ตอนที่ 76 ตระกูลหลิว
หยางเย่มองไปยังสตรีตรงหน้า ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏผ่านดวงตาของเขา เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านมาทำอะไรที่เมืองนี้?”
ซูชิงฉือไม่บอกเหตุผล แต่กลับกล่าวอย่างเย็นชา “ความสามารถในการควบคุมสัตว์อสูรทมิฬของเจ้ามันทำให้คนอื่นประหลาดใจ ดังนั้นมันจะเป็นการดีถ้าเรียกหมาป่าใต้มาในโลกมนุษย์ มิเช่นนั้นเจ้าจะเจอกับปัญหาตามมานับไม่ถ้วน”
เมื่อนึกถึงภาพที่เฟิงอี้ตกตะลึงก่อนหน้านี้ หยางเย่พยักหน้าก่อนจะมองไปที่เสี่ยวเหยาพร้อมกล่าวบางอย่าง “ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยได้หรือไม่?”
“ว่ามา!” ซูชิงฉือเอ่ย
เขามองไปยังเสี่ยวเหยาที่หลับสนิท ความอ่อนโยนปรากฏผ่านดวงตาหยางเย่ “ท่านช่วยดูแลเสี่ยวเหยาให้ข้าได้หรือไม่? ท่านแม่บอกข้าว่านางมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา และนางยังสามารถบ่มเพาะพลังได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ได้โปรดให้นางอยู่ในการดูแลของท่าน”
ซูชิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อย นางกล่าวด้วยเสียงเบา “ราชวังบุปผาน่าสะพรึงยิ่งนัก อย่าว่าแต่ยอดฝีมือในราชวัง แม้กระทั่งองครักษ์บุปผาก่อนหน้านี้เจ้าก็ไม่สามารถสู้ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกก่อนหน้านี้ยังเป็นเพียงกลุ่มเล็กน้อยขององรักษ์บุปผา พลังของพวกเขายังแค่ระดับปานกลางเท่านั้น หากเจ้าไปหาพวกเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเอาชีวิตไปทิ้ง เข้าใจหรือไม่?”
หยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว “ข้าไม่สิ้นคิดหรอก ท่านแม่ต้องแลกชีวิตเพื่อให้ข้ากับน้องสาวหนีรอดมาได้ ดังนั้นข้าคงไม่โง่พอที่จะเอาชีวิตไปทิ้งหรอก ข้าขอให้ท่านดูแลเสี่ยวเหยา เพราะนางจะได้แข็งแกร่งขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะอยู่ข้างนางตลอดเวลา นางต้องมีความแข็งแกร่งเป็นของตนเอง ยิ่งกว่านั้นหากเข้าร่วมสำนักดาบราชันแล้ว ข้าคาดการณ์ว่าราชวังบุปผาคงไม่กล้าบุกรุกสำนักไปจับนางแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูชิงฉือโล่งใจก่อนจะพยักหน้า “ข้าสามารถช่วยเจ้าได้”
“ขอบคุณท่านยิ่งนัก!” หยางเย่กล่าวอย่างจริงจัง
ซูชิงฉือสะบัดแขนทำให้ดาบหยกเปลี่ยนเป็นแนวนอน “เก็บหมาป่าใต้ไว้เสีย ข้าจะพาเจ้าและน้องสาวกลับสำนักดาบราชันเอง!”
หยางเย่ส่ายหัวพร้อมกล่าว “พาน้องสาวข้าไปคนเดียวพอ ข้ามีเรื่องต้องสะสางกับตระกูลหลิวในเมืองนี้ก่อน อย่ากังวลเลย ข้าไม่ทำอะไรที่ไร้สติหรอก!”
ซูชิงฉือมองไปที่หยางเย่ก่อนจะอุ้มเสี่ยวเหยาพร้อมหันหลังจากไป
หยางเย่มองซูชิงฉือและเสี่ยวเหยาหายไปสุดเส้นทาง เขาหันไปมองเมืองทักษิณภิรมณ์พร้อมกล่าวด้วยท่าทีโหดร้าย “ไอ้พวกตระกูลหลิว! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า ท่านแม่ของข้าคงไม่ต้องลงมือ และนางก็จะไม่ถูกตรวจพบโดยราชวังบุปผา มาจัดการเรื่องในอดีตและปัจจุบันให้สิ้นซากกันเสียที!”
ทันทีที่กล่าวจบหยางเย่เก็บหมาป่าใต้ไว้ในตันเถียนน้ำวน จากนั้นเขาพุ่งกลับเข้าไปในเมือง
……
ณ ตระกูลหลิว
ผู้อาวุโสตระกูลหลิว หลิวหนาน อายุราวสี่สิบปี ร่างของเขาค่อนข้างอวบอ้วน หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานาน พรสวรรค์ของเขาค่อนข้างย่ำแย่ ทำให้อยู่เพียงแค่ขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้า ตระกูลหลิวเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองทักษิณภิรมณ์ ควบคู่ไปกับลูกชายของเขา หลิวชิงอวี่ ที่ถูกรับเป็นศิษย์ของสำนักดาบราชัน หลิวหนานเป็นที่รู้จักกันในเมืองทักษิณภิรมณ์ แม้กระทั่งผู้ว่าการยังต้องนอบน้อมกับเขา
แต่คำบอกเล่าของแขกผู้อาวุโสที่กลับมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้า ทำให้ผู้อาวุโสที่หยิ่งผยองต้องหวาดกลัว
เขาเดินกระวนกระวายในห้องโถงเกือบหนึ่งชั่วยาม เมื่อนึกว่าจะนำยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณมาเป็นนางสนม เขาแทบไม่อยากจะนึกถึงสิ่งที่จะตามมา ‘มันเป็นยอดฝีมือขั้นปราณจิตวิญญาณ! อย่าว่าแต่เป็นนางสนม แม้กระทั่งองค์ชายหรือจักรพรรดิ์ของจักรวรรดิยังไม่มีคุณสมบัติพอ!’
ทันใดนั้นม้าเร็วที่ส่งไปได้วิ่งเข้ามายังห้องโถง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิวหนานรีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น? ผู้ว่าการได้บอกอะไรมาบ้าง? เขาจะเพิ่มยามรักษาการณ์ให้ตระกูลหลิวของข้าใช่หรือไม่?”
ใช่แล้ว หลังจากที่ทราบว่ามารดาของหยางเย่เป็นผู้ใช้พลังปราณขั้นปราณจิตวิญญาณ หลิวหนานหวาดกลัวจนแขนขาหมดแรง แต่หลังจากฟื้นคืนสติ เขารีบส่งม้าเร็วไปขอความช่วยเหลือจากผู้ว่าการของเมือง ถึงแม้จะทราบดีว่าผู้ว่าการจะไม่ช่วยเขา แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอร้องอ้อนวอน
เพราะมีเพียงผู้ว่าการเท่านั้นที่จะหนุนหลังให้ได้ในเมืองหลวงของรัฐจิง!
ม้าเร็วกล่าว “ผู้อาวุโส ผู้ว่าการบอกว่าอย่ากังวล มารดาของหยางเย่เป็นศิษย์ราชวังบุปผาที่ละเมิดกฎ และนางถูกจับตัวกลับไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งกว่านั้น คนของราชวังบุปผาได้ตามไปจับตัวหยางเย่และน้องสาวของเราที่หนีไปเรียบร้อย ดังนั้นตระกูลหลิวของเราคงปลอดภัยแล้ว!”
“จริงหรือ?” หลิวหนานดูมีความสุขอย่างมาก
“แน่นอนว่าจริงขอรับ!”
“ฮ่าฮ่า!!!” หลิวหนานคำรามเป็นเสียงหัวเราะดังลั่น หลังจากหัวเราะได้ชั่วครู่ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นนางก็คือศิษย์ของราชวังบุปผาสินะ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถึงงดงามขนาดนั้น ทั้งยังลูกสาวของนางก็งดงามไม่ต่างกัน โชคร้ายที่ต้องมามีเรื่องกับตระกูลหลิว นี่คือผลลัพธ์จากสิ่งนั้น!”
ทันใดนั้นประกายดาบได้ปรากฏขึ้น
เสียงปราณดาบดังก้องไปทั่วอากาศ ม้าเร็วตรงหน้าหลิวหนานถึงกับลอยขึ้นไปในทันที
เสียงหัวเราะของหลิวหนานหยุดลงพร้อมใบหน้าที่แข็งทื่อ ทันใดนั้นเขามองไปยังหยางเย่ที่ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “เจ้า… เจ้ายังไม่ถูกคนของราชวังบุปผาจับไปหรือ? เจ้า…”
หยางเย่เดินอย่างช้า ๆ ไปที่หลิวหนานพร้อมเอ่ยคำ “เจ้าผิดหวังงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นหยางเย่เดินมา ขาของหลิวหนานสั่นอย่างรุนแรง “หยางเย่ เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร? พวกเราอยู่ในการปกครองของจักรวรรดิต้าฉิน มันจะผิดกฎร้ายแรงหากสังหารข้า เจ้าไม่เกรงกลัวจะเป็นนักโทษของจักรวรรดิต้าฉินงั้นหรือ?”
“เจ้าคิดว่าควรสังหารเจ้าดีไหมล่ะ?” ขณะมองไปที่หลิวหนานที่ยืนอยู่ด้วยความสั่นกลัว หยางเย่ยิ้มพร้อมกล่าวอย่างเย้ยหยัน
ชายคนนี้คือคนที่กลั่นแกล้งครอบครัวหยางเย่อยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังบังคับให้มารดาหยางเย่มาเป็นนางบำเรอ เขาใช้อำนาจของตระกูลหลิวบีบคั้นครอบครัวหยางเย่ตลอดเวลา ทำให้ครอบครัวของเขาต้องลำบากที่สุดในเมืองทักษิณภิรมณ์ แต่ตอนนี้มันเป็นเพราะตระกูลหลิว ตัวตนมารดาของเขาจึงต้องถูกเปิดเผย และทำให้นางถูกจับไปโดยราชวังบุปผา
เมื่อนึกได้เช่นนั้น มันรู้สึกราวกับถูกกรีดแทงหัวใจอยู่ตลอดเวลา
“ยาม! ยาม!” หลิวหนานตะโกนอย่างคลุ้มคลั่งเมื่อได้ยินหยางเย่กล่าว ถึงแม้เขาจะอยู่ขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้า แต่ก็เป็นพลังปราณที่ไม่ได้ต่อสู้มานาน ดังนั้นสิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือร้องขอความช่วยเหลือ
“ไม่จำเป็นต้องร้องตะโกน นอกจากคนรับใช้ บรรดาผู้อาวุโสและคนในตระกูลหลิวได้ตายกันหมดสิ้นแล้ว ถูกต้อง ข้าเองที่เป็นคนสังหาร ตอนนี้เหลือเพียงแค่เจ้า!” หยางเย่เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา
ดวงตาหลิวหนานเปิดกว้างขณะที่เขากล่าว “แก แก… คนตระกูลหลิวของข้ามีมากกว่าร้อยกลับถูกเจ้าสังหารหมดสิ้น แกมันปีศาจ ไอ้ปีศาจ! ชิงอวี่ต้องไม่ปล่อยแกไปแน่! จักรวรรดิต้าฉินไม่ปล่อยแกไปแน่!”
หยางเย่กล่าว “อย่ากังวล ข้าก็จะไม่ปล่อยพวกมันไปเช่นกัน ไม่นานพวกมันจะตามไปอยู่กับเจ้าในหลุมเอง!”
ทันทีที่กล่าวจบ ประกายดาบตัดผ่านคอของหลิวหนาน ศีรษะของเขากระเด็นไปกลางอากาศในทันที
หยางเย่หันหลังพร้อมเดินจากไปยังทางเข้าตระกูลหลิว จากนั้นได้หันไปมองตระกูลหลิวที่อยู่ในกองเพลิง เขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายพร้อมกล่าว “ไม่ว่าใครที่กล้าคุกคามคนที่ข้ารัก ข้าจะเอาคืนมันเป็นสิบเท่าพันเท่า”
ทันใดนั้นกลุ่มทหารรักษาการณ์จากจักรวรรดิต้าฉินพร้อมชุดเกราะสีดำเข้ามาล้อมกรอบหยางเย่ จากนั้นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมหรูหราเดินมา “เจ้าเป็นศิษย์สำนักดาบราชันใช่หรือไม่? ข้าเป็นผู้ว่าการเมืองทักษิณภิรมณ์”
หากเขาทราบว่ามารดาของหยางเย่เป็นผู้ใช้พลังปราณขั้นปราณจิตวิญญาณ เช่นนั้นคงไม่กล้ารับสินบนจากตระกูลหลิวไม่ว่ายังไงก็ตาม แต่ในโลกนี้ไม่มียาสำหรับบรรเทาความเสียใจ ดังนั้นเมื่อได้ทำให้หยางเย่ขุ่นเคืองแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือกำจัดปัญหานี้เสีย
หลังจากคนรับใช้ของตระกูลหลิวไปรายงานเหตุการณ์ เขานำทหารขั้นปราณมนุษย์ระดับเก้ากว่าร้อยคนมาที่นี่ เขาทราบว่าหยางเย่สามารถต่อสู้กับผู้ที่มีขั้นพลังปราณเหนือกว่า ดังนั้นเขาจึงรวบรวมทหารยามทุกคนในเมืองทักษิณภิรมณ์มา ยอดฝีมือขั้นปราณมนุษย์มากกว่าร้อยคน แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ยังไม่กล้าสู้ด้วย!
เมื่อเขาเห็นชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มดุร้ายของหยางเย่ปรากฏขึ้นตรงมุมปาก ถ้าไม่เพราะชายวัยกลางคนผู้นี้สมรู้ร่วมคิดกับตระกูลหลิว ยามรักษาการณ์คงปรากฏตัวในเวลานั้นแล้ว และมารดาของเขาก็ไม่จำเป็นต้องเผยตัว คนผู้นี้มันสมควรตาย!
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากหยางเย่ ชายวัยกลางคนตรงหน้าหรี่ตาลงพร้อมเดินถอยหลังไปเล็กน้อย “หยางเย่ ถึงแม้เจ้าจะเป็นศิษย์ของสำนักดาบราชัน เจ้าก็ไม่มีสิทธิที่จะสังหารคนตระกูลอื่นในเมืองข้า เจ้าได้ละเมิดกฎของจักรวรรดิต้าฉินแล้ว ทหาร! จับกุมมัน!”
ขณะที่ทหารยามกำลังจะลงมือ ร่างของหยางเย่ได้พุ่งออกไปแล้ว ประกายดาบได้ตัดผ่านลำคอใครบางคน หัวของผู้ว่าการพร้อมเลือดกระเด็นขึ้นกลางอากาศในทันที
ทุกคนที่นั่นได้แต่ตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดว่าหยางเย่จะกล้าสังหารผู้ว่าการของเมืองในที่สาธารณะ และไม่คาดคิดว่าเขาจะรวดเร็วถึงขนาดมองตามไม่ทัน
ดวงตาผู้ว่าการเปิดกว้าง มันเต็มไปด้วยความเสียใจที่คิดผิด ตอนนี้เขาตายอย่างไม่ทันตั้งตัว
อันที่จริงเขาทำถูกต้องแล้ว หยางเย่ไม่สามารถเอาชนะคนนับร้อยที่อยู่ขั้นปราณสวรรค์ระดับเก้าได้ แต่เขากลับประมาทเดินเข้ามาใกล้หยางเย่เอง แน่นอนไม่ใช่แค่เขา แม้กระทั่งยามรักษาการณ์ก็ต่างประมาท หรือกล่าวได้ว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่าหยางเย่จะสังหารผู้ว่าการบนถนนที่นี่
หลังจากได้สติกลับมา พวกเขากระโจนเข้าใส่หยางเย่ในทันที แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขา
เพราะตราสัญลักษณ์ได้ปรากฏในมือหยางเย่ มันคือตราสัญลักษณ์ของสมาคมผู้ใช้ยันต์