอดฝีมือของสำนักแห่งความบริสุทธิ์มาก่อน ฝานลี่เทียนถือได้เป็นยอดคนที่อยู่ในเรื่องราวนั้น เมื่อได้ยินว่าพลังวรยุทธของเขากำลังฟื้นฟูกลับมา เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกตกใจ
ฝานลี่เทียนส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้ายังไม่ได้ฟื้นฟูพลังวรยุทธทั้งหมดกลับมาได้หรอกนะ ข้าน่ะยังต้องใช้เวลาอีกนาน ถ้าหากกะไม่ผิดก็คงจะใช้เวลากว่า 5 ปีแน่กว่าที่ข้าจะกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเดิมได้”
ฝานซงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พยักหน้าให้พร้อมทั้งรอยยิ้ม
ฝานลี่เทียนเองก็เพิ่งจะผ่านการสนทนากับฝานซงมาเมื่อไม่นานนี้ ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามฝานลี่เทียนก็ยังไม่ถูกฝานซงยอมรับอยู่ดี ที่ฝานซงสนิทกับฝานลี่เทียนเป็นพิเศษเพราะตัวเขาคิดว่าทั้งคู่มาจากสำนักเดียวกัน พวกเขาทั้งคู่ได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งราวกับคนรู้จักที่หายหน้ากันไปนาน บางครั้งทั้งคู่ไม่ได้คิดถึงด้วยซ้ำว่าใครที่เป็นผู้อาวุโสหรือใครที่เด็กกว่ากัน ฝานลี่เทียนเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไรแบบนี้ด้วยเช่นกัน
“ยินดีด้วยผู้อาวุโส” ฮั๊วยู่จิงได้กล่าวคำแสดงความยินดี
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะว่าท่านปรมาจารย์อยู่ที่ไหนกัน ข้าไปศาลาทางตะวันออกและห้องโถงใหญ่มาแล้ว แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ยังหาเขาไม่พบ” ฝานลี่เทียนได้พูดกลับเข้าเรื่อง
ฮั๊วยู่จิงได้ตอบกลับมา “ท่านปรมาจารย์อยู่ที่ศาลาทางใต้ ข้าคิดว่าเดี๋ยวเขาก็จะออกมาแล้วล่ะ”
“ขอบคุณมาก”
“ขอบคุณแม่นางฮั๊ว…” ฝานซงได้พูดออกมาติดๆ ขัดๆ
“…” ฮั๊วยู่จิงเองก็ได้แต่มองอย่างช่วยไม่ได้ นางได้กลับไปศาลาทางใต้พร้อมๆ กับทั้งสองคน
เมื่อพวกเขาทั้งสามคนมาถึงศาลาทางใต้ ในตอนนั้นเองพลังสีฟ้าก็ได้แผ่ขยายออกมาจากห้องของจ้าวยู่ราวกับคลื่นขนาดยักษ์ มันได้ล้อมรอบตัวนางเอาไว้
“ระวัง! “
ฮั๊วยู่จิง, ฝานลี่เทียน และฝานซงต่างก็ใช้พลังป้องกันขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน พวกเขาทั้งสามได้เปลี่ยนพลังลมปราณที่ตัวเองมีเพื่อสร้างม่านพลังสำหรับการป้องกันขึ้น
ตู๊ม!
แต่น่าเสียดาย ไม่นานหลังจากที่พลังจากทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน ม่านพลังป้องกันของพวกเขาทั้งสามคนก็ได้แตกกระจายออกมาเป็นเสี่ยงๆ
ทั้งสามเดินโซเซไปที่ด้านหลังก่อนที่คลื่นพลังสีฟ้าจะค่อยๆ อ่อนตัวลง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปยังห้องของจ้าวยู่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“นี่มัน…” ฝานซงถึงกับพูดไม่ออก
ฮั๊วยู่จิงเองก็สับสน นางได้อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “นี่มันพลังอะไรกัน? “
ฝานลี่เทียนลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะจ้องมองไปที่ม่านพลังที่อยู่บนท้องฟ้าแทน
“มันเป็นพลังของม่านพลังไม่ผิดแน่”
“มิน่า…”
“เหตุใดท่านปรมาจารย์ถึงใช้พลังจากม่านพลังด้วยล่ะ? ” ฮั๊วยู่จิงเองไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย
นางไม่ใช่คนเดียวที่ไม่เข้าใจ แม้แต่ผู้ที่มีความรู้กว้างขวางและมากด้วยประสบการณ์อย่างฝานลี่เทียนเองก็ยังสับสนเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นลู่โจวก็ได้ออกจากห้องมา ตัวเขาได้เอามือไขว้หลังก่อนที่จะกวาดตามองไปทั่ว ลู่โจวเห็นฮั๊วยู่จิง, ฝานซง และฝานลี่เทียนยืนอยู่ ตัวเขาจ้องมองไปที่ฝานลี่เทียนก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ารู้สึกยังไงบ้างที่ได้พลังวรยุทธกลับคืนมา? “
แม้จะต้องใช้เวลาอีกนานกว่าที่ฝานลี่เทียนจะกลับมาแข็งแกร่งเหมือนเก่าได้ แต่ในตอนนี้อย่างน้อยๆ ตัวเขาก็มีหวังขึ้นมาแล้ว
“ฝานลี่เทียนได้โค้งคำนับก่อนที่จะตอบกลับ “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่าน…ตั้งแต่วันนี้ไปชีวิตของข้าที่เหลือจะใช้เพื่อศาลาปีศาจลอยฟ้าเอง””
ฮั๊วยู่จิงและฝานซงมองไปที่ฝานลี่เทียนอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลู่โจวสังเกตเห็นได้ว่าค่าความจงรักภักดีของฝานลี่เทียนกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะตรงกับทัศนคติที่ตัวเขามี
เมื่อฝานลี่เทียนพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ตัวเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะพูดมันออกมา เห็นได้ชัดว่าฝานลี่เทียนได้พูดสิ่งนี้ออกมาจากใจ แม้จะพูดเสร็จตัวเขาก็ไม่มีท่าทีความตื่นเต้นใดๆ ฝานลี่เทียนยังคงสงบนิ่งและเก็บความรู้สึกเอาไว้ได้
นับว่าฝานลี่เทียนคือคนแรกที่สามารถแสดงความจงรักภักดีผ่านคำพูดที่ออกมาจากปากได้ นอกจากนี้แล้วคำพูดของเขามันยังเต็มไปด้วยความจริงใจที่น่าฟังอีกด้วย
ฮั๊วยู่จิงและฝานซงเองดูกระอักกระอ่วนใจ ทั้งคู่ได้แต่ใช้ความคิดอยู่ภายในใจ ‘ยิ่งฝึกฝนยิ่งเชี่ยวชาญ ยิ่งอายุมากก็ยิ่งเก่งกล้า ถ้าหากเทียบกับผู้อาวุโสคนนี้แล้วพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กไร้ประสบการณ์’
ฝานลี่เทียนยังคงพูดต่อไป “ก่อนหน้านี้ข้าไปที่ศาลาทางตะวันออกมา ข้ารู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่แผ่ออกมาได้…พลังวรยุทธที่ท่านปรมาจารย์มีได้เปิดหูเปิดตาข้าจริงๆ ท่านปรมาจารย์ พลังที่ท่านมีเป็นพลังที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าเกรงว่าท่านจะเป็นเพียงคนเดียวในใต้หล้านี้ที่สามารถใช้พลังพิเศษแบบนั้นได้”
ฮั๊วยู่จิงและฝานซงที่ได้ฟังแบบนั้นรู้สึกสับสน
ลู่โจวในตอนนี้ยังคงเงียบ สิ่งที่ฝานลี่เทียนพูดออกมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
ในตอนนั้นเองลู่โจวก็จำได้ว่าฝานลี่เทียนเป็นพวกที่เดินทางมาไกล ฝานลี่เทียนคงจะมีความรู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา ตัวเขาที่นึกแบบนั้นได้ขึ้นมา “เมื่อจ้าวยู่ยังเด็ก นางได้ถูกพลังฝ่ามือหยินแห่งความมืดโจมตีจนได้รับพิษเย็นเข้าสู่ร่างกาย เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนไหมผู้อาวุโสฝาน? “
“ฝ่านมือหยินแห่งความมืดอย่างงั้นหรอ? ” ฝานลี่เทียนขมวดคิ้วก่อนที่จะใช้ความคิดไปพักหนึ่ง “ฝ่ามือหยินแห่งความมืดนับว่าเป็นเคล็ดวิชาจากลัทธิเต๋าด้านมืด อันที่จริงข้าก็พอจะรู้จักผู้ที่ใช้พลังฝ่ามือหยินแห่งความมืดอยู่”
ลู่โจวยังคงเงียบ
ฮั๊วยู่จิงและฝานซงเองจ้องมองไปที่ฝานลี่เทียนอย่างไม่ละสายตา
ฝานลี่เทียนไม่ได้เดินทางในโลกกว้างเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ว่ากันว่าเขาคนนี้ยังได้เคยติดต่อกับคนในพระราชสำนักอยู่บ่อยครั้งหลังจากที่ออกมาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วฝานลี่เทียนคนนี้ได้ทำอะไรในตลอดเวลาที่ผ่านมา
“คนคนนั้นก็คือหลี่ยุนจ้าว คนคนนั้นเป็นยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายของอัครมเหสี”
“หลี่ยุนจ้าวอย่างงั้นหรอ? ” ฮั๊วยู่จิงที่ได้ยินเบิกตากว้าง
ในตอนนั้นเองเสียงของจ้าวยู่ก็ได้ดังออกมาจากห้องของนาง หลังจากที่ไออย่างรุนแรงออกมาเสียงของนางก็ได้ดังขึ้น “ท่านอาจารย์…ศิษย์นึกออกแล้ว ศิษย์จำได้ว่าคนที่มาหาศิษย์ก็คือเขาคนนั้น หลี่ยุนจ้าว”