ตอนที่ 48 ปฏิกิริยาโต้กลับ
หลังจากมาถึงชั้นสิบหก หยางเย่ไม่เป็นฝ่ายรุกอีกต่อไป แต่กลับจ้องเขม็งไปยังผู้รับใช้แห่งดาบแทน เขาค้นพบว่าที่ชั้นสิบห้า หากผู้ใดเริ่มโจมตีก่อนผู้นั้นจะเผยจุดอ่อนออกมาก่อน ดังนั้นเมื่อความเร็วและกำลังเพียงพอแล้ว เขาจำต้องใช้จุดอ่อนของศัตรูเพื่อเอาชนะแทน
หยางเย่คิดจะใช้วิธีนั้นตอนนี้!
เมื่อไม่มีผู้ใดเปิดการต่อสู้ ผู้รับใช้แห่งดาบจึงเป็นผู้เริ่ม มันไม่ได้ใช้วิชาดาบใดแต่กลับใช้ดาบพุ่งไปแทงหยางเย่แทน การโจมตีนี้มันรวดเร็วอย่างมาก มันรวดเร็วจนถึงจุดที่หยางเย่มองแทบไม่ทัน
เมื่อผู้รับใช้แห่งดาบมาถึงในระยะสามเมตรจากหยางเย่ ดาบในมือขวาของเขาเริ่มขยับ จากนั้นดาบของผู้รับใช้แห่งดาบหยุดชะงักอยู่ในระยะหนึ่งเมตรจากคอหยางเย่ ไม่นานร่างของมันก็หายไป
หยางเย่มีท่าทีที่สงบตั้งแต่ยังไม่ได้โจมตีมาจนถึงตอนนี้ ดวงตาเขาปิดสนิดขณะที่ทบทวนฉากการต่อสู้ที่ผ่านมา อีกชั่วครู่หนึ่งเขาเปิดตาออกพร้อมกล่าว “แม้จะดูไม่เป็นอันตรายเมื่ออยู่คงที่ แต่โลกก็ต้องตกตะลึงเมื่อเริ่มขยับ ในอนาคตข้าจะตั้งชื่อกระบวนท่านี้ว่าปฏิกิริยาโต้กลับ!”
ทันทีที่กล่าวจบ หยางเย่เริ่มหัวเราะออกมา
หยางเย่รู้สึกพึงพอใจอย่างมากในกระบวนท่าที่ค้นพบระหว่างการต่อสู้กับผู้รับใช้แห่งดาบ มันเป็นกระบวนท่าที่เฉียบคมอย่างมากแต่ก็ยังมีจุดอ่อน นั่นคือความเร็วและกำลังของผู้ใช้ที่ต้องเร็วกว่าคู่ต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นยังต้องหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้ในเวลาเดียวกัน มิเช่นนั้นมันราวกับเชิญชวนความตายเข้ามาสู่ตน แต่ยังไงหยางเย่ก็มั่นใจในความเร็วและกำลังของตนเองอยู่แล้ว
หยางเย่ไม่พักผ่อนก่อนจะเข้าสู่ชั้นสิบเจ็ด เวลานี้เขาปรารถนาการต่อสู้มากกว่าสิ่งใด เพราะมีเพียงการต่อสู้นี้เท่านั้นที่จะสามารถขัดเกลาวิชาดาบพื้นฐาน และปฏิกิริยาตอบโต้ได้ เช่นนั้นการต่อสู้ที่ไม่หยุดหย่อนเท่านั้นที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งได้ยิ่งขึ้น ส่วนผู้รับใช้แห่งดาบในหอคอยเป็นคู่มือที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
หยางเย่ไม่ทราบว่าผู้คนด้านนอกหอคอยกำลังตื่นตระหนกจากการที่เขาเข้าสู่ชั้นสิบเจ็ด แม้กระทั่งบรรดาศิษย์นอกที่หยิ่งยโสและภูมิใจในตนเองยังตกตะลึง เพราะไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่ไปถึงชั้นสิบเจ็ดได้ในการสอบที่ผ่านมา
“ชั้นสิบเจ็บ ชั้นสิบเจ็ดแล้ว… ต้องเป็นอัจฉริยะจากเมืองธารหิมะแน่นอน อีกไม่นานสำนักดาบราชันกำลังจะมีสุดยอดอัจฉริยะเพิ่มแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!!” เฉาหัวไร้ซึ่งความสงบและหัวเราะลั่นออกมาอีกครั้ง เขาดูไม่แตกต่างจากคนที่ทราบดีถึงความทะเยอทะยานนี้
ผู้อาวุโสเฟิงอวี่และผู้อาวุโสเชียนที่ยืนด้านข้างเฉาหัวมองตากัน จากนั้นพวกเขายิ้มออกมาพร้อมส่ายหัว อย่าว่าแต่เฉาหัวเลย แม้กระทั่งพวกเขาก็แทบไม่อาจจะข่มตัวเองไม่ให้หัวเราะ เพราะนอกจากสตรีปีศาจ มันกล่าวได้ว่าเป็นผลการทดสอบที่ดีที่สุดในรอบสิบปีมานี้
บรรดาผู้ทดสอบด้านนอกไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนเฉาหัว ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยอาการตกตะลึงและความเคารพ เพราะพวกเขามีประสบการณ์จากความร้ายกาจของผู้รับใช้แห่งดาบ เพียงแค่ชั้นหกหรือเจ็ด พวกเขาก็ไม่อาจต้านทานพลังของผู้รับใช้แห่งดาบได้แล้ว แต่บัดนี้มีบางคนสามารถไปยังชั้นสิบเจ็ดได้ ดังนั้นความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นต้องน่าสะพรึงเพียงใด
ทุกคนนอกอาคารต่างพากันตกตะลึงและตื่นเต้นไปพร้อมกัน แต่มีเพียงใบหน้าเดียวที่มืดครึ้มอยู่ตอนนี้ มันคือหลิวชิงอวี่ เขาให้ความสนใจหยางเย่ตั้งแต่เริ่ม บัดนี้หยางเย่ยังไม่ออกมาจากหอคอย นั่นหมายความว่าหยางเย่กำลังอยู่ชั้นสิบเป็นอย่างต่ำ
ตั้งแต่ที่หยางเย่สามารถเข้าสู่ชั้นสิบได้ มันแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของหยางเย่นั้นยอดเยี่ยมเพียงใด อย่างน้อยก็ไม่ด้อยไปกว่าหลิวชิงอวี่ที่สามารถเข้าไปถึงเพียงชั้นที่สิบ ดังนั้นเมื่อหยางเย่กลายเป็นศิษย์นอกและได้รับทรัพยากรจากสำนัก แม้ว่าหยางเย่จะไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในเวลาอันสั้น แต่คงจะกลายเป็นตัวปัญหาในอนาคตแน่นอน!
“ข้าไม่ควรตอบตกลงกับมันในวันนั้นเลย!” หลิวชิงอวี่บ่นพึมพำขณะมองไปยังหอคอยผู้รับใช้ดาบด้วยท่าทีเคร่งเครียด
ณ ชั้นสิบเจ็ด หยางเย่ไม่เริ่มจู่โจมเช่นเดิม ผู้รับใช้แห่งดาบก็ไม่โจมตีเขาเช่นกัน มันทำให้หยางเย่ค่อนข้างเป็นกังวล ‘ผู้รับใช้แห่งดาบตัวนี้ทราบว่าเราตั้งใจจะทำสิ่งใดงั้นหรือ?’
หยางเย่ไม่คิดสิ่งใดพร้อมปิดตาลงผสานกับสมาธิที่เต็มเปี่ยม เขาไม่กล้าประมาทผู้รับใช้แห่งดาบตัวนี้ เพราะมันร้ายกาจโดยแท้จริง จากปราณพลังที่เล็ดลอดออกมา หากมันต่อสู้กับหมาป่าสีเทาในตันเถียนน้ำวนตอนนี้ หมาป่าสีเทาคงพ่ายแพ้ให้กับมันเป็นแน่
กล่าวคือความแข็งแกร่งของผู้รับใช้แห่งดาบตัวนี้ มันไม่เพียงแค่แข็งแกร่งกว่าการบ่มเพาะพลังของมนุษย์ มันยังแข็งแกร่งกว่าของสัตว์อสูรทมิฬในระดับขั้นเดียวกัน เหตุนี้ทำให้หยางเย่ไม่กล้าที่จะประมาท!
เมื่อหยางเย่ไม่ทำการโจมตี ผู้รับใช้แห่งดาบเองก็ไม่โจมตีมาเช่นกัน ดังนั้นทั้งคู่จึงอยู่ในสภาพหยุดนิ่ง
ในอีกด้านหนึ่งภายในภาพมายาที่เจียงหยวนอยู่ เขาได้เอาชนะผู้รับใช้แห่งดาบในชั้นสิบได้อย่างยากลำบาก และมาถึงยังชั้นสิบเอ็ด เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของผู้รับใช้แห่งดาบที่นี่ ท่าทีเจียงหยวนเริ่มกดดันขึ้นมาทันที เพราะผู้รับใช้แห่งดาบตัวนี้แข็งแกร่งกว่าตัวชั้นที่สิบอย่างมาก
หลังจากเงียบกันอยู่สักพัก เจียงหยวนสูดหายใจลึกพร้อมกล่าว “ชั้นยี่สิบงั้นหรือ? ข้า เจียงหยวนจะทำลายสถิตินั่นเสีย!”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาหยุดถอยหลังและเริ่มโคจรพลังปราณในร่างก่อนจะระเบิดออกอย่างคลุ้มคลั่ง
เวลานี้ปราณพลังของเจียงหยวนปะทุออกมา ท่าทีของทุกคนที่อยู่ด้านนอกเปลี่ยนไปอีกครั้ง เฉาหัวร้องลั่นออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ “ปราณสวรรค์ มีใครบางคนบรรลุขั้นปราณสวรรค์ในหอคอย!”
ประโยคนี้ราวกับก้อนหินที่ทำให้เป็นระลอกคลื่นนับพันบนทะเลสาบ เวลานี้ไม่มีใครประหลาดใจแต่กลับตกตะลึงแทน
ทันใดนั้น ร่างของคนผู้หนึ่งถูกส่งออกมาจากหอคอย ทุกคนหันไปมองทางและสังเกตเห็นเป็นสตรีชุดเขียวที่มีนามว่าชิงเสวีย
สตรีที่อยู่ใกล้เคียงช่วยพยุงร่างชิงเสวีย เฉาหัวเร่งรุดไปดูทางด้านชิงเสวีย พร้อมโบกมือให้สตรีข้างกายผู้นั้นนำนางถอนตัวออกจากที่ตรงนี้
ขณะที่มองชิงเสวียนั่งขัดสมาธิหลังออกมาจากหอคอย สายตาเต็มไปด้วยประกายไฟ และมือของเขาเองก็เริ่มสั่นเทา
เมื่อสังเกตเห็นเฉาหัวแสดงท่าทีประหลาด ผู้อาวุโสเชียนและเฟิงอวี่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คิดเรื่องเฉาหัวรักชอบสตรีผู้นี้แต่อย่างใด ดังนั้นทั้งสองจึงมารับชม และมองอย่างใกล้ชิด ไม่นานทั้งสองเองก็แสดงท่าทีเหมือนเฉาหัวเช่นกัน
เวลานี้ชิงเสวียนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น พลังปราณของนางโคจรไม่เป็นรูปร่างรอบตัว ปราณพลังเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสัญญาณการบรรลุขั้นพลัง ชิงเสวียอยู่ระดับเก้าขั้นปราณมนุษย์ ดังนั้นหากนางบรรลุอีกครั้งมันจะเป็นขั้นปราณสวรรค์!
เมื่อนึกได้เช่นนั้น ทุกคนรอบข้างพากันอ้าปากค้าง
มีคนเข้าสู่ขั้นปราณสวรรค์ในหอคอยไปแล้ว และตอนนี้ก็มีอีกคนด้านนอกหอคอย
ช่างเยี่ยมยอดอะไรเช่นนี้!
ชายหนุ่มหน้ากลมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น “ขั้นปราณสวรรค์สองคนตั้งแต่อายุสิบหกปี นี่… นี่จะถึงกับมี ‘สตรีปีศาจ’ เพิ่มอีกสองเลยเชียวหรือ?”
ฉินเฟิงที่ยืนด้านข้างส่ายหัวพร้อมกล่าว “ขั้นปราณสวรรค์ขณะอายุสิบหกปี สามารถเรียกได้ว่าอัจฉริยะโดยแท้จริง แต่หากนำไปเทียบกับสตรีปีศาจแล้ว พวกเขายังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย เมื่อสตรีปีศาจเข้าไปยังหอคอยผู้รับใช้ดาบ นางสามารถไปถึงชั้นยี่สิบได้โดยไม่ได้บรรลุขั้นปราณสวรรค์ มันแสดงถึงอะไรงั้นหรือ? มันแสดงให้เห็นว่านางสามารถเอาชนะขั้นปราณสวรรค์ได้ขณะอยู่ขั้นปราณมนุษย์!”
ชายหนุ่มหน้ากลมพยักหน้าเห็นด้วย “อันที่จริงสตรีปีศาจอยู่เพียงขั้นปราณสวรรค์ตอนนี้ แต่นางสามารถต่อกรกับยอดฝีมือขั้นปราณราชันได้ มันนับว่าเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แม้กระทั่งในโรงเรียนปราชญ์และสองพระราชวังเช่นกัน ถึงสองคนนี้จะเข้าสู่ขั้นปราณสวรรค์ได้แล้ว หากพวกเขาสู้กับสตรีปีศาจเมื่อนางยังอยู่ขั้นปราณมนุษย์ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้เป็นแน่!”
“แต่ไม่ว่ายังไง พรสวรรค์พวกเขาเองก็นับว่าไม่ธรรมดา หากทั้งสองไม่ถูกขับไล่ออกจากสำนักก่อน เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะนำชื่อของสำนักดาบราชันไปยังเทียบอันดับสวรรค์ได้!” ฉินเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา
“ถูกต้อง! เทียบอันดับสวรรค์! พวกเราเองก็ต้องฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน พวกเราจะต้องเป็นกำลังที่มีค่าเมื่อเข้าร่วมเทียบอันดับ…”
ณ ชั้นสิบเจ็ด หยางเย่ยังคงแน่นิ่ง ส่วนผู้รับใช้แห่งดาบเองก็ไม่ขยับตัวราวกับหุ่นเชิด ทั้งสองอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งมาเป็นเวลานาน
ไม่นานหยางเย่ลืมตาขึ้น เขาจับดาบด้วยมือซ้ายก่อนจะฟันไปที่ผู้รับใช้แห่งดาบ จากนั้นปราณดาบถูกปล่อยออกไปทางผู้รับใช้แห่งดาบ
ปราณดาบอันเยือกเย็นหายไป แต่ตัวผู้รับใช้แห่งดาบยังไม่ขยับตัว
หยางเย่เดินอย่างระมัดระวังไปทางผู้รับใช้แห่งดาบ เขาไม่ใช้กระบวนท่าวิชาใดราวกับแค่กำลังเดินเล่นอยู่เมื่อเดินไปหามัน เมื่อมาถึงบริเวณหกเมตรตรงหน้าผู้รับใช้แห่งดาบ ทันใดนั้นมันเริ่มโจมตีทันที
ประกายไฟอันเย็นเยือก ไม่นานปลายดาบของมันปล่อยจิตสังหารออกมาที่หยางเย่
ในเวลานี้ผู้รับใช้แห่งดาบเริ่มโจมตีแล้ว มือขวาหยางเย่เริ่มขยับเช่นกัน
ชิ้ง!
เสียงตัดผ่านอากาศดังกึกก้อง จากนั้นปลายดาบของผู้รับใช้แห่งดาบหยุดลงตรงคอของหยางเย่อีกครั้ง ไม่นานร่างของผู้รับใช้แห่งดาบก็หายไป
หยางเย่แตะคอของเขาด้วยมือซ้าย ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลซึมออกมาเล็กน้อย
‘ความรวดเร็วของเรายังไม่เพียงพอ!’ ขณะที่มองไปยังเลือดบนปลายนิ้ว หยางเย่บ่มพึมพำออกมาก หากเขาช้ากว่านี้อีกนิดจากการปะทะกับผู้รับใช้แห่งดาบ เช่นนั้นเขาคงหยุดลงที่ชั้นสิบเจ็ดเป็นแน่
หยางเย่ไม่พักฟื้นให้เสียเวลา เขาเดินไปที่บันไดสู่ชั้นสิบแปด