ตอนที่ 40 กลับสู่สำนัก! บ่มเพาะพลัง!
หลังจากส่งหยางเย่ที่ลานฝึกเรียบร้อย ซูชิงฉือหันกลับพร้อมจากไป ระหว่างทางที่มานั้นนางไม่กล่าวประโยคใดกับหยางเย่ เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้หยางเย่ค่อนข้างอึดอัดใจนัก แต่เขาก็ทราบดีว่ามันสาเหตุมาจากการกอดที่แน่น จึงทำให้นางดูเย็นชากับเขา ยามนี้ใบหน้าหยางเย่เล็กน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้ทำบนดาบ
หยางเย่สูดหายใจลึกลบล้างความคิดที่ทำให้เสียสมาธิไป มันไม่ใช่เวลานึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ เพราะมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำต่อจากนี้ เขาจำได้ว่าการทดสอบนอกสำนักกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกสิบวัน แน่นอน การเป็นศิษย์สำนักนอกไม่ใช่ประเด็นหลักอีกต่อไป บัดนี้เขาต้องการเป็นศิษย์ในสำนักแทน แต่อันดับแรกต้องเป็นศิษย์สำนักนอกก่อนถึงจะเป็นศิษย์ในสำนักได้
นอกจากนั้น ยังมีการประลองกับหลิวชิงอวี่ที่ลานประลองเป็นตาย! เขาทำได้เพียงต้องชนะการประลองนี้เท่านั้น เพราะหากแพ้ก็เท่ากับตาย และเขาไม่ต้องการที่จะตาย! ยิ่งกว่านั้นยังมีเทียบอันดับสวรรค์ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ในเวลาเพียงแค่นี้ ไม่ว่าจะเพื่อคนที่เขารัก เพื่อตนเอง หรือเพื่อสหายแห่งเต๋า เขาจำเป็นต้องทุ่มเทฝึกฝนด้วยพลังทั้งหมด
ความกดดันเท่านั้นที่เป็นแรงจูงใจฝึกฝน! หยางเย่เดินตรงไปยังหุบเขาวายุเหมันต์ บัดนี้มันได้เวลาที่พร้อมจะฝึกฝนแล้ว
…….
มีอยู่เจ็ดยอดเขาในสำนักดาบราชัน ยอดเขาที่กว้างใหญ่นี้เรียกว่ายอดเขานภา คือสถานที่พักอาศัยของเจ้าสำนัก ยอดเขาแห่งนภา และยังเป็นยอดเขาสูงที่สุดในเจ็ดยอดเขา
ณ ยอดเขาแห่งนภา ห้องโถงนภา
ห้องโถงนภาเป็นอาคารที่กว้างใหญ่ของยอดเขาแห่งนี้ มันเป็นสถานที่ที่สำนักดาบราชันใช้หารือเรื่องสำคัญ ทั้งยังกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก มันรองรับคนได้ถึงหมื่น หากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในสำนักดาบราชัน เจ้าสำนักแห่งเจ็ดยอดเขาและผู้อาวุโสภายในสำนักจะมาชุมนุมกันที่นี่
ในเวลานี้ชายสองคนและสตรีอีกหนึ่งกำลังยืนหารือกันในห้องโถง สตรีผู้นั้นคือซูชิงฉือผู้ที่เพิ่งกลับมาถึงสำนักดาบราชัน ส่วนอีกสองคืออวี่เหิงและชายชราเคราขาว ทั้งสองไปยังเทือกเขามรณะเพื่อค้นหาซูชิงฉือในวันนั้น
หลังจากฟังซูชิงฉือเล่าจบ ท่าทีชายชราเคราขาวเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกทันที จิตสังหารอันรุนแรงปรากฏขึ้นในดวงตาเขา “ศิษย์ของสำนักดาบราชันของข้าถูกพวกสำนักภูตผีสังหารจริงสินะ ช่างอาจหาญยิ่งนัก! พวกมันกล้าเข้ามาในเขตของสำนักดาบราชันเพื่อเข่นฆ่า ครั้งนี้คงปล่อยสำนักภูตผีไว้ไม่ได้แล้วจริง ๆ!”
ซูชิงฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “อาจารย์ลุงอวี่หลิน ข้าว่าคนของสำนักภูตผีไม่ได้เข้ามาขุนเขาไม่สิ้นสุดเพื่อสังหารศิษย์ของสำนักเราเท่านั้น ชิงฉือรู้สึกว่าพวกมันมีแผนการบางอย่างในขุนเขาไม่สิ้นสุดแน่นอน มิเช่นนั้นมันคงไม่ส่งหัตถ์โลหิตและยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณมาหรอก”
อวี่เหิงพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ ชิงฉือกล่าวถูกต้อง สำนักภูตผีมาแอบเข้ามายังขุนเขาไม่สิ้นสุด และยังมียอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณอีกหลายคน พวกมันต้องมีแผนบางอย่างแน่น สำนักดาบราชันเราควรระมัดระวังไว้ก่อนเป็นการดี”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวี่หลินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าว “อวี่เหิงจงไปหาอวี่ชาและบอกให้เขานำองครักษ์ดาบสิบคนตามไปด้วย บอกพวกเขาให้ตรวจสอบหุบเขาหมาป่าใต้ ป่าอสรพิษ และเหวมรณะทุกระเบียดนิ้ว หากเจอคนสำนักภูตผีจงสังหารมันให้สิ้น” ทันทีที่กล่าวจบ เขาคิดอีกครู่หนึ่งพร้อมกล่าวต่อ “อวี่เหิง เพื่อความปลอดภัยเจ้าเองก็ไปด้วย หากเจอปัญหาที่รับมือไม่ไหวจงอย่าเข้าไปแลกชีวิต แต่แจ้งให้ข้าทราบผ่านยันต์สื่อสาร!”
“รับทราบ!”
หลังจากอวี่เหิงจากไป อวี่หลินมองไปยังซูชิงฉือและลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยคำ “ชิงฉือ อวี่เหิงและข้าจับศิษย์สำนักภูตผีได้สองคนในวันนั้น พวกมันบอกว่าเจ้ากระโดดลงไปยังเหวมรณะกับใครบางคน มันเป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?”
“ถูกต้องแล้ว!” ซูชิงฉือไม่ลังเลที่จะบอกความจริง
ปากอวี่หลินอ้าออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาคิดจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อแห็นซูชิงฉือหลบสายตา เขาจึงไม่กล่าวสิ่งใดในที่สุดนอกจากเผยรอยยิ้ม “เรื่องอื่นไม่สำคัญ มันดีที่สุดแล้วที่เจ้าสามารถกลับมาได้ นอกจากนั้นหากเจ้าปะทะกับคนของสำนักภูตผีอีกในอนาคต จงจำไว้ว่าอย่าประมาทเป็นอันขาด เพราะเจ้าคือคนเดียวที่สามารถครองตำเหน่งในเทียบอันดับมังกรซ่อนเร้น”
“ชิงฉือจะจดจำคำสอนไว้อย่างดี!”
“เยี่ยมมาก ไปพักผ่อนได้!”
หลังจากออกมาจากโถงนภา ซูชิงฉือมองไปยังยอดเขาใช้แรงงาน ไม่ว่ายังไงนางก็ไม่กล่าวอันใดเกี่ยวกับหยางเย่ขณะที่อยู่ในห้องโถง ด้วยความแข็งแกร่งของหยางเย่และพลังปราณห้าธาตุ หากนางบอกพวกเขาไป หยางเย่จะกลายเป็นคนที่มีค่าต่อสำนักดาบราชันอย่างมาก แต่อีกด้านหนึ่งหยางเย่ก็จะตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
ต้นไม้ที่ยืนอยู่กลางป่าสามารถถูกล้มได้โดยลมพายุ หากมีคนทราบว่าหยางเย่ไม่เพียงแค่ครอบครองพลังปราณห้าธาตุทองคำ แต่ยังเป็นอาจารย์ยันต์ด้วย เช่นนั้นมหาอำนาจที่เป็นอริกับสำนักดาบราชันต้องส่งยอดฝีมือมาจัดเขาแน่นอน โดยเฉพาะสำนักภูตผี พวกมันจะไม่ปล่อยให้ศิษย์อย่างหยางเย่เก่งยิ่งขึ้นไปกว่านี้
ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองทุกสิ่งแล้ว นางจึงเก็บทุกอย่างเกี่ยวกับหยางเย่ไว้เป็นความลับ
‘สำนักดาบราชันยังอ่อนแอเกินไป…’ ซูชิงฉือถอนหายใจ หากหยางเย่เป็นศิษย์ของโรงเรียนปราชญ์หรือสองราชวัง ไม่ว่าสำนักภูตผีจะกล้าเพียงใดก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้แน่ แต่หยางเย่อยู่ในสำนักดาบราชันตอนนี้ มันทำให้สำนักภูตผีกล้าบุกเข้ามาแน่นอน มันไม่ใช่เพียงแค่สำนักภูตผีและสำนักดาบราชันเป็นศัตรูกันมานาน มันยังเป็นเพราะสำนักดาบราชันอยู่อันดับต่ำต้อยสุดในหกมหาอำนาจ!
……
จากการเดินทางไปขุนเขาไม่สิ้น ทำให้หยางเย่ได้รับวิชาดาบขั้นสีดำและขั้นปฐพีมาครอง และยังมีวิชาสำหรับกระบวนท่าอีกหนึ่งอย่าง วิชาทั้งสามนี้ค่อนข้างมีประโยชน์กับเขาอย่างมาก โดยเฉพาะวิชาควบคุมดาบ เมื่อหยางเย่นึกถึงสิ่งที่วิชานี้ทำได้ เขาแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะมันสามารถควบคุมดาบและสามารถบินได้ตั้งแต่ระดับแรก!
สำนักดาบราชันเองก็มีวิชาที่ควบคุมดาบให้บินได้เช่นกัน ผู้อาวุโสสำนักนอกกล่าวว่าต้องบรรลุขั้นปราณจิตวิญญาณเสียก่อน เพราะมีเพียงพลังปราณล้ำลึกของขั้นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถรองรับวิชานี้ได้ ยิ่งกว่านั้นเมื่อบรรลุขั้นจิตวิญญาณแล้ว ดาบยังต้องวางไว้ในจุดตันเถียนเพื่อชุบเลี้ยง ซึ่งจะทำให้สามารถเชื่อมต่อกับดาบ มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถควบคุมดาบและทำให้มันบินได้
ดังนั้นแม้การล่องนภาด้วยดาบจะเป็นความฝันของศิษย์ในสำนัก แต่ก็หยุดเมื่อนึกถึงความลำบากนี้ แม้กระทั่งผู้อาวุโสเองยังต้องใช้ของวิเศษอื่นเพื่อบินยามออกจากสำนัก
แต่บัดนี้ หยางเย่ไม่จำเป็นต้องบรรลุขั้นปราณจิตวิญญาณเพื่อจะใช้ดาบบินได้อย่างศิษย์คนอื่น เขาเพียงแค่ต้องฝึกฝนวิชาขั้นปฐพีระดับหนึ่งให้สำเร็จเท่านั้น จากนั้นจึงจะสามารถใช้พลังปราณล้ำลึกควบคุมดาบและการบินด้วยดาบ แน่นอนมันจำเป็นต้องใช้พลังปราณล้ำลึกจำนวนมาก แต่หยางเย่ที่มีหินพลังปราณนับหมื่นนั้น ไม่ได้สนใจว่าจะต้องเสียเท่าไหร่
วิชาควบคุมดาบถูกแบ่งเป็นสองระดับ ระดับแรกสามารถควบคุมดาบโดยใช้พลังปราณ ระดับสองสามารถควบคุมดาบได้ด้วยจิตใจ แน่นอนวิชาควบคุมดาบขั้นปฐพีไม่ใช่มีเพียงวิธีควบคุมดาบเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลากหลายวิธีในการใช้มัน ดั่งเช่นในวันนั้นที่เขาได้รับวิชา ร่างสีดำที่ใช้ปล่อยปราณดาบออกมาขณะที่ดาบบินอยู่
หากวิชาควบคุมดาบฝึกถึงระดับสอง มันราวกับได้รับการสนับสนุนอย่างอิสระ ดาบที่เคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก วิชาควบคุมดาบอาจไม่เรียกว่าวิชาดาบ แต่มันเรียกได้ว่าเป็นวิชาสนับสนุนได้อย่างดี เพราะมันไม่ใช่กระบวนท่าทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด เพราะความสามารถของวิชาสนับสนุนนี้ มันสามารถท้าทายสวรรค์ได้เลยทีเดียว
เพียงแค่นึกภาพ หากดาบที่บินอยู่ด้านหลังคู่ต่อสู้ในการประลอง และปล่อยปราณดาบออกมา ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร? ยิ่งกว่านั้นร่างสีดำไม่ได้ระบุว่าสามารถควบคุมได้เพียงแค่ดาบเล่มเดียว จำนวนดาบที่ควบคุมได้นั้น มันขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ใช้เอง
ไม่กี่วันต่อมา นอกจากการกินแล้ว หยางเย่ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนวิชาดาบในช่องเขาวายุเหมันต์ เขาต้องฝึกวิชาดาบถึงสามวิชา มันสามารถกล่าวได้ว่าลำบากอย่างแท้จริง แต่หยางเย่กลับรู้สึกตื่นเต้นมากกว่า เพราะในอดีตเขาแทบไม่มีวิชาไว้ฝึกฝนเลย แต่ตอนนี้กลับได้รับวิชาดาบขั้นสีดำและขั้นปฐพี ดังนั้นจะไม่ให้หยางเย่ตื่นเต้นได้ยังไง?
วิชาดัชนีดาบราชันไม่ยากเย็นจนเกินไป หลังฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาสามวันโดยไม่หยุดหย่อน หยางเย่สามารถใช้ปราณดาบด้วยนิ้วได้แล้ว แต่สามารถทำได้สองเส้นในวิชาดาบแยกลมปราณ วิชาดาบแยกลมปราณกระบวนการมันช้ากว่ามาก แม้ว่าดาบจะหลุดมือ มันก็สามารถคงอยู่ในอากาศได้ถึงสิบลมหายใจก่อนจะร่วง
แต่หยางเย่ไม่ได้ท้อแท้กับสิ่งนี้ เขาสามารถฝึกฝนวิชาดาบพื้นฐานมาสองปี ดังนั้นเขาจะยอมแพ้กับวิชาขั้นปฐพีได้ยังไง? หากยังไม่เพียงพอก็ต้องเพิ่มความพยายามอีกร้อยครั้ง หากร้อยครั้งยังไม่พอก็เป็นหนึ่งหมื่นครั้งจนสำเร็จ
ในวันนี้ หยางเย่ยืนขึ้นบนโขดหินที่ใช้ฝึกฝนเป็นประจำ ดาบที่บินไปมาในอากาศตรงหน้าเขา มือที่กำลังชี้ตรงไปขณะที่ดวงตามองอย่างจริงจังไปที่ดาบ เขาแทบไม่กล้าที่จะกระพริบตา
มิงค์ม่วงเองไม่ได้อยู่ห่างจากกายเขาเลย มันเลียนแบบท่าทางหยางเย่เมื่อมองไปที่ดาบ แต่ไม่ได้จริงจังเหมือนเขา ดวงตาที่กระพริบปริบบ่อยครั้งนั้นช่างดูน่ารักยิ่งนัก
เป็นระยะเวลาหนึ่งที่หยางเย่ขยับมือ ด้วยการขยับมือนี้ ดาบที่ลอยอยู่เริ่มสั่นก่อนที่มันจะขยับอีกครั้ง แต่มันค่อนข้างช้า หากไม่มองอย่างดี ก็ไม่สามารถเห็นได้ว่ามันกำลังขยับอยู่
หยางเย่รู้สึกยินดีอย่างมากเมื่อเห็นมันขยับอย่างเชื่องช้า แต่ก็ยังไม่ประมาท เขากลั้นหายใจเพื่อทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับอย่างช้า ๆ
“สหายแรงงานตัวจ้อย เจ้ากลับมาแล้ว…” ทันใดนั้นเสียงอันไพเราะและคุ้นเคยดังขึ้น ได้รับฟังเสียง มือหยางเย่สั่นเทา ดาบพลันร่วงหล่นลงพื้น สีหน้าแปรเปลี่ยนมืดครึ้มยามพบเห็นดาบร่วงหล่น จากนั้นจึงหันมองไปยังตัวการต้นเสียง