บทที่ 156 การมีลูกสืบสกุล
“ไปล้างมือก่อนมากินข้าวเดี๋ยวนี้!”
หลินชิงเหอไล่สามพี่น้องออกจากบริเวณโต๊ะอาหาร
เด็กชายทั้งสามตรงไปล้างมือด้วยอาการร่าเริง
แน่นอนว่าโจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวก็ล้างมือเหมือนกัน หากพวกเขาอยากกินข้าวที่โต๊ะอาหาร พวกเขาจะต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนจะมานั่งกินได้
หลังล้างมือเสร็จ ทั้งครอบครัวก็ล้อมวงกันกินข้าว
ซูเฉิงน้อยมีอายุได้หนึ่งขวบแล้วและกินอะไรได้มากขึ้น อาหารของเขาเป็นหมั่นโถวที่แช่ในน้ำแกงจนชุ่ม ซึ่งเขาก็เคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย
แถมเขายังกินแตงกวา ไข่ และปลาไหลได้อีกด้วย
เนื่องจากปลาไหลมีก้างเยอะ เขาจึงไม่ได้กิน แค่ให้เขากินน้ำแกงนิดหน่อยก็ทำให้เขาอิ่มจนจะกลิ้งได้
อย่างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กสมัยนี้แล้ว เด็กอย่างซูเฉิงน้อยถือว่าอ้วนกว่าเด็กพวกนั้นอีก
เขาดื่มนมและกินอาหารดี ๆ สามมื้อต่อวัน แถมยังมีขนมด้วย ซึ่งในบางครั้งหลินชิงเหอจะทำเค้กข้าวนึ่ง และไม่ลืมที่จะแบ่งส่วนหนึ่งให้เด็กคนนี้
ซูต้าหลินพาโจวเสี่ยวเม่ยกลับมาเยี่ยมทุกสัปดาห์ เมื่อเขาเห็นว่าลูกชายอยู่ดีกินดีขนาดไหน เขาก็รู้สึกปิติยินดีอย่างใหญ่หลวง
เห็นเด็กคนนี้อยู่ดีกินดีแล้ว ก็บอกได้จากสภาพร่างกายของเขาว่าหลินชิงเหอที่เป็นป้าสะใภ้สี่ไม่ได้ละเลยในการเลี้ยงดูเขา
และคนส่วนมากก็ไม่มีทางเลี้ยงดูเด็ก ๆ ได้อย่างเธอ
แม้แต่ท่านแม่โจวยังรู้สึกตื้นตันใจ สะใภ้สี่ช่างใจดีต่อหลานชายตัวน้อยคนนี้จริง ๆ
เพราะในความคิดของท่านแม่โจว เธอก็ไม่ต่างจากแม่แท้ ๆ เมื่อไหร่ที่เธอทำเค้กข้าวนึ่ง ไข่ตุ๋น หรืออะไรสักอย่างให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ มันก็มักจะมีส่วนแบ่งสำหรับซูเฉิงน้อยอยู่เสมอ แล้วเขาจะไม่ตุ้ยนุ้ยแบบนี้ได้อย่างไร?
ซูต้าหลินรู้เรื่องนี้ดี ทุกครั้งที่เขามา เขาก็มักจะเอาไข่มาให้ครึ่งตะกร้ากับลูกกวาดให้เจ้าใหญ่และน้อง ๆ การที่เขาซื้อมาทำให้หลินชิงเหอไม่ต้องซื้อของพวกนี้มาอีก
ซูต้าหลินรู้สึกปิติยินดีนัก
ชายคนนี้มีความสุขอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใดซูเฉิงน้อยก็ติดเขามาก แม้เด็กชายจะได้เห็นเขาแค่วันเดียวจากตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ก็เหมือนกับเด็กน้อยจะรู้ว่าเขาคือพ่อผู้ให้กำเนิด
ไม่มีความแปลกแยกต่อกันแม้แต่นิดเดียว
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์และวันหยุด ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยจึงกลับมาพร้อมกับของหลายอย่าง ซึ่งของพวกนี้พวกเขาซื้อให้กับทางบ้านสะใภ้สี่ นาน ๆ ทีพวกเขาถึงจะแบ่งลูกกวาดส่วนหนึ่งไปให้หลานชายและหลานสาวในบ้านตระกูลโจว
และตอนนี้เองท่านแม่โจวก็ได้คุยกับโจวเสี่ยวเม่ยกันสองคน “ตอนนี้เฉิงเฉิงก็ตัวใหญ่เท่านี้แล้ว เมื่อไหร่แกกับต้าหลินจะมีอีกคนล่ะ?”
โจวเสี่ยวเม่ยชะงักไป “แม่คะ แม่ไม่เห็นเหรอว่าแค่ต้าหลินกับหนูมีลูกคนนี้ พวกเรายังเลี้ยงเองไม่ได้เลย? แม่ยังจะให้หนูมีเพิ่มอีกเหรอคะ?”
“แกจะไม่มีลูกเพิ่มแล้วเหรอ?” ท่านแม่โจวได้ฟังก็ตกใจยิ่งกว่าลูกสาวของนางเสียอีก
ในยุคนี้มีใครบ้างที่มีลูกแค่คนเดียว? ถ้ามีลูกแค่คนเดียวล่ะก็ จะไม่มีใครช่วยต่อสู้ให้หากว่าเด็กคนนั้นถูกรังแกนะรู้ไหม?
“หนูไม่อยากมีลูกอีกแล้วค่ะ เฉิงเฉิงไม่ใช่ลูกชายเหรอคะ? มีแค่คนนี้ก็พอแล้ว” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
หล่อนต้องไปทำงานเหมือนกับซูต้าหลิน ส่วนครอบครัวทางแม่ก็ดูแลลูกของหล่อนให้ได้แค่นิดหน่อย ถ้าหล่อนมีลูกเพิ่มอีก แล้วครอบครัวทางแม่ของหล่อนจะจัดการไหวเหรอ?
“เด็กโง่ แกไปเอาความคิดนี้มาจากไหน? มีเพิ่มอีกสักคนดีกว่านะ คิดดูสิ ถ้าพ่อแกกับฉันมีแค่พี่ชายรองของแกแล้วเขาก็แต่งงานกับสะใภ้อย่างพี่สะใภ้รองของแก พ่อแกกับฉันคงได้กินดินตอนแก่เฒ่ากันแน่” ท่านแม่โจวเอ่ยเย็นชา
อย่าคิดว่านางกับสามีชราไม่ว่าอะไร พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายหรือลูกสะใภ้คนไหนกตัญญูต่อพวกเขาหรือไม่
ความรู้สึกของท่านแม่โจวต่อสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามนับว่ายังดีอยู่ ส่วนหลินชิงเหอนั้นไม่จำเป็นต้องเอ่ย สะใภ้สี่นับว่าเป็นสะใภ้ที่ดีทีเดียว เว้นแต่นิสัยในบางเรื่องของเธอ
มีแค่สะใภ้รองที่ท่านแม่โจวไม่มีความรู้สึกดี ๆ อะไรกับหล่อนเลย
โชคดีที่พวกเขามีลูกชายอีกสามคน ไม่อย่างนั้นแล้วสองสามีภรรยาชราอย่างพวกเขาจะมีอะไรกินในตอนที่แก่เฒ่าเกินกว่าจะทำอะไรได้ไหม?
“งั้นทำไมแม่ไม่บอกให้พี่สะใภ้สี่มีลูกอีกคนล่ะคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
หลินชิงเหอที่มองอยู่ห่าง ๆ ถึงกับเงียบอึ้งไป เธอไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งเฉยได้ก็เลยตอบกลับ “น้องสาว ลองมีลูกชายสามคนเหมือนพี่ก่อนแล้วค่อยพูดนะ”
โจวเสี่ยวเม่ยได้ยินก็สะอึก
หลินชิงเหอยิ้มกริ่มก่อนจะเอ่ยปลอบโยน “คุณแม่คะ ให้เสี่ยวเม่ยได้ปล่อยตัวตามสบายเถอะค่ะ เธอกับต้าหลินยังอายุน้อย ตอนนี้พวกเขากำลังยุ่งกับการทำงานเลยจัดการเรื่องนั้นได้ไม่มากนัก”
“ใช่แล้วค่ะแม่ หนูไม่อยากมีลูกในตอนนี้จริง ๆ อย่าโน้มน้าวหนูนักเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยเออออตาม
“ฉันจะไปโน้มน้าวแกเพื่ออะไร? ฉันก็แค่ขอให้แกมีลูกเร็ว ๆ และมีให้เสร็จ ๆ ไปทีเดียว ในเมื่อแกก็ต้องมีลูกไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว” ท่านแม่โจวตอบเสียงขุ่น
“เรื่องนี้เข้าท่าอยู่นะ มีลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วก็หยุดมีตั้งแต่อายุน้อยๆ” หลินชิงเหอพยักหน้า
เหมือนกับเจ้าของร่างเดิมที่ให้กำเนิดลูกชายสามคนตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อภารกิจทำลูกเสร็จสมบูรณ์ เธอก็จะทำอะไรก็ได้ในภายภาคหน้า
“แกได้ยินที่พี่สะใภ้สี่ของแกบอกหรือยัง?” ท่านแม่โจวถาม
“ถ้าหนูมีลูกเพิ่มแล้วแม่จะเลี้ยงไหวไหมล่ะคะ?” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ
“ฉันเลี้ยงให้แกคนหนึ่งแล้ว มีเพิ่มมาอีกคนหนึ่งก็ไม่เป็นไรหรอก” ท่านแม่โจวตอบ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นยากทีเดียวนะ เรื่องหนักคงจะเบาลงบ้างถ้ามีคนคอยดูแล แต่เธอต้องคำนวณเวลาให้ดี ๆ ถ้าเธอมีลูกทันการส่งนมช่วงฤดูร้อน เธอก็ซื้อนมมาเลี้ยงลูกเธอได้หากไม่มีใครให้นมกับลูกในตอนนั้น” หลินชิงเหอให้คำแนะนำกับโจวเสี่ยวเม่ย
จริง ๆ แล้วหลินชิงเหอรู้สึกว่ามีลูกคนเดียวก็นับว่าเพียงพอ แต่เธอจะไม่ใช้มุมมองของเธอมาตัดสินผู้คนในยุคนี้
คนยุคนี้มีความคิดกันแบบไหนเนี่ย?
คนอื่น ๆ มีพี่น้องกันหลายคน ขณะที่คุณอยู่ตัวคนเดียวน่ะเหรอ? คุณจะไม่เหงาเหรอ?
และมันยังมีคำพูดที่พูดกันทั่วไปอีกด้วยว่าถ้าเป็นลูกคนเดียวก็เสี่ยงโดนตีตายหากไปต่อสู้กับคนอื่น เนื่องจากจะไม่มีใครคอยช่วย
แล้วทีนี้จะพูดอะไรได้อีกล่ะ?
แต่หลินชิงเหอสนับสนุนในเรื่องที่ท่านแม่โจวเต็มใจจะดูแลเด็ก ๆ ที่เกิดมา หากมีคนช่วยเลี้ยงดูเด็ก ๆ พวกเขาก็มีลูกเพิ่มขึ้นได้
“ถ้างั้นตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะค่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยบอก
“ตอนนี้แหละฤกษ์ดี ทำไมถึงจะสายเกินไปล่ะ?” ท่านแม่โจวแค่นเสียง
หลินชิงเหอพยักหน้า “วันนี้เพิ่งจะสิบห้าสิงหาคมเอง และมันก็ได้เวลาพอดีด้วย เธอกับน้องเขยต้องขยันมากกว่านี้ล่ะ”
พวกเขากล่าวกันว่าการตั้งครรภ์ใช้เวลาทั้งหมดสิบเดือน แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ถึงสิบเดือนหรอก
ถ้าหล่อนท้องในตอนนี้ หล่อนก็จะคลอดลูกในราวเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนในปีหน้าตามปฏิทินจันทรคติ ถึงตอนนั้นก็จะมีนมมาเลี้ยงดูเด็กพอดี
เด็กที่เกิดมาก็จะได้ดื่มนมต่อจนมีอายุได้สี่หรือห้าเดือน ถึงตอนนั้นก็สามารถกินข้าวบดหรืออาหารเหลวอื่น ๆ ได้แล้ว
โจวเสี่ยวเม่ยถอนหายใจอย่างยอมแพ้
เทศกาลไหว้พระจันทร์ในวันที่สิบห้าสิงหาคมผ่านไปด้วยดี ซูต้าหลินนำขนมไหว้พระจันทร์กลับไปสองชั่ง ขณะที่หลินชิงเหอเก็บไว้กับตัวหนึ่งชั่ง
เธอจึงบอกให้ซูต้าหลินมอบขนมไหว้พระจันทร์ชั่งหนึ่งให้กับครอบครัวอีกสามสาขาที่เหลือ
หลินชิงเหอไม่ชอบกินมันเลย ต่อให้มันจะมีไส้หวาน ๆ อยู่ตรงกลางตัวขนม แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าขนมชนิดนี้รสชาติงั้น ๆ ในขณะที่เจ้าใหญ่กับน้องชายคิดว่ามันอร่อยมาก
แม้แต่โจวชิงไป๋ ท่านพ่อโจว และท่านแม่โจวยังคิดว่ามันอร่อยไม่น้อย
ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยกลับเข้าไปในอำเภอหลังเทศกาลไหว้พระจันทร์ ดูจากความเร็วของสองคนนี้แล้ว บางทีเดือนหน้าพวกเขาคงจะกลับมาพร้อมกับข่าวดี
หลินชิงเหอสาบานในใจว่าเมื่อไหร่ที่เธอกลายเป็นแม่สามีใคร เธอจะไม่บังคับให้ลูกสะใภ้มีลูกเด็ดขาด เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าอยากจะมีลูกหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของเธอจบลงแล้ว ดังนั้นเรื่องการผลิตทายาทรุ่นที่สามจึงไม่ใช่ธุระของเธอ
หลินชิงเหอผู้ไร้ใจคนนี้ไม่สนใจว่าตระกูลโจวจะได้สืบสกุลอยู่ต่อไปหรือไม่จริง ๆ
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ผู้อ่านชอบกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้อะไรคะ ส่วนตัวผู้แปลชอบไส้ไข่แดงเค็มกับถั่ว มีเม็ดบัวด้วยยิ่งเลิศ
ใครอยากจะมีลูกก็มีไปเลยจ้า ฉันไม่เอาแล้ว แค่สามแสบนี่ก็เหนื่อยแล้ว /ชิงเหอไม่ได้กล่าว/
ไหหม่า (海馬)