บทที่ 191 ส่วนสูงเพิ่มขึ้นพร้อมกับอาการตะคริว
ท่านแม่โจวรู้ดีว่านางเองก็ลำเอียงรักครอบครัวสาขาสี่มากกว่า แต่นางก็ไม่ได้ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัดนักในบรรดาลูกชายสี่คน ไม่อย่างนั้นแล้วคนอื่น ๆ จะยังยอมอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไรล่ะ?
เมื่อเห็นว่าในตอนนี้ลูกชายทั้งสี่มีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดไหน มันก็พิสูจน์ได้แล้วว่านางไม่ได้ลำเอียงจนเกินไปนัก
พี่เขยรองตอบกลับด้วยรอยยิ้มแหย หลังทิ้งเงินไว้ให้เขาก็ผละจากไป
สองวันต่อมา โจวชิงไป๋ออกไปซื้อยาฆ่าแมลงและปุ๋ยตามคำสั่งของฝ่ายผลิต จากนั้นเขาก็ส่งอิฐและกระเบื้องมาให้พี่เขยรองเป็นคันรถ
มีอิฐและกระเบื้องเท่าคันรถนี้แล้ว พี่เขยรองก็วางใจสบายได้ในที่สุด ในคืนนั้นเขาถึงกับมุ่งหน้าไปอยู่เฝ้าปักหลักที่บ้านใหม่เพราะกลัวว่าจะมีคนมาขโมยอิฐและกระเบื้อง
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง อิฐและกระเบื้องไม่ใช่ของที่จะได้มาง่าย ๆ ในยุคนี้ หากโจวชิงไป่ไม่ได้มีเส้นสายกับทางการและได้รับจดหมายรับรองมา พวกเขาจะได้อิฐและกระเบื้องมาเป็นคันรถแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ?
มันขนาดแคลนหนักมากขนาดที่ว่าต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถหาซื้อได้เลยทีเดียว
และต่อให้ซื้อมาได้ ก็ไม่มีใครสามารถนำกลับมาได้มากเป็นคันรถแบบนี
ถ้ามันไม่ใช่เพราะเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้จะมีปัญหาขาดแคลนบ้านงั้นเหรอ?
พี่เขยรองสามารถย้ายครอบครัวออกมาได้แบบนี้ก็ต้องขอบคุณเงินตั้งตัวไว้ใช้ในยามฉุกเฉินที่ยืมมาจากคุณลุงในตระกูล
พูดถึงจุดนี้แล้ว นับว่าเขามีมนุษยสัมพันธ์ดีทีเดียว หากพี่ชายใหญ่ของเขาเป็นคนมาขอยืมล่ะก็ไม่ต้องหวังเลย
แน่นอนว่าพี่สาวรองก็มีส่วนร่วมด้วยเหมือนกัน
ใครจะไม่รู้ล่ะว่าน้องชายสี่ของหล่อนจะเป็นคนมีความสามารถ?
ต่อให้เขาลาออกจากกองทัพแล้ว เขาก็ยังเป็นบุคคลสำคัญในหมู่บ้านอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการรายงานผลผลิตหรือการออกไปซื้อยาฆ่าแมลงกับปุ๋ยในฐานะของตัวแทนฝ่ายผลิต เขาก็มักจะเป็นคนได้ทำหน้าที่นี้เสมอ
ไม่ว่าจะมากหรือน้อย พวกเขาก็เต็มใจที่จะเชื่อมสัมพันธ์ด้วย
อย่างเช่น การได้เห็นโจวชิงไป๋ขนอิฐกับกระเบื้องมาเป็นจำนวนมากในครั้งนี้ มันก็ทำให้ทุกคนมีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาแล้ว
อย่าว่าแต่คนอื่น ๆ เลย แม้แต่พ่อแม่ของพี่เขยรองผู้ลำเอียงก็ยังต้องคร่ำครวญกับเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม บ้านอิฐของพี่เขยรองกับพี่สาวรองก็ได้สร้างเสร็จในเวลาครึ่งเดือนด้วยอิฐคันรถนี้
ครอบครัวนี้ที่มีคนทั้งหมด 7 คนไม่คิดที่จะเลือกฤกษ์ย้ายบ้านและย้ายเข้ามาอยู่ทันทีอย่างไม่ลังเล
หลังย้ายเข้ามาอยู่แล้ว พวกเขาก็ยังขาดของหลายอย่าง แต่มันก็ไม่เป็นไรนักหรอก ต่อให้พวกเขาต้องหุงหาอาหารในหม้อแตก ๆ ในทันทีที่ย้ายออกมา มันก็ยังดีกว่าต้องรองรับโทสะของคนฝั่งนั้น
การแยกครอบครัวครั้งนี้นี่เอง ทำให้พี่สาวรองผู้ซื่อตรงบังเกิดความเกลียดชังอย่างหาดูได้ยากขึ้นมา
ซึ่งมันรวมถึงเรื่องบาดหมางที่มีแต่เดิมด้วย อย่างเช่นเรื่องการปฏิบัติไม่ดีต่อหล่อนในระหว่างการพักฟื้นหลังคลอดบุตรและเรื่องอื่น ๆ ทำนองนั้นก็นับ
แต่พี่สาวรองไม่ได้เอ่ยออกมาสักคำเดียว ทว่านับจากนี้เป็นต้นไป หล่อนจะถือว่าตัวเองมีแค่ครอบครัวฝั่งแม่ จะไม่นับญาติกับครอบครัวสามีแล้ว!
ผู้หญิงบางคนในหมู่บ้านอิจฉาหล่อนมาก แต่พวกหล่อนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรที่เจ็บช้ำน้ำใจออกมา พวกหล่อนต่างพากันอวยพรว่าความยากลำบากของหล่อนสิ้นสุดลงแล้ว และจะมีแต่ความสุขในวันข้างหน้า
คนแก่คนเฒ่าบางคนในหมู่บ้านมองครอบครัวของพี่สาวรองย้ายออกมาโดยที่พ่อแม่สามีของหล่อนเลือกที่จะเชื่อลูกชายคนโต จากนั้นพวกเขาก็พากันส่ายหน้า
สองผู้เฒ่านั่นไม่ปกป้องลูกชายคนรองกับสะใภ้รองที่กตัญญูต่อพวกเขาเลย แต่กลับเลือกยืนข้างลูกชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัว
มันไม่มีปัญหาหรอกหากพวกเขายังเดินเหินไปไหนมาไหนได้ แต่ในภายภาคหน้าที่พวกเขาไม่สามารถทำงานได้แล้ว พวกเขาคิดเหรอว่าครอบครัวลูกชายจะคอยดูแลพวกเขา?
คนเหล่านั้นคิดแล้วก็ได้แต่กวาดหิมะที่หน้าประตู และไม่กล้าพูดอะไรมากนัก
พี่สาวรองเป็นคนที่สุภาพมาก หล่อนขอยืมไข่ตะกร้าหนึ่งจากในหมู่บ้านและนำมาด้วย จากนั้นก็แจกให้ครอบครัวละ 2 ชั่งเป็นสิ่งของแสดงความขอบคุณต่อญาติพี่น้องฝั่งแม่
บรรดาน้องชายฝั่งแม่ไม่เท่าไหร่ แต่หล่อนต้องแสดงความขอบคุณต่อบรรดาสะใภ้
บรรดาน้องชายมีความรักใคร่กลมเกลียวจากการเติบโตมาด้วยกันอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถือเรื่องนี้มากนัก แต่บรรดาสะใภ้นั้นต่างออกไป เพราะระหว่างพวกหล่อนยังมีกำแพงระหว่างกันอยู่ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หล่อนต้องแสดงน้ำใจ
ส่วนเงินที่ยืมมา หล่อนจะค่อย ๆ จ่ายคืนให้ หล่อนเองก็มีปัญหาจ่ายอยู่
แม้แต่สะใภ้รองก็ยังยิ้มให้และเอ่ยว่าพี่สาวรองอ่อนโยนเกินไปแล้ว
หลินชิงเหอไม่มีอะไรกล่าวมากนัก เธอทำแค่หยิบเศษเนื้อหมูครึ่งชั่งมาให้พี่สาวรอง
พี่สาวรองไม่อาจปฏิเสธได้และนำเนื้อหมูกลับไปด้วยอย่างยอมจำนน
หล่อนมีหลากอารมณ์ผสมกันในระหว่างขากลับ สะใภ้สี่ไม่เคยมีความสำคัญในหัวใจหล่อนมาก่อนจริง ๆ แต่พอน้องชายสี่กลับมา เธอก็ทำตัวดูเป็นภรรยามากขึ้น วันปีใหม่นี้เธอยังพาเด็ก ๆ มาพบกับพวกเขาด้วย
หลินชิงเหอไม่ได้คิดอะไรมาก หล่อนเป็นพี่สาวของโจวชิงไป๋ เธอจึงต้องแสดงความสุภาพออกมาบ้างเท่านั้น
ตอนนี้เธอกำลังนวดแป้งอยู่ เพราะวันนี้พวกเขาจะทานแป้งจี่กัน น้ำซุปวันนี้เป็นน้ำซุปกระดูกหมูที่เธอเคี่ยวไว้นานแล้ว จนน้ำซุปมีสีขาวข้นราวน้ำนมและส่งกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เมื่อโรยต้นหอมซอยลงไปกำมือหนึ่งมันก็มีรสชาติเยี่ยมยอด
แป้งจี่นี้ก็ช่างเหมาะเจาะกับการกินคู่น้ำซุปจริง ๆ
เมื่อวานนี้เธอเข้าไปในอำเภอเพื่อซื้อไข่มาอีก 3 ตะกร้า วันนี้พี่สาวรองนำไข่มาราว 2 ชั่งเหมือนกัน เธอจึงลงมือเจียวไข่ดาวยางมะตูมให้ทุกคน
ไข่ดาวยางมะตูมกรอบนอกฉ่ำในนี้แม้แต่ซูเฉิงน้อยยังชอบกิน
ไม่ต้องพูดถึงสามพี่น้องในบ้านเธอที่มักจะได้กินของดีอยู่ตลอดเลย
“แม่ ช่วงนี้ผมรู้สึกขาเป็นตะคริวบ่อยตอนหลับล่ะครับ” เจ้าใหญ่เปรยขึ้นมาขณะกินอาหาร
หลินชิงเหอได้ฟังก็ตกใจ “หรือว่านี่จะเป็นอาการขาดแคลเซียม?”
“อะไรนะ?”
ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวต่างอึ้งไป
โจวชิงไป๋มองภรรยาของตน คำพูดบางคำของเธอเป็นคำพูดในทศวรรษหน้าที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในตอนนี้
อย่างเช่นการเป็นตะคริวที่ขา มันเกี่ยวอะไรกับการขาดแคลเซียมด้วยล่ะ?
“หมายถึงตอนนี้ลูกกำลังอยู่ในช่วงที่ร่ายกายโตเร็วที่สุด กระดูกเลยขยายตัว แต่ว่าร่างกายของลูกไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ลูกก็เลยเป็นตะคริวที่ขาตอนกลางคืนน่ะ” หลินชิงเหออธิบาย แล้วก็เอ่ยเสริม “นี่เป็นสิ่งที่แม่เจอมาในหนังสือ”
เมื่อท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวได้ยินว่ามันมาจากในหนังสือ พวกเขาก็มีท่าทีจริงจัง
“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?” ท่านพ่อโจวถาม
เขาเป็นห่วงหลานชายคนโตคนนี้มาก ยิ่งกว่านั้นชายชราคนนี้ยังคาดหวังที่จะเห็นหลานชายสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยและนำเกียรติมาให้วงศ์ตระกูลอีกด้วย
“ครอบครัวของเรากินดีขนาดนี้ ทำไมถึงยังได้สารอาหารไม่พออีกล่ะ?” ท่านแม่โจวเอ่ย
“อาหารที่บ้านเรานับว่าดีมาก แต่แค่นี้มันยังไม่พอสำหรับการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ หรอกค่ะ นับจากพรุ่งนี้ไป ฉันจะสั่งนมเพิ่มอีก 2 ขวด เจ้าใหญ่ ลูกต้องดื่มเพิ่มนะ” หลินชิงเหอเอ่ยเด็ดขาด
“มันจะไม่มากเกินไปเหรอ?” ท่านแม่โจวถาม
“คุณแม่คะ เด็ก ๆ จะมีเวลาในการเติบโตไม่กี่ปีนี้หรอกนะคะ พ้นช่วงนี้ไปแล้วเขาจะไม่สูงขึ้นอีกต่อให้คุณจะบำรุงให้เขาในอนาคตแค่ไหนก็ตาม” หลินชิงเหอบอก
ความจริงแล้วเด็กในวัยนี้ไม่ต้องการการบำรุงมากนัก นอกจากอาหารสามมื้อต่อวันแล้วก็แค่ดื่มนมเพิ่มอีกสักหน่อย นี่เป็นมาตรฐานการเลี้ยงดูเด็กในยุคปัจจุบันที่เห็นได้ทั่วไป
มันไม่เชิงว่าเป็นการบำรุงหรอก
“เอาตามที่สะใภ้สี่ว่าแล้วกัน” ท่านพ่อโจวพยักหน้า
หลินชิงเหอยิ้มและมองดูเจ้าใหญ่ “ลูกต้องโตดี ๆ และสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้นะ ลูกอีกสองคนก็เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาแล้วก็ตอบแทนแม่ให้สมกับเงินทั้งหมดที่แม่ใช้เลี้ยงดูลูก ๆ ด้วย”
ได้ยินดังนี้แล้ว ท่านแม่โจวก็หัวเราะและเอ่ยขึ้น “นั่นก็เกินไป! เป็นเรื่องดีแล้วล่ะที่ตำบลของเราสร้างเด็กมหาวิทยาลัยได้สักคน”
“แม่ครับ ผมจะสอบเข้ามอหนึ่งในเทอมหน้า ผมได้ยินมาว่าชั้นมอหนึ่งมันมีการแข่งขันอยู่ มันจะมีทุนให้หรือเปล่าครับ?” เจ้าใหญ่ถาม
ตอนนี้เขาเรียนอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ในยุคนี้ยังไม่มีชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ดังนั้นในภาคการศึกษาหน้าเขาก็จะต้องสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
……………………………………………
สารจากผู้แปล
อ้าว ท่านแม่โจวก็รู้ตัวนี่นาว่าตัวเองลำเอียง 555
ดีใจกับพี่สาวรองบ้านโจวด้วยค่ะที่หลุดพ้นการทรมานทรกรรมจากบ้านพ่อแม่สามีมาได้
เจ้าใหญ่โตไวๆ นะคะ
ไหหม่า (海馬)