ตอนที่ 20 เหตุการณ์ไม่คาดฝัน 1
ภายในป่าที่มืดทึบ ประกายจากเปลวเพลิงที่ดูมีชีวิตชีวา มันมอบความอบอุ่นท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบงัน
กลุ่มคนจำนวนหนึ่งนั่งไขว้ขารอบกองไฟ
หยางเย่พิงหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่ กิ่งไม้ในมือเขี่ยกองไฟอยู่บ่อยครั้ง จากการสนทนาก่อนหน้านี้ หยางเย่ค่อนข้างเข้าใจพวกเขาทั้งสามคนดีขึ้น
ทั้งสามคนมาจากเมืองที่เรียกว่าเมืองขุนเขามรกต เป็นเมืองที่ใกล้ที่สุดกับสำนักดาบราชัน หมานจื้อและชิงหงเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ครอบครัวพวกเขาสองถึงสามรุ่นก่อนหน้าทั้งหมดเป็นทหารรับจ้างทั้งหมด พวกเขาล่าสัตว์อสูรทมิฬเพื่อเลี้ยงครอบครัวมาตลอด สำหรับเฉียวไห่ที่ไม่กล่าวอะไร ไม่ใช่เพราะหยิ่งผยองหรือเฉยชา แต่เป็นเพราะเฉียวไห่เป็นใบ้!
“น้องชายหยาง เจ้าไม่ใช่ศิษย์สำนักดาบราชันจริงหรือ?” หมานจื้อมองไปยังหยางเย่พร้อมเอ่ยถามอย่างจริงจัง
เมื่อพวกเขาได้ยินหมานจื้อถาม ชิงหงและเฉียวไห่มองไปที่หยางเย่ มันไม่มีคำอธิบายใดจากฉากที่หยางเย่จัดการจ้าวอสรพิษปีกทมิฬก่อนหน้านี้ มันทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก ความแข็งแกร่งระดับนี้ไม่ใช่ของผู้บ่มเพาะพลังไร้สังกัดหรือศิษย์จากตระกูลเล็กน้อยจะมีได้
ยิ่งนึกถึงตอนที่ขอให้หยางเย่ทำความสะอาดสนามรบ ใบหน้าพวกยิ่งเต็มไปด้วยความละอาย
“ข้ายังไม่ใช่ศิษย์ในตอนนี้ แต่…” หยางเย่หยุดเพิ่มไฟด้วยกิ่งไม้และมองไปยังทั้งสาม “พวกท่านจะทำเช่นไรหากเจอสหายชิวหยวนของพวกท่านในภายภาคหน้า?
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ท่าทางของทุกคนค่อนข้างดูชิงชังมาก
ชิงหงแสดงท่าทีที่เยือกเย็น ใบหน้าที่ไม่อาจปกปิดความเกลียดชังได้กล่าวออกมา “สมาชิกผู้นี้ไม่มีเจตนาดีตั้งแต่เข้าร่วมกลุ่มแล้ว แต่เดิมข้าคิดว่าเขาเพียงแค่อยากอวดความภาคภูมิใจ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะขี้ขลาดถึงเพียงนี้ เขาทิ้งกลุ่มไว้เพื่อเอาชีวิตรอด ข้าจะยิงลูกธนูปักหัวมันเมื่อเจอกันอีกครั้ง!”
หยางเย่ส่ายหัวและยิ้มออกมาขณะที่มองไปยังชิงหงที่โกรธกริ้ว ดูเหมือนว่าชิวหยวนที่วิ่งหนีไปจะทำให้นางโมโหอย่างมาก
หมานจื้อส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ “ลืมมันเสีย อย่าทำสิ่งใดกับชายผู้นั้นในภายภาคหน้าเลย”
“ลืมมันงั้นหรือ?” ชิงหงกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “พี่ใหญ่ หากมันไม่ใช่เพราะหยางเย่ พวกเราทั้งสามคงจบชีวิตไปด้วยการโจมตีของจ้าวอสรพิษปีกทมิฬไปแล้ว ลืมกันหมดแล้วหรือ?”
เฉียวไห่แสดงท่าทีดำมืดพร้อมเหวี่ยงมีดขึ้นกลางอากาศ เขาแสดงท่าทีเพื่อให้ทราบว่าไม่พอใจชิวหยวนเช่นกัน
เมื่อเห็นทั้งสองโกรธกริ้ว หมานจื้อส่ายหัวและถอนหายใจออกมา “ข้าจะให้ลืมมันไปได้ยังไงกันนะ? ถูกของเจ้าชิงหง หากน้องชายหยางไม่อยู่ที่นี่ ตั้งแต่ชิวหยวนทิ้งการต่อสู้พวกเราคงถูกจัดการไปแล้ว แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเจ้ายังไม่ทราบ พี่ชายของเขาเป็นถึงนายพลในเมืองขุนเขามรกต หากจัดการเขาและข่าวคราวไปถึงหูพวกมันเข้า เช่นนั้นพวกเราจะไม่สามารถอยู่ในเมืองขุนเขามรกตได้”
ทันทีที่ได้ยิน ปากชิงหงและเฉียวไห่ขยับแต่ไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้ อย่างน้อยจะต้องเป็นยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ก่อน ถึงจะสามารถเป็นนายพลในเมืองขุนเขามรกตได้ มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้
หลังจากเงียบกันชั่วครู่ ชิงหงกล่าวอย่างเย็นเยือก “พวกเราไม่อาจปล่อยมันไปได้ง่ายเช่นนั้น หลังจากกลับไปยังเมืองขุนเขามรกต พวกเราจะปล่อยข่าวที่เขาทิ้งกลุ่มหนีเอาชีวิตรอด ดูสิจากนี้ใครจะยังรับมันเข้าร่วมกลุ่ม”
หมานจื้อและเฉียวไห่พยักหน้าเห็นด้วย หากพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง มันคงจะมีเพียงความโกรธแค้นในใจอยู่ตลอดไป อย่างที่ชิงหงกล่าว ทันที่ปล่อยข่าวออกไป ชิวหยวนจะถูกตราหน้าว่าไร้ยางอายในบรรดาทหารรับจ้างของเมือง เพราะการทอดทิ้งกลุ่มระหว่างการต่อสู้ มันเป็นข้อห้ามในโลกของทหารรับจ้าง
“เมืองขุนเขามรกตอยู่ใกล้เมืองทักษิณภิรมณ์มากเพียงใด?” หยางเย่รีบเอ่ยถาม
ทั้งสามหยุดชะงัก เพราะไม่ทราบว่าเหตุใดหยางเย่จึงถามเช่นนั้น หมานจื้อยิ้มและกล่าว “แม้ว่าพวกข้าไม่เคยไปเมืองทักษิณภิรมณ์ มันน่าจะใกล้กันไม่น้อย เพราะบางครั้งพวกข้าก็เจอทหารรับจ้างจากเมืองทักษิณภิรมณ์มาล่าสัตว์อสูร”
ขณะกล่าวเขามองไปที่หยางเย่ “น้องชายหยางมาจากเมืองทักษิณภิรมณ์งั้นหรือ?”
หยางเย่พยักหน้าพร้อมมองไปยังทั้งสามดูเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง
เมื่อสังเกตว่าหยางเย่ไม่อยากเอ่ยถึงมัน ทั้งสามคนจึงไม่ถามสิ่งใดต่อ
หลังจากเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง หมานจื้อเหมือนจะสัมผัสถึงบางอย่างได้ เขายืนขึ้นมองไปรอบข้าง รอบกายนั้นมืดทึบและเงียบสงบ เขาขมวดคิ้วคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวกับเฉียวไห่ที่นั่งเงียบขรึมอยู่ “เฉียวไห่ ดูเหมือนจะมีสัตว์อสูรราชันอยู่แถวนี้ มันเงียบเกินไป บางอย่างมันไม่สมเหตุสมผล”
เฉียวไห่พยักหน้า จากนั้นทั้งสองเดินไปตรวจสอบรอบข้าง
ขณะกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ชิงหงย้ายมานั่งข้างหยางเย่ทันที นางมองไปที่หยางเย่ สายตาที่ไม่อาจอธิบายได้ปรากฏผ่านดวงตาที่งดงามของชิงหง ใบหน้าหยางเย่ค่อนข้างเรียว รูปร่างของเขาชัดเจนพร้อมผมสีดำที่สง่างาม แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าชายหนุ่มรูปงาม แต่เขาก็มีความหล่อเหลาซ่อนอยู่ แน่นอนประเด็นหลักคือความแข็งแกร่ง ถึงแม้จะอยู่เพียงระดับเจ็ดขั้นปราณมนุษย์ แต่ความสามรถเขาเรียกได้ว่าน่าเกรงขามยิ่งนัก
ก่อนนี้ชิงหงค่อนข้างประทับใจในตัวหยางเย่ เพราะหยางเย่ไม่ได้มองนางแบบที่ชายอื่นมอง ดังนั้นนางจึงดูแลหยางเย่มาตลอดทาง แต่เมื่อเห็นหยางเย่มายืนข้างหน้าราวกับเทพสงคราม ทั้งยังผ่าจ้าวอสรพิษปีกทมิฬในการโจมตีเดียว ความรู้สึกที่มีต่อชายหนุ่มผู้นี้เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นมา
ในเขตแดนใต้นั้น ผู้ที่แข็งแกร่งมักจะมีเสน่ห์น่าดึงดูด
ทันทีที่เห็นใบหน้าอันงดงามอยู่ด้านข้าง หยางเย่หันไปมองชิงหงพร้อมกล่าว “เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรติดอยู่บนหน้าข้าเช่นนั้นหรือ?”
ชิงหงรีบถอนสายตาออกขณะที่แก้มนางนั้นแดงก่ำ โชคดีที่มันเป็นกลางคืนจึงไม่อาจเห็นได้ชัด จากนั้นไม่นานชิงหงมองไปยังหยางเย่อีกครั้ง “น้องชาย ความแข็งแกร่งเจ้าร้ายกาจเพียงนี้ ไฉนเจ้าไม่ปฏิเสธตอนพวกเราที่ให้เจ้าทำความสะอาดสนามรบล่ะ หรือแม้แต่ตอนชิวหยวนเย้ยหยันเจ้าแต่ละครั้ง?”
หยางเย่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “มันจะดีกว่าหากข้าวางตัวต่ำต้อย มันคงไม่เป็นไรหากมีความแข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน แต่ความแข็งแกร่งระดับข้ายังน้อยนัก ยังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าอีกนับไม่ถ้วนในขุนเขาไม่สิ้นสุด หากข้าวางตัวสูงส่ง ข้าคงจะมีโอกาสตายสูง” หนึ่งปีที่ใช้ชีวิตเป็นศิษย์ใช้แรงงาน ทำให้เขามีหลักการหลายอย่าง หากใครวางตัวสูงส่งแต่ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง ก็เท่ากับก้าวเท้าสู่ความตาย ดั่งเช่นผู้จัดการซู่และตู่ชือ หากพวกเขาไม่ทำตัวสูงส่งเช่นนั้นก็คงไม่ต้องรับผลกรรมเช่นนั้น
ประกายความแปลกใจผ่านเข้าดวงตาชิงหง การใช้ชีวิตเป็นทหารรับจ้างหลายปี ทำให้นางเห็นอัจฉริยะมาทุกประเภท บรรดาอัจฉริยะที่มีความแข็งแกร่งเกือบทุกคนนั้นหยิ่งผยอง ทั้งยังกลัวผู้อื่นไม่ทราบถึงความแข็งของบรรดาอัจฉริยะ ในทางตรงกันข้าม ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่หยิ่งผยองแบบพวกเขา แต่กลับยังรู้จักการวางตัวให้ต่ำต้อยแทน
การลำดับความคิดในวัยนี้นั้น ทำให้นางค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย
หลังจากสนทนากันอยู่ชั่วครู่ คนอื่นนอกจากหมานจื้อต่างไปพักผ่อนทุกคน พวกเขาไม่กล้าประมาทเมื่อทราบว่ามีร่องรอยสัตว์อสูรราชันอยู่ด้านนอก เช่นนั้นจึงพลัดเปลี่ยนเวรยามกัน
ค่ำคืนที่เงียบสงัด ป่าถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ภายในป่ามืดทึบยามนี้ กองไฟด้านหน้าหยางเย่เองยังดูน่ากลัวและสยดสยอง
ฟู่~
ทันใดนั้นเสียงงูดังก้องไปทั่วป่า มันเป็นเสียงงูก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนจะมากกว่าร้อยตัว จากนั้นไม่นาน ทั่วทั้งป่าเต็มไปด้วยเสียงงู
ทุกคนตื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงงูดังไปทั่ว ขณะที่หยางเย่กำลังจะลุกขึ้น ชิงหงจับมือหยางเย่พร้อมส่ายหัวเล็กน้อย
เมื่อเขาเห็นท่าทีจริงจังของชิงหง หยางเย่มองไปยังหมานจื้อและเฉียวไห่ที่มีท่าทางจริงจังเช่นกัน เมื่อเห็นพวกส่ายหัวทุคน เขาทราบแล้วว่าไม่ควรจะขยับตัวตอนนี้และพยักหน้าตอบ จากนั้นอยู่กับที่กันอย่างเงียบงันรอดูสถานการณ์ต่อไป
ยามนี้ทั้งสี่คนราวกับรูปปั้น
เสียงงูยังไม่หมดและยังดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกที ตอนนี้อาศัยเพียงแสงจากกองไฟสังเกตสิ่งที่บิดไปมาจำนวนมหาศาลรอบข้าง โชคดีที่สัตว์อสูรราชันได้ทิ้งกลิ่นฉี่ไว้รอบที่พัก ทำให้อสรพิษทั้งหลายไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขา มันเลื้อยไปมาด้านนอกรอบกลิ่นฉี่ของสัตว์อสูรราชัน
เมื่อมองไปยังสัตว์เลื้อยคลานจำนวนมาก หยางเย่รู้สึกมึนหัวเล็กน้อย พวกมันคือกองทัพงู หากมีเพียงไม่กี่สิบตัว พวกเขาคงไม่เกรงกลัวขนาดนี้ แต่ยามนี้มันมีมากกว่าหนึ่งหมื่นตัวรอบด้าน ยิ่งกว่านั้นยังมีงูเหลือมขนาดยักษ์อยู่ด้วย
หยางเย่อยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กล้าที่จะถามสตรีด้านข้างในตอนนี้ เขาเกรงว่าหลังจากถามออกไป บรรดางูคงจู่โจมอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีความแข็งแกร่งเพียงใด ถ้าถูกล้อมกรอบในตอนมืดเช่นนี้ โอกาสรอดคงมีไม่มาก
โดยเฉพาะในป่าอสรพิษนี้ เขาไม่ทราบจำนวนงูที่อาศัยอยู่ในป่าอย่างแน่ชัด แต่ไม่ใช่จำนวนน้อยแน่นอน เมื่อนึกถึงงูจำนวนนับหมื่นล้อมกรอบ หยางเย่ก็รู้สึกมึนงงศีรษะเล็กน้อย
ไม่ใช่แค่หยางเย่ที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แม้กระทั่งหมานจื้อและพรรคพวกก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ในอดีตพวกเขาพักในป่าอสรพิษหลายครั้ง แต่ไม่พบเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ดังนั้นหมานจื้อและพรรคพวกจึงรู้สึกหวาดกลัวและสับสน
งูเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้นรอบด้าน พวกมันเริ่มล้อมรอบพวกเขาพร้อมเลื้อยทับกันเป็นกองภูเขา ฉากที่เห็นทำให้หมานจื้อและคนอื่นหวาดกลัวอย่างมาก โชคดีบรรดางูไม่กล้าจู่โจม เพราะบริเวณโดยรอบมีกลิ่นฉี่ของสัตว์อสูรราชัน มิเช่นนั้นพวกเขาคงตายกันหมดแล้ว
มือของชิงหงบีบมือหยางเย่แน่นขณะที่หน้าผากนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ท้ายที่สุดนางหลับตาสนิท เสียงงูร้องจำนวนนับไม่ถ้วนทำให้นางรู้สึกกลัวอย่างมาก ความกลัวนี้กลายเป็นความรุนแรงมากขึ้น มือหยางเย่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ถึงแม้หยางเย่จะมีผิวหนังแข็งราวกับทองแดง แต่ก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดนี้ เขามองไปยังชิงหง แต่นางปิดตาสนิท ใบหน้าของนางซีดเผือด ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นเขาหันไปมองหมานจื้อและเฉียวไห่ ทั้งสองมีอาการคล้ายกัน
หยางเย่ขมวดคิ้ว เขาทราบดีหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทุกคนต้องคลุ้มคลั่งจากแรงกดดันมหาศาล มันยังไม่มีเหตุอันใดก่อนหน้านี้ แต่หากพวกเขาขยับตัว บรรดางูรอบด้านคงพุ่งเข้าจู่โจมราวกับคลื่นทะเล
เวลานี้พวกเขาไม่สามารถหาทางรอดได้!
“ใจเย็น ใจเย็น!” เมื่อนึกถึงฉากที่ถูกล้อมพร้อมถูกโจมตีจากงูจำนวนมหาศาลนี้ หยางเย่ทำได้เพียงบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง เขาทราบว่าสถานการณเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มิเช่นนั้นคงไม่กล้าพักผ่อนในป่านี้ แม้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เหตุผลคือพวกเขารุกรานพื้นที่ของงูเหล่านี้
“พวกเรารุกรานถิ่นมันงั้นหรือ?” เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หยางเย่ขมวดคิ้วแน่น เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการหาเหตุผล
ซวบ! ซวบ!
ทันใดนั้นเอง กองทัพงูไม่สนใจฉี่ของสัตว์อสูรราชันอีกต่อไป พวกมันพุ่งจู่โจมเข้ามาเป็นคลื่นขนาดใหญ่ใส่หยางเย่และพรรคพวก…