ตอนที่ 78 พลังที่น่าหวั่นเกรง
“ใครกัน”
เจี้ยนซุยเฟิงถามตอนเห็นจั๋วฝานพุ่งผ่านฝุ่นขณะตกใจกับกลิ่นอายความตายที่ชายหนุ่มแผ่ออกมา
เขามีประสบการณ์มากพอจะบอกได้ว่าจั๋วฝานเพิ่งทะลวงเข้าสู่ระดับหลอมกระดูก แต่กลิ่นอายกับพลังที่เด็กนี่ปล่อยออกมากลับทำให้ผู้บ่มเพาะระดับนภาสั่นสะท้าน
ความรู้สึกขัดแย้งนี้ทำให้ทุกอย่างดูน่าอัศจรรย์
เซี่ยเทียนหยางรู้สึกเหมือนกัน ใบหน้าของจั๋วฝาน ซึ่งเปล่งแสงสีทองยิ่งเพิ่มความรู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่
มันไม่เหมือนกับผู้บ่มเพาะระดับนภาแต่รู้สึกเหมือนพลังมหาศาลที่ไหลซึมจากตัวจั๋วฝาน คุกคามจะทำลายชีวิตของทุกคน
ทุกคนรู้สึกราวกับพวกเขากำลังยืนต่อหน้าสัตว์อสูรร้ายที่พร้อมกระโจนใส่พวกเขา
“เขาคือเพื่อนที่ไม่น่าไว้วางใจสุด แต่ก็ยังพึ่งพาได้มากสุด!”เซี่ยเทียนหยางยิ้มขณะที่ตัวของเขาสั่นสะท้าน มันไม่ได้มาจากความกลัว แต่มาจากความตื่นเต้น
เขามีความรู้สึกว่าจั๋วฝานคนใหม่นี้สามารถช่วยเหลือเสวี่ยหนิงเซียงได้
เจี้ยนซุยเฟิงมองเซี่ยเทียนหยาง
มันเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเด็กอัจฉริยะอวดดีคนนี้แสดงความมั่นใจและแสดงท่าทางอยากพึ่งพาใครสักคน
เจี้ยนซุยเฟิงหันไปมองจั๋วฝานเพื่อดูกับตาว่าอะไรที่ทำให้เขาพิเศษมากขนาดนั้น
“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ใช่แค่รอดชีวิต แต่ยังทะลวงผ่านระดับขั้นได้อีกด้วย!’
โหยวกุ่ยฉีสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของจั๋วฝาน จากที่เขามอง นี่คือความมั่นใจจากการเข้าสู่อาณาจักรใหม่
[เขาจะรู้ว่าผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกอ่อนแอแค่ไหนต่อหน้ายอดฝีมือระดับนภา และความมั่นใจของเขาจะสลายหายไป]
สิ่งหนึ่งโจมตีเขา เขากับจั๋วฝานพบกับหลายเดือนก่อนตอนเด็กนี่อยู่ในระดับกลั่นลมปราณขั้นหก แต่ไม่ถึงครึ่งปีให้หลัง เด็กนี่กลับไม่ตายแถมยังกลายเป็นผู้บ่มเพาะหลอมกระดูก
ความเร็วของเขาทำให้โหยวกุ่ยฉีสั่นสะท้าน
[นี่เป็นไปได้ยังไง?]โหยวกุ่ยฉีคิด[เด็กนี่น่ากลัวมาก ข้าต้องรีบกำจัดมัน]!
โหยวกุ่ยฉีแค่นเสียง”หมิงเอ๋อร์ ไปจัดการเขาให้ข้า”
จั๋วฝานเลิกคิ้ว”โอ้ เจ้านี่เอง ดี ครั้งก่อนเจ้าหนีไป และทำให้ข้าเสียใจ แต่คราวนี้ข้าจะทำให้มั่นใจว่าความขุ่นเคืองของเราต้องจบลง!”
“อะไร เจ้าสองคนรู้จักกันรึ?”
โหยวกุ่ยฉีจ้องโหยวหมิง เห็นแค่ว่าศิษย์รักของเขากำลังยืนขาสั่น แม้กระทั่งใบหน้าของเขาก็ยังบิดเบี้ยว ขาวซีดจนน่ากลัว
“ไร้ประโยชน์!แม้จะมีข้ายืนอยู่ข้างหลัง เจ้าก็ยังกลัวขนาดนี้?”โหยวกุ่ยฉีก่นด่าความขี้ขลาดของลูกศิษย์เขา
มันไม่เป็นไรถ้าไม่มีใครอยู่ แต่ด้วยสองคนจากตำหนักกระบี่ มันจึงทำให้เขาอับอายมาก
[เจ้าเด็กนี่ได้ทำลายชื่อเสียงของโหยวหมิงกู่จนป่นปี้]
เจี้ยนซุยเฟิงไม่ใช่คนที่จะพลาดโอกาสหัวเราะใส่ศัตรู”ฮ่าๆๆ ศิษย์อัจฉริยะกับอาจารย์ชื่อดัง วันนี้ข้าได้เห็นถึงจิตใจอันแน่วแน่ของศิษย์โหยวหมิงกู่แล้ว”
โหยวกุ่ยฉีหน้าเขียวและเตะโหยวหมิงลงกับพื้น”ไอขยะ เขาเพิ่งทะลวงผ่าน ส่วนเจ้าคือผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกขั้นสอง!”
โหยวหมิงตะเกียกตะกายลุก เหลือบมองจั๋วฝานสั้นๆ แต่รอยยิ้มชั่วร้ายของจั๋วฝานดูเหมือนคาถาความตาย เขาจึงโยนตัวเองไปแทบเท้าโหยวกุ่ยฉีพร้อมคร่ำครวญ”อาจารย์ ขะ-เขาคือพ่อบ้านตระกูลลั่ว จั๋วฝาน!ผู้อาวุโสเจี้ยนกับผู้อาวุโสหยุนตายเพราะเขา!”
โหยวกุ่ยฉีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองจั๋วฝานอยู่นาน
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
พลังของจั๋วฝานไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตั้งค่ายกลระดับห้า เขายังมีความคิดเจ้าเล่ห์ที่ทำให้เขาเกือบต้องจ่ายด้วยชีวิต[ไม่น่าแปลกใจที่สองผู้อาวุโสจะตายเพราะเขา]
ในโหยวหมิงกู่ ผู้อาวุโสถูกมองเป็นบุคคลที่น่าเคารพโดยลูกศิษย์ เปรียบเสมือนคนที่ไร้คู่ต่อกรในโลก แต่โหยวหมิงได้เห็นการตายของทั้งสองและตอนนี้ความกลัวก็กัดกินหัวใจของเขา
เขาจะไม่มีวันรวบรวมความกล้าได้ต่อหน้าจั๋วฝาน ต่อให้เขาจะมีความเหนือกว่าก็ตาม
โหยวหมิงคือผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกขั้นสอง เขาควรไม่มีปัญหาในการกับจั๋วฝานที่เพิ่งเลื่อนระดับมาใหม่ แต่ความคิดนี้จะจริงเหรอ?แค่เห็นอีกฝ่ายเขาก็ตัวสั่นแล้ว!
โหยวกุ่ยฉีถอนหายใจและตบไหล่ของโหยวหมิง
เพื่อกำจัดมารหัวใจของศิษย์เขา ศิษย์เขาต้องฆ่าจั๋วฝานด้วยตัวเอง
เขาพูดอย่างเย็นชา”ใครก็ตามที่เต็มใจจับเขาจะได้รับรางวัลจากข้า!”
“ผู้อาวุโส ข้าเอง”
ชายร่างใหญ่ประสานมือ เขาคือผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกขั้นหก การจัดการกับผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกขั้นต้นเป็นเรื่องง่ายๆ
คนอื่นพากันเสียใจที่พลาดโอกาสดังกล่าว จั๋วฝานเป็นถ้วยรางวัลที่เพิ่งบินหนีไป
โหยวกุ่ยฉีพยักหน้าและหันไปมองจั๋วฝาน”หมิงเอ๋อร์ ดูไว้ เจ้าหนูนี่ก็มีดีแค่ค่ายกล ตอนนี้ที่เขาไม่มีโอกาสตั้งค่ายกล เขาก็จบแล้ว คนของเราจะนำตัวเขามาให้เจ้าฆ่าเพื่อลบมารหัวใจ!”
โหยวหมิงพยักหน้าและมองไปข้างหน้า
เจี้ยนซุยเฟิงขมวดคิ้ว”โหยวกุ่ยฉีใช้ชีวิตได้สมกับฉายา เขามองสภาพจิตใจของศิษย์เขาออกทันทีและหาทางช่วยเขาเอาชนะ เทียนหยาง เพื่อนของเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”
เซี่ยเทียนหยางมองไปยังจั๋วฝานและยิ้ม”เขาจะไม่เป็นไร”
คำตอบดังกล่าวเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นของเจี้ยนซุยเฟิง
[ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคือห้าขั้น ผลลัพธ์ควรชัดเจนเหมือนกลางวันกับกลางคืน]
ชายตัวโตพุ่งเข้าหาจั๋วฝานพร้อมหัวเราะเยาะ”ฮี่ๆๆ เจ้าเป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ข้า ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้รับรางวัลจากผู้อาวุโสเจ็ดตอนข้าส่งตัวเจ้าให้เขา”
“คนมักตายจากความโลภ ส่วนนกมักตายจากความหิวโหย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ไหม”จั๋วฝานหัวเราะเยาะกลับ
“ฮ่าๆๆ เจ้าช่างคุยโตเสียจริง หมัดเดียวก็พอแล้วที่จะทำให้เจ้านอนเป็นผัก”
หมัดของชายร่างใหญ่เร็วประดุจสายลมและแข็งแกร่งเหมือนขุนเขา!
แต่จั๋วฝานทำเหมือนเขาไม่มีเวลาตอบสนอง
บูม เสียงดังสะเทือนในหูของทุกคน
รอยยิ้มของเซี่ยเทียนหยางหายไป ตอนนี้มันแทนทีท่ด้วยความตกใจที่จั๋วฝานไม่สามารถหลบได้
[เขาสามารถต่อสู้กับข้าได้อย่างสูสีตอนเขาเป็นผู้บ่มเพาะกลั่นลมปราณ ทำไมเขาถึงไม่ขยับ?]
ใบหน้าของเสวี่ยหนิงเซียงสลดลง”พี่จั๋ว!”
พอเห็นว่าจั๋วฝานโดนหมัดไปเต็มๆ คนของโหยวหมิงกู่ก็เริ่มหัวเราะ
“ฮี่ๆๆ ข้ารู้ว่าเขาต้องจบสิ้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะเร็วขนาดนี้”
“เขาฆ่าผู้อาวุโสเราไปจริงๆงั้นเหรอ?ถ้าเขาทำได้ งั้นข้าก็คงทำได้เหมือนกัน ฮ่าๆ”
“บัดซบ ไอโง่นั่นได้รางวัลไปแล้ว ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าของขวัญจากผู้อาวุโสจะเป็นอะไร!”
..
ขณะที่คนเริ่มพูดคุยกัน บรรยากาศคุกคามของจั๋วฝานก็หายไปจากใจพวกเขาในไม่ช้า
มีแค่โหยวกุ่ยฉีถึงขมวดคิ้ว มองซ้ายมองขวาไม่หยุด
“อ้าก!”
เสียงคร่ำครวญดังจากฝูงชน และเห็นชายร่างใหญ่กุมมือไว้ขณะเดินเซถอยหลัง
มือของเขาตอนนี้บิดงอและหัก
แต่จั๋วฝานกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย เขายังมีรอยยิ้มชั่วช้าเหมือนเดิม
“เป็นไปไม่ได้!”
เจี้ยนซุยเฟิงกรีดร้อง”ผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกขั้นหนึ่งกลับหักมือของขั้นหกด้วยหน้า?”
ดวงตาของเซี่ยเทียนหยางถลน เขารู้ว่าจั๋วฝานมักวางแผนไว้ในใจ แต่แม้กระทั่งเขาก็ยังพบว่าพลังใหม่นี้เข้าขั้นวิปริตไปแล้ว
[ถ้าเป็นแบบนี้ เขาคงไม่มีปัญหาแม้แต่กับยอดฝีมือระดับนภา]
ฝูงชนตอนนี้เสียสายตาเย้นหยันแล้ว มันกลับแทนที่ด้วยความกลัวกับตกใจ
จั๋วฝานไม่เคยสนใจพวกเขาเลยขณะที่ก้าวเดินไปหาชายร่างใหญ่ ชายร่างใหญ่กำลังกรีดร้องขณะกุมมือที่เลือดไหล
ก่อนเขาจะได้ตอบสนอง หน้าอกของเขาก็โดนหมัดจั๋วฝานชกจนทะลุ มันดูเหมือนง่ายมาก ราวกับหมัดของเขากำลังเจาะกระดาษ
จากนั้นจั๋วฝานก็สะบัดมือ และชายร่างใหญ่ก็ตกลงกระแทกพื้นหลังม้วนตัวในท้องฟ้า
ผู้คนที่เฝ้าดูจ้องด้วยดวงตาที่แทบถลนออกมากันหมด
[เด็กนี่มาจากไหน?พลังของเขาขัดต่อกฏเกณฑ์เกินไปแล้ว…]