บทที่ 165 จับจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อน
ในยุคนี้ตำราเรียนภาษาอังกฤษหาซื้อได้ยากนัก
พวกมันต่างถูกจัดไว้ในประเด็นอ่อนไหว ในปีแรกของการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นไม่มีการทดสอบภาษาอังกฤษเลย และดูเหมือนว่าจะเป็นปีที่สองหลังจากนั้นถึงจะมีการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษเพิ่มเข้ามา
หลินชิงเหอจำเรื่องนี้ได้ แต่จำรายละเอียดได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่ในทันทีที่การเรียนรู้ด้วยตัวเองของเธอเข้าสู่ระดับมัธยมศึกษาปีแรก มันจึงไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายในการลองจับตำราภาษาอังกฤษขึ้นมาท่องศัพท์ในตอนมีเวลาว่าง
หลินชิงเหอพอจะมีเส้นสายอยู่บ้างในตลาดมืด
ตราบใดที่เธอให้ราคาที่ยอมรับได้ เธอก็จะได้ตำรามาอย่างรวดเร็ว แม้มันจะเป็นสินค้าที่เป็นประเด็นอ่อนไหวก็ตาม
ที่นั่นมีตำราภาษาอังกฤษดี ๆ จำนวนหนึ่ง แต่คนที่ค้นหาพวกมันมาให้คงไม่เข้าใจความแตกต่างของภาษา มันเลยมีหนังสือภาษารัสเซียติดมาด้วยสองเล่ม ซึ่งหลินชิงเหอไม่ต้องการ แถมเธอเองยังไม่เข้าใจภาษารัสเซียด้วย
เธอรู้ภาษาอังกฤษอยู่แต่ลืมไปเยอะแล้วหลังไม่ได้เรียนมานาน เธอจึงต้องกลับมาเคาะสนิมใหม่อีกครั้ง
หลินชิงเหอจ่ายค่าตำราภาษาอังกฤษพื้นฐานไป 10 หยวน ซึ่งราคานี้นับว่าแพงหูฉี่ไม่น้อย
แต่คนที่มาที่นี่ทำถูกแล้ว พวกเขาต้องเสี่ยงอย่างมากเพื่อจะหามันมาให้เธอ ดังนั้นราคานี้จึงไม่ใช่ราคาที่แพงจนรับไม่ได้เสียทีเดียว
หลินชิงเหอเก็บตำราภาษาอังกฤษเข้าไปในมิติ
ของพวกนี้ไม่อาจเอามาให้เด็ก ๆ ทั้งสามเห็นได้ ไม่อย่างนั้นหากเด็กน้อยเอาเรื่องนี้ไปพูดนอกบ้านแบบผิด ๆ ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดเรื่องขึ้น
หลังหมดปัญหาเรื่องตำราภาษาอังกฤษแล้ว หลินชิงเหอก็แวะมาหาพนักงานหญิงวัยเกษียณคนนั้นเพื่อขายเนื้อหมู
“สาวน้อย เนื้อหมูของหนูคุณภาพดีจริง ๆ” พนักงานวัยเกษียณเอ่ยพลางยิ้มอย่างพอใจ
“ฉันเลือกที่ดี ๆ มาให้โดยเฉพาะเลยล่ะค่ะคุณป้า ของดีทุกอย่างที่ฉันได้มาล้วนเก็บไว้ให้คุณป้าหมดเลย” หลินชิงเหอบอก
คุณป้าวัยเกษียณหัวเราะและกระซิบบอกเธอหลังจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย “ครั้งนี้เป็นการซื้อขายกันครั้งสุดท้ายนะหนู ครั้งหน้าอย่าเพิ่งมาเลย และนับแต่วันพรุ่งนี้ไปอย่าไปตลาดมืดด้วย คือว่าข้างนอกมีปัญหาอยู่นิดหน่อยน่ะ”
นางเต็มใจมอบความอนุเคราะห์นี้ให้หลินชิงเหอ ต้องขอบคุณหลินชิงเหอที่ขายเนื้อและอาหารของเธอมากขึ้น ทำให้ครอบครัวของนางได้กินมากขึ้น
อย่างเช่นในฤดูหนาวที่แล้ว หลินชิงเหอได้นำข้าวสาลีนับ 10 ชั่งและมันหวานมากกว่า 15 ชั่งมาให้นาง ซึ่งเรื่องนี้เป็นโอกาสยากนักที่จะมาถึง
และจากการซื้อขายกันอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด คุณป้าวัยเกษียณคนนี้ก็หวังที่จะซื้อขายกับเธอต่อ
“ขอบคุณที่เตือนฉันนะคะ” หลินชิงเหอพยักหน้า
จากนั้นเธอก็เก็บเงินและจากไป
เมื่อไม่มีอะไรต้องขายแล้ว หลินชิงเหอก็ขี่จักรยานกลับบ้าน
ระหว่างทางเธอก็หยุดแวะที่ชุมชนและเดินดูของ จากนั้นก็ซื้อไข่มาครึ่งตะกร้าก่อนกลับบ้าน
เมื่อถึงบ้านแล้วเธอก็หยิบของบางอย่างออกมาจากมิติเพิ่มเติม
ของที่เธอนำออกมาล้วนถูกกินหมดแล้ว ไข่พวกนี้เป็นไข่ที่ซื้อมาจากตลาดมืดในตัวอำเภอ โดยที่ในมิติยังมีไข่เหลืออยู่ตะกร้าหนึ่ง นั่นหมายความว่าเธอจะต้องลดปริมาณการกินไประยะหนึ่ง เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงเธอจึงจะเก็บสะสมไข่ได้
เนื่องเพราะในตอนนั้นแม่ไก่จะทยอยออกไข่เรื่อย ๆ
หลินชิงเหอตอกไข่แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน จากนั้นก็นึ่งเป็นไข่ตุ๋น ก่อนจะตะโกนเรียกหน้าประตูบ้าน
ไม่นานนักเจ้าสามก็กลับมา
“แม่กลับมาแล้วเหรอครับ เดินทางครั้งนี้แม่คงลำบากมากเลยสินะครับ” เจ้าสามเด็กช่างพูดตัวน้อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มประจบประแจง
เป็นเพราะหลินชิงเหอบ่นเขาเรื่องที่เขาจำได้เพียงอาหารและไม่รู้จักเอาใจใส่เธอในคราวที่แล้ว เขาจึงทำตัวแบบนี้เป็นการชดเชย เมื่อเธอกลับมาถึง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการเอ่ยคำชม
“งานมีไม่เยอะหรอก” หลินชิงเหอพยักหน้าตอบ
เจ้าสามยิ้ม “แม่เรียกผมทำไมเหรอครับ?”
“แม่ไม่มีลูกอมนะ แต่นึ่งไข่ตุ๋นให้ลูกแทนนะ อยากกินไหม?” หลินชิงเหอถาม
“อยากครับ” เจ้าสามตอบอย่างรู้สึกหิวขึ้นมานิดหน่อยหลังออกไปเล่นข้างนอกบ้านมา
“ไปพาคุณย่าให้อุ้มซูเฉิงน้อยมาสิ แม่ทำส่วนของเขาไว้ด้วยนะ” หลินชิงเหอสั่ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ น้องชายกินซุปมันหวานที่ป้าใหญ่ทำไปแล้วครับ เขากินอะไรต่อไม่ไหวแล้ว” เจ้าสามตอบ
“เขากินไปตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?” หลินชิงเหอไล่ถาม
“แทบจะเวลาเดียวกับผมเลยครับ” เจ้าสามตอบ
หลินชิงเหอคิดตามแล้วก็ประมาณเวลาได้ว่ามันคงอยู่ในช่วงที่เธอออกจากบ้าน “นานอยู่เหมือนกันนะ งั้นไม่เป็นไร ลูกถามคุณย่าว่าเขากินได้หรือเปล่าก็แล้วกัน”
เจ้าสามออกไปถาม เมื่อเขากลับมาเขาก็พาท่านแม่โจวและซูเฉิงน้อยกลับมาด้วย
ซูเฉิงน้อยพร้อมกินอาหารว่างแล้ว หลินชิงเหอจึงให้ท่านแม่โจวป้อนเขา
“ที่บ้านมีไข่เหลือไม่มากแล้วนะ” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเอาไข่กลับมาอีกหนึ่งตะกร้าพอดี” หลินชิงเหอตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
จากนั้นหลินชิงเหอก็เริ่มนวดแป้ง ตอนนี้สายมากแล้ว มันควรจะเป็นเวลาเตรียมอาหารกลางวันได้แล้ว
มื้อกลางวันของวันนี้เป็นบะหมี่ ซึ่งมันมีเต้าเจี้ยวและไข่รวมอยู่ด้วย
“ชิงเหอ เจ้าใหญ่อายุแค่ 9 ขวบ แต่เขาก็ได้เรียนชั้นประถมห้าแล้ว มันไม่เร็วเกินไปเหรอ?” เมื่อท่านแม่โจวป้อนอาหารว่างให้ซูเฉิงน้อยเสร็จและให้เขาเล่นกับเจ้าสามแล้ว นางก็เดินเข้ามาช่วยงานในครัวและเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น
“กว่าจะถึงก็ภาคการศึกษาถัดไป มันไม่เร็วมากหรอกค่ะ”
ตอนนี้ถือเป็นภาคการศึกษาภาคปลายของระดับประถมศึกษาปีที่สี่
ปีนี้เป็นปี 1973 แล้ว หากไม่นับปีนี้มันก็ยังเป็นแค่ 4 ปี เมื่อนับรวมปีนี้ด้วย มันก็ยังเป็น 5 ปีก่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
แถมยังแบ่งเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2 ปี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 2 ปี และชั้นปีที่ห้าอีก 1 ปี
เมื่อรวมเข้ามาแล้วมันก็ทันการสอบเข้าในรอบแรกพอดี
หลินชิงเหอใส่ใจกับการเรียนของเจ้าใหญ่อยู่ห่าง ๆ ในเมื่อระหว่างการพักช่วงฤดูหนาวไม่มีอะไรต้องทำมากนัก การเรียนของเขาก็ไม่เคยตกเลยต่อให้เขาจะออกไปเล่นบ้างในบางครั้งก็ตาม
หลินชิงเหอเองยังวางแผนให้เจ้าใหญ่ได้เลื่อนชั้นอีกครั้ง แต่เมื่อคิดว่าเขายังเด็ก เธอก็เลยไม่ผลักดันเขามากเกินไปนัก เธอไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องนี้เท่าไหร่ ในเมื่อเขาจะไปได้สวยเมื่อถึงเวลาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือในปีแรกของการฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังมีกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่ค่อยเคร่งครัดนัก
เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าตอนนั้นจะได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับเจ้าใหญ่หรือไม่
ต่อให้มันเป็นเวลาอีก 4 หรือ 5 ปี เจ้าใหญ่ก็จะมีอายุเพียง 13 หรือ 14 ปี ด้วยนิสัยของเจ้าใหญ่แล้วเขาคงจะไม่แพ้ใครเมื่อได้ออกไปข้างนอก แต่ในฐานะคนเป็นแม่แล้ว เธอจะเต็มใจปล่อยเด็กอายุเท่านี้ไปอยู่ในมหาวิทยาลัยไกล ๆ ด้วยตัวเองได้อย่างไร?
บรรดาลูกชายของคนอื่น ๆ ที่ได้สอบเข้าเป็นกลุ่มแรกคงจะมีอายุรุ่นเดียวกับเขาเหมือนกัน
“ฉันคิดว่าคนที่อยู่ในชั้นปีที่ห้าคงจะมีอายุ 15 หรือ 16 กันหมดนะ” ท่านแม่โจวเอ่ย
เรื่องนี้เป็นความจริง ในยุคนี้ให้ความสำคัญกับการศึกษากันน้อยนัก มีคนจำนวนมากทีเดียวที่เริ่มไปโรงเรียนตอน 10 ขวบ เหมือนกับบรรดาลูกสาวของสะใภ้ใหญ่
แต่ตอนนี้พวกหล่อนไม่ได้เรียนอีกต่อไปแล้ว การเรียนมากกว่า 1 ปีทำให้ได้รับความรู้พื้นฐานมากพอที่จะจดจำตัวอักษรได้ แต่เนื่องจากมีคนในครอบครัวจำนวนมากเลยทำให้มีภาระค่อนข้างมาก ต่อให้มีใจรักที่จะเรียน พวกหล่อนก็ขาดโอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เรียนต่อ
“ด้วยนิสัยของเจ้าใหญ่แล้ว คุณแม่อย่ากังวลไปเลยค่ะ เขาไม่แพ้ใครหรอกค่ะไม่ว่าจะไปที่ไหน” ไม่ว่าหลินชิงเหอเองจะกังวลใจแค่ไหน เธอก็ต้องพูดให้ผู้สูงอายุรู้สึกสบายใจไว้ก่อน
เมื่อท่านแม่โจวได้ยินดังนี้ รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของนาง “ฉันแค่กังวลว่าเขาจะต้องเดินทางไกลเพื่อให้ไปถึงโรงเรียนมัธยมที่อยู่ในเมืองด้วยตัวเองน่ะ”
“จะมีอะไรต้องกังวลเหรอคะ? เป็นเด็กผู้ชายก็ต้องออกกำลังกายอยู่แล้วน่ะค่ะ ฉันได้ยินชิงไป๋พูดว่าตอนที่เขาอายุเท่านั้น เขาก็ทำตัวแกร่งกล้าเหมือนผู้ใหญ่แล้ว” หลินชิงเหอยิ้มกริ่มยามเอ่ยถึงผู้ชายของเธอ
มองโดยผิวเผิน มันดูเหมือนเธอกำลังพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ปนกัน เขาช่างต่างจากเธอตรงที่มีจิตวิญญาณผู้นำและนำเกียรติมาสู่คนหมู่มาก ไม่เหมือนกับเธอที่ไร้หัวใจ ทำความดีภายนอกเก็บซ่อนความไม่ดีไว้ภายใน เป็นคนที่จับจุดแข็งและหลีกเลี่ยงจุดอ่อนแต่กำเนิดโดยแท้
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
สมัยนั้นภาษาอังกฤษเป็นภาษาต้องห้ามน่าดูเลยนะคะ คงเห็นว่าเป็นภาษาของฝั่งเสรีนิยมประมาณนี้ แต่สำหรับแม่ถือว่าสบายอยู่แล้วค่ะ มีพื้นความรู้มาแล้วคงจะจำได้เร็วแน่นอน
ในความคิดผู้อ่าน ภาษาอะไรถือว่ายากที่สุดคะ สำหรับผู้แปลคือยากทุกภาษาถ้าเรียนแบบเจาะลึกถึงแก่น ๕๕๕
ไหหม่า(海馬)