CF:บทที่ 31 การลาออก
ถ้ามันเป็นขั้นหลังๆของการวิจัย แล้วพวกเขาจ่ายเงินไปเยอะมากในงานวิจัย ในตอนนั้น พวกเอาอาจจะใช้วัตถุพวกนั้นมาเล่นงานเขาได้
ในขั้นแรกเริ่มนี้ เขาจึงไม่มั่นใจในโครงการนี้ ถ้าราคามันสูงเกินไป มันย่อมเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
“จี้ นายว่ามันเหมาะสมไหมที่ฉันจะถามพวกเขาว่าต้องการเท่าไหร่?”
ในเมื่อเขาตัดสินใจไม่ได้ ก็ให้จี้จัดการเรื่องราคาที่เหมาะสมแทน ถ้าจะให้คนอื่นรู้ อย่างแรกที่เขาต้องทำด้วยปัญญาประดิษฐ์คือเตรียมแบล็คเมล์ไว้ให้มาก เขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะงั้นต้องมีแรงกระตุ้นที่จะบีบพวกเขาด้วย
“ระหว่าง 500 ล้านถึง 1 พันล้าน ถ้ามากกว่า 1 พันล้านอีกฝ่ายจะปฎิเสธตรงๆ”
ได้ยินข้อเสนอของ จี้แล้วอู๋ ฮ่าวเหรินก็ได้ราคาที่สมเหตุสมผลที่สุด
ไม่เกี่ยวว่าจะราคาเท่าไหร่ อีกฝ่ายคงไม่มีทางจ่ายหนักขนาดนั้นเพื่อซื้อวัตถุดิบวิจัยที่มีเพียงแค่ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จ
“มันจะมีมูลค่า 1 พันล้าน แล้วก็สร้างบัญชีธนาคารที่ไม่ระบุตัวตนไว้ด้วย ถ้าพวกเขาตกลง นายก็ดำเนินการกับพวกเขาได้เลย”
ดูที่เทคโนโลยีล้ำสมัยที่น่าดึงดูพวกนี้แล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินก็ส่ายหน้า มันดูไม่สมจริงเกินที่จะกระตุกคนอ้วนเลย ดูเหมือนว่าเขาจะต้องค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น
หลังจากที่สร้างโรงงานเครื่องดื่มเสร็จ และแบล็คเมล์ญี่ปุ่นสำเร็จ เขาจะตั้งห้องทดลองสำหรับวิทยาศาสตร์และการพัฒนา เพื่อที่จะเอาวิทยาการอะไรออกมาโดยไม่ถูกสงสัย
หลังจากสั่งให้จี้ปิดตัวลงแล้ว ห้องก็กลับมาเป็นสภาพเดิมแล้วมองดูรูปร่างดั้งเดิมของจี้ จริงๆแล้วจี้ก็ยังทำงานอยู่มันเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ที่ข้อมือเขา อู๋ ฮ่าวเหรินค่อยๆใส่มันลงในกระเป๋าบนหัวเตียง
ในนั้นยังมีมีดทำครัวความถี่สูงอยู่ด้วย เมื่ออะไรๆมันลงตัวแล้ว เขาต้องหาที่จะเก็บของพวกนี้ได้อย่างปลอดภัยด้วย
แน่นอนว่า เขาก็สามารถใส่ของพวกนี้ลงไปในระบบซองแดงเพื่อที่จะมั่นใจในความปลอดภัยได้ด้วย อย่างไรก็ตาม สมองแสงปัญญาอย่าง จี้ไม่สามารถจะใส่ลงไปในระบบซองแดงได้ เนื่องจากมันต้องพร้อมใช้งานทุกเวลา
ตอนนี้มือถือบนข้อมือเขาสามารถเชื่อมต่อกับจี้ผ่านดาวเทียมได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว
ในเช้าวันถัดมา อู๋ ฮ่าวเหรินตื่นแต่เช้า หลังจากกินอาหารเช้าที่ทำโดยแม่เขาแล้ว เขาก็พร้อมจะมุ่งไปที่เมือง ไปที่ชิงหยวนและทำเรื่องลาออกให้จบ
คำร้องเรื่องการลาออกของเขาถูกส่งมาไปที่กล่องจดหมายของบริษัทแล้ว การลาออกของเขาเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีงานอะไรที่เขาต้องไปจัดการเพิ่มเติม
สิ่งที่อู๋ ฮ่าวเหรินไม่รู้ก็คือสาเหตุที่การลาออกเป็นไปอย่างราบรื่นได้นั้น เพราะการขายหยกของเขามีส่วนด้วยอย่างมาก
“อู๋เฉง หลังจากที่นายไปส่งฉันที่เมืองแล้ว นายก็ขับกลับไปได้เลย”
คนๆนี้คือคนขับรถที่อู๋ ฮ่าวเหรินหามา เขาเป็นคนจากหมู่บ้านที่เดิมทีเป็นคนขับแท็กซี่ในเมืองและกลับบ้านมาในช่วงวันปีใหม่ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาไปถามหาคนขับรถแล้วลุงวู่ก็แนะนำคนนี้มาด้วยเงินเดือนให้เขาเดือนละ 3000 หยวน
“ครับ ลูกพี่ฮ่าว”
…
ณ เมืองชิงหยวน ตึกสำนักงานที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรม หม่า เกี๋ยนจุนนั่งอยู่ในสำนักงานกำลังดูธุรกิจของบริษัทในช่วงนี้อยู่
คิดถึงสิ่งที่น้องสาวเขาพูดกับเขาแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาคิดไว้ว่าหลังจากที่กลับมาทำงานแล้วเขาจะใช้อู๋ ฮ่าวเหรินเป็นตัวตายตัวแทน ไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่โผล่เลยสามวันติดกัน
ผลที่ได้ก็คือ ณ การประชุมในสองวันนี้เขาถูกหลี จ๋วนตำหนิในงานโปรเจคของเขา
อู๋ ฮ่าวเหรินผู้ที่เคยจะเป็นแพะรับบาปนั้นไม่ได้มา ตอนนี้เขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น และไม่กล้าที่จะยัดความผิดให้ชายคนนี้
“เสี่ยว หวาง นายไปที่ฝ่ายบุคลากรแล้วถามดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอู๋ ฮ่าวเหริน ทำไมเขาถึงไม่มาทำงาน? เขาอยากจะลาออกรึเปล่า?”
“ครับ ผู้จักการหม่า”
ในขณะนี้อู๋ ฮ่าวเหรินก็เพิ่งลงจากรถแท็กซี่และยืนอยู่ใต้ตึกของบริษัทแล้ว
เมื่อหม่า เกี๋ยนจุนส่งเสี่ยว หวางไปสอบถามเรื่องอู๋ ฮ่าวเหรินเขาก็ไม่ได้คำตอบอะไรจากฝ่ายบุคลากรและกลับไปรายงานหม่า เกี๋ยนจุน อู๋ ฮ่าวเหรินก็เดินเข้ามาในแผนกบุคลากรพอดี
หลี เสี่ยวเหมยจากฝ่ายบุคลากรเห็นว่าอู๋ ฮ่าวเหรินเดินเข้ามา
“โอ้!” เธออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวอู๋ ทำไมถึงเพิ่งมาทำงานเอาตอนนี้ล่ะ? เจ้าคนประจบสอพลอนั่นส่งคนมาถามหานายตั้งหลายรอบ นายกำลังจะซวยแน่ๆ”
อู๋ ฮ่าวเหรินตกใจ เขางงว่ารายงานการลาออกถูกส่งมาและได้รับการอนุมัติแล้ว ทำไมคนของฝ่ายบุคลากรถึงไม่รู้เรื่องนี้ได้
อู๋ ฮ่าวเหรินยิ้มและพูดว่า “พี่เหมย พี่ล้อผมเล่นรึเปล่า ผมส่งรายงานเรื่องการลาออกมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน และทางบริษัทก็อนุมัติแล้ว”
“อ้าว! นายลาออกเหรอ? ฉันไม่มีบันทึกเรื่องการลาออกของนายเลย!”
หลี เสี่ยวเหมยเกิดความสงสัย ถ้าอู๋ ฮ่าวเหรินลาออกจริงๆ เธอก็น่าจะมีบันทึกอยู่ที่นี่ หม่า เกี๋ยนจุนก็น่าจะรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ดูจากสีหน้าของเหมยแล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินขมวดคิ้วและพูดว่า “ผมส่งเรื่องลาออกและได้รับการอนุมัติแล้ว แล้วผมก็ส่งเรื่องลาออกด้วยอีเมล์ตรงๆ อย่างที่พี่รู้ว่ามันไม่มีคนอยู่ที่บริษัทช่วงปีใหม่ วันนี้ผมแค่จะมาทำเรื่องลาออกให้เสร็จเรียบร้อย”
“ลาออกด้วยอีเมล์สินะ รอสักครู่ ขอฉันตรวจดูก่อน”
ไม่ช้าหลี เสี่ยวเหมยก็เจอเมลคำร้องขอลาออกของอู๋ ฮ่าวเหรินและคนที่ตอบกลับด้านล่างคือหลิว จ๋วนประธานบริษัทของเธอนั่นเอง
เธอสงสัยว่า ทำไมประธานถึงเป็นคนอนุมัติการลาออกของอู๋ ฮ่าวเหรินด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามในเมื่อประธานอนุมัติอแล้ว อู๋ ฮ่าวเหรินก็ถือว่าลาออกแล้วจริงๆ
“พี่เหมย มันไม่เป็นไร ถ้ามันยังไม่เรียบร้อยพี่ช่วยผมทำเรื่องลาออกก็ได้”
“ไม่มีปัญหา ฉันจะจัดการให้นายเอง อย่างไรก็ตามเสี่ยวอู๋ นายก็ทำงานในบริษัทมาอย่างดี ทำไมนายถึงคิดจะลาออกล่ะ? ไปเจอที่ๆดีกว่าและเตรียมจะก้าวหน้าในการงานเหรอ? บอกพี่เหมยเกี่ยวกับบริษัทนั้นได้รึเปล่า?”
“อยากจะทำงานในฝ่ายไหนล่ะพี่เหมย? ผมจะกลับไปที่บ้านเกิดของผมในปีนี้ และผมก็กำลังจะทำธุรกิจเล็กๆในบ้านเกิดผมน่ะ”
“โอ้! ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่านายจะตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมา นายต้องการใครสักคนแบบพี่เหมยคนนี้ ไหม? ฉันจะทำงานให้นายเอง” หลี เสี่ยวเหมยพูดติดตลก
หลี เสี่ยวเหมยล้อเล่น แต่อู๋ ฮ่าวเหรินสนใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คิดถึงสถานะของเหมย เจี่ยแล้วเขาก็ล้มเลิกอีกครั้ง
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตามเขาไปที่เมืองเล็กๆนั่น เพราะว่าพวกเขาได้ตั้งรกรากบ้านไว้ที่นี่แล้ว
“พี่เหมย ตราบใดที่พี่คิดจะมา ผมก็ต้องการพี่เสมอ บริษัทผมเพิ่งจะขึ้นทะเบียนได้ นอกจากคนขับรถแล้ว ตอนนี้ก็มีผมคนเดียวอยู่เลย”
“นายรวยเหรอ พ่อหนุ่ม?”
ฟังจากน้ำเสียงของอู๋ ฮ่าวเหรินแล้ว เสี่ยวเหมยประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อคิดว่าเด็กคนนี้รวยแล้วจริงๆ
“แค่มีโชคลาภนิดหน่อยเอง”
“ฉันไม่คาดคิดเลยว่านายจะรวยแล้ว ไม่สิ วันนี้นายต้องเลี้ยงแล้ว”
“ก็ได้ ในเมื่อพี่เหมยเป็นคนพูดเอง ต่อให้ไม่ได้ ผมก็จะชวนพี่ไปกินข้าวตอนผมกลับ ขอบคุณที่พี่ดูแลผมมาตลอดปีที่ผ่านมา”
ณ ตอนนี้เอง จู่ๆประตูก็ถูกพลักอย่างรุนแรงจากข้างนอก และเห็นหม่า เกี๋ยนจุนเดินเข้ามา
เมื่อเขาเห็นอู๋ ฮ่าวเหรินเขาก็ตกใจ จากนั้นเขาก็แสยะและพูดว่า “โฮ่ นายรู้จักที่จะมาทำงานด้วย รู้ไหมว่าผลของการกระทำของนายตลอดสามวันนี้รึเปล่า? ตอนนี้บริษัทสามารถไล่นายออกได้อย่างไม่มีเงื่อนไขเลยนะ”
หม่า เกี๋ยนจุนก็โมโหใส่อู๋ ฮ่าวเหรินทันที หลี เสี่ยวเหมยตามเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ทันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ดูจากความโกรธของหม่า เกี๋ยนจุนแล้ว เธอต้องเตือนผู้จัดการคนนี้ว่าอู๋ ฮ่าวเหรินไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่อีกต่อไปแล้ว
“ช้าก่อน ผู้จัดการหม่า…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าหมอนี่เพราะเขาไม่ยอมมาทำงานในสามวันนี้ เขาเลยต้องการให้ฝ่ายบุคลากรจัดการเรื่องวันหยุดให้ หลี เสี่ยวเหมย เธอก็เป็นพนักงานของที่นี่มานานแล้ว เธอไม่น่าจะพลาดในเรื่องแบบนี้…”
ฟังสิ่งที่หม่า เกี๋ยนจุนสั่งสอนมาอย่างยาว หลี เสี่ยวเหมยก็พูดไม่ออก เธอมองไปที่อู๋ ฮ่าวเหรินและดูท่าทีของชายคนนี้
ก็ได้ ในเมื่อนายไม่ปล่อยให้ฉันพูด ฉันก็จะไม่พูด
“นี่แกทำสายตาอะไรอยู่ ฉันกำลังบอกแกว่าครั้งนี้แกจะต้องถูกไล่ออกแน่ๆ”
แต่เมื่อพบว่าอู๋ ฮ่าวเหรินไม่ได้สนใจสิ่งที่เขาพูดเลย หม่า เกี๋ยนจุนก็หวั่นเกรง มันควรจะยากสำหรับชายคนนี้ที่จะหางานเพราะเขามีประวัติเสียติดตัวแท้ๆ
“ใครจะถูกไล่ออกเหรอ? เกิดอะไรขึ้นกับบริษัทกัน?”
จากข้างนอกมีเสียงผู้หญิงที่ฟังดูรู้สึกขี้เกียจดังมา ซึ่งทำให้คนทั้งห้องสั่นและหันไปมองที่ประตูทันที
—————————