ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes – ตอนที่ 85

กว่าครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไปบนรถรับส่ง เจสันไม่สามารถอ่านให้เข้าใจได้แม้แต่หน้าเดียว นั่นเป็นภาษาเดียวกับหนังสืออื่นๆ หรือเปล่า เจสันคิดอย่างนั้น แต่ปัญหาคือ คำยากๆ เหล่านั้น มันยากเกินไปที่จะเข้าใจ ทำให้เจสันไม่สามารถอ่านมันให้เข้าใจได้

 

การอ่านคำศัพท์ยากๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เรื่อง่ายเพราะมันต้องจำเป็นที่จะเข้าใจอะไรบ่างอย่างก่อน ทำให้เจสันขมวดคิ้ว เจสันเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่ได้รับการต้อนรับจากเกร็กที่อยู่ในห้องนั่งเล่น และกำลังอ่านอะไรบางอย่าง เกร็กสังเกตเห็นอารมณ์ที่ขุ่นมัวของเจสัน บทสนทนาของทั้งสองจึงเริ่มขึ้น

 

เจสันไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเทคนิคการแยกจิต เพราะเขาต้องการเซอร์ไพรส์เกร็กด้วยความเร็วในการพัฒนาขึ้นไปสูงอันดับที่ใกล้เคียงกับเกร็ก อย่างไรก็ตาม เมื่ออ่านหน้าแรกของคำนำ เจสันเข้าใจได้ว่ามันมีกำแพงขนาดที่ใหญ่มากๆ กำลังขวางเขาไม่ให้เรียนเทคนิคนี้จากความรู้น้อยๆ ของเจสัน

 

เจสันไม่เคยเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับกายวิภาคของสมองมาก่อน และตอนนี้เขาต้องการที่จะลองวิธีการแยกจิตออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่แยกออกจะยังใช้งานไม่ได้

 

เจสันต้องการฆ่าตัวตายงั้นหรอ ??

 

สิ่งเดียวที่เจสันรู้คือ มีช่องมานาบางๆ มากมายในสมองของเขา ที่สามารถ รักษา บรรเทาและเร่งกระบวนการคิดได้ตลอดเวลา ว่ากันว่าช่องมานาบางๆ เหล่านี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้มีอันดับที่สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว และการประมวลผลสิ่งต่างๆ ก็มีศักยภาพมากขึ้นในขณะที่ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นจนสามารถเพียงแค่กวาดสายตาก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่อยู่ในคู่มือได้ทั้งหมด

 

แต่เจสันไม่รู้ว่านั้นเป็นความจริงหรือเปล่า

 

เมื่อเกร็กและเจสันได้พูดคุยกันนิดหน่อย เจสันก็ได้หยิบแซนวิส 2-3 ชิ้นจากตู้เย็นและเดินเข้าห้องไป โดยปกติแล้วเจสันจะอ่านหนังสือบางเล่มเกี่ยวกับสัตว์ร้าย การวิวัฒนาการ และส่วนผสมเวทย์มนต์ที่ใช้ในการวิวัฒนาการของสัตว์ร้าย เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดสำหรับเจสัน

 

แต่มันไม่ใช่วันนี้ที่เขาจะมานั่งอ่านเรื่องพวกนั้น

 

เจสันตัดสินใจที่จะอ่าน 2-3หน้าแรกของเทคนิคการแยกจิต โดยตั้งใจว่าไม่ต้องเข้าใจทุกอย่างโดยตรง เพียงแค่เข้าใจคราวๆ และค่อยๆ เรียนรู้เข้าไปเรื่อยๆ และจดศัพท์ที่ไม่รู้หลาย 10 คำ และคำหาคำเหล่านั้นเพื่อทำความเข้าใจในเนื้อหา 2-3 หน้าแรก หลังจากเรียนรู้ศัพท์เหล่านั้นเจสันก็อ่านอีกรอบ 2 รอบ เพื่อทำความเข้าใจ ใน 2-3 หน้าแรก

 

เหตุการณ์นี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว มีแต่หน้าจอโฮโลแกรม 2 จอ ที่ทำให้ห้องมืดๆ ของเจสันสว่างขึ้นและดวงตาสีทองที่ส่องประกายในความมืดเมื่อกระทบกับแสงของโฮโลแกรม หน้าจอหนึ่งแสดงคู่มือการแยกจิต ในขณะที่จอหนึ่งเป็นคำขยายคำศัพท์และการวิจัยในเรื่องนี้ เจสันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสดงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเจสันเริ่มมีความดีใจที่เข้าใจคร่าวๆ ว่าบางหน้าที่ได้อ่านนั้นหมายถึงอะไร

 

เรื่องราวของสมองนั้นลึกลับอย่างยิ่ง และเจสันก็ประหลาดใจที่เห็นว่า นักวิทยาศาสตร์หลายคนค้นพบข้อมูลที่ซับซ้อนและลึกลับมากมายเกี่ยวกับสมอง เจสันไมมีวันที่จะได้รู้อะไรแบบนี้เลย และเจสันก็ดีใจมากที่มีคนมาอธิบายทุกอย่างให้ฟังเพียงแค่อ่านหนังสือเล่มนี้ เจสันเริ่มรู้สึกตัวและรู้ว่าตอนนี้นั้นกี่โมงแล้ว ความรู้สึกเจ็บที่มือขวาอย่างกะทันหันได้ดึงสติเจสัน

 

สกอร์พิโอต่อยเข้าที่มือของเจสัน เพราะรำคาญเสียงนาฬิกาปลุกของเจสัน ที่เจสันไม่รู้สึกตัว เมื่อมองดูมันเป็นเวลา 07.20 น เจสันรีบเรียกรถรับส่งทันทีและเข้าอาบน้ำล้างตัวและรีบเปลี่ยนชุดเครื่องแบบและรีบวิ่งออกจากบ้าน เจสันวิ่งผ่านกาเบรียลลาและมาร์คขณะที่ทั้ง 2 โบกมือให้อย่างรู้ทัน ทั้งคู่เพิกเฉยต่อต่อนาฬิกาปลุกของเจสัน โดยคิดว่าเจสันกำลังหลับสนิท

 

เนื่องจาก 2-3 สัปดาห์นั้นเจสันได้ทำงานหนักเกินไป และทั่งคู่คิดว่าเจสันต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังบางส่วน และการนอนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผ่อนคลายและเติมพลังให้กับตัวเอง ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะไม่สนใจกับนาฬิกาปลุกที่น่ารำคาญของเจสัน

แต่ทั่งคู่ไม่คิดว่าเจสันจะอดหลับอดนอนเพื่อที่จะอ่านคู่มือเทคนิคการแยกจิต ถ้าหากรู้กาเบรียลลาคงไม่พอใจที่เจสันไม่เลือกการพักผ่อนเพื่อร่างกายของตัวเอง เจสันนั่งอยู่บนรถรับส่ง และต้องการสงบสติอารมณ์ตัวเอง ในขณะที่ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์ อันแสนเจ็บปวดนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจสันที่จะทำเช่นนั่น

 

เมื่อมาถึงโรงเรียน เจสันก็ได้ฝึกฝนเทคนิคนรกสวรรค์เสร็จแล้ว และเจสันสังเกตเห็นว่าการฝึกเทคนิคนรกสวรรค์นั้นง่ายขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปขณะที่พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติมันควรจะเป็นอย่างอื่น แต่สำหรับเจสันมันไม่ใช่แบบนั้นเนื่องจากกระบวนการเติมพลังวิญญาณที่สูงขึ้นของเขา

เจสันอยู่ในห้องเรียนเพียงคนเดียว และสงสัยว่าเพื่อนร่วมชั้นของเขาจะทำงานนั้นเสร็จเมื่อไหร่กัน เพราะทุกคนไม่ได้มีวิธีจัดการที่ง่ายดายแบบเจสัน และอาจจะยุ่งยากกันอยู่ แต่นั้นไม่สำคัญสำหรับเจสัน เพราะเจสันฉลาดและขยัน แต่อ่อนแอ ในขณะที่ไม่กลัวว่าจะมีคนคิดอย่างไรกับวิธีที่เขาใช้ในการจัดการกับสัตว์ป่า เพื่อให้งานเสร็จ

 

และบางที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าการใช้พิษนั้นไม่ยุติธรรม หรือเป็นข้อห้าม หรือบางทีพวกนั้นอาจจะต้องต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่สูงกว่าระดับของพวกเขาและมันอาจจะแข็งแกร่งกว่าที่เจสันจัดการในส่วนของเขา พูดตามหลัก คงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงกว่าโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ จากสัตว์พันธะหรือคนอื่นๆ

 

ถึงแม้พลังที่ได้รับการแบ่งมาจากสัตว์พันธะจะสามารถทำให้มนุษย์แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อสู้กับสัตว์ที่มีระดับใกล้เคียงได้แบบตัวต่อตัว แต่นั้นมันไม่สามารถที่จะเอาชนะสัตว์ร้ายที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าถึง 2 ระดับ ยกเว้นหากสัตว์พันธะตัวแรกของคนบางคนอยู่ในระดับสัตว์วิเศษที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่เพียงพอต่อการเอาชนะสัตว์ร้ายระดับวิวัฒนาการในระดับสูง

 

หรืออาจมีใครบางคนที่มีพลังวิญญาณที่เสริมกายภาพที่แข็งแกร่งที่ทำให้ร่างกายนั้นแข็งแกร่งมากๆ หรือมีพลังวิญญาณที่มีธาตุต่างๆ ที่มีพลังสูงที่หายาก ซึ่งมีพลังที่แกร่งกล้า

 

หรืออาจจะเป็นคนที่พระเจ้าเลือกไว้ หรือ พระเอก ???

 

เจสันขณะที่กำลังรอครูอยู่ ก็มีข้อความของแชทกลุ่มของนักเรียนบางคนบ่นถึงงานที่ได้รับมองหมายที่ไม่เป็นธรรม ทำให้เจสันส่ายหน้า

 

‘คนพวกนั้น คิดว่ารางวัลจะตกลงมาจากฟ้าโดยไม่ต้องทำอะไรเลยรึไง ‘

 

นักเรียนเหล่านี้สามารถได้เรียนรู้เทคนิคที่ล้ำค่าเป็นรางวัล แต่เจสันก็ไม่สนใจพวกนั้นเพราะคิดว่า พวกนั้นเป็นคนโง่ที่ไร้ประโยชน์

 

ตอนแรกเจสันจะแนะนำในแชทกลุ่มว่า พวกเขาสามารถใช้ยาพิษเพื่อที่จะสามารถแก้ปัญหาในการเอาชนะพวกสัตว์ร้ายได้ และเจสันก็เข้าใจทันที่ว่ามันคงไม่มีประโยชน์กับคนพวกนี้

 

ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงเช้าพอดี และกรีลก็เข้ามาในห้องและนั่งลงตรงหน้าเจสัน เจสันควรจะเริ่มถามคำถามไหนก่อน เกี่ยวเทคนิคการแยกจิต และยังมีอีกหลายสิ่งที่เจสันไม่เข้าใจแม้จะค้นคว้าแล้วก็ตาม

 

“ครูครับ ช่วยอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างส่วนย่อยของสมองในบริบทเกี่ยวกับความสำคัญของช่องมานาที่ไหลผ่านสมอง การใช้งาน ประโยชน์และปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงของสมองได้ไหมครับ ขณะที่ฝึกการแยกจิตในขั้นตอนแรก”

 

กรีลฟังเจสันก่อนที่ปากจะกระตุกอยู่ครู่หนึ่ง เขาเคยคิดว่าเจสันจะถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับเบื้องต้นเพื่อที่จะให้กรีลอธิบายคำบางคำ แต่เด็กหนุ่มอายุ 14 ปีนี้กำลังถามคำถามแบบนั้น เจสันอ่านคู่มือไปถึงไหนแล้ว ??

“คุณเข้าใจส่วนก่อนของบทนำรึยัง ??”

กรีลเบลอพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว

 

อย่างไรก็ตามเจสันได้พยักหน้ารับ ทำให้กรีลรู้สึกประหลาดใจเนื่องมันกรีลไม่คิดว่าเจสันจะสามารถอ่านได้

 

ตั้งแต่เกิดเจสันมีบุคลิกที่มีความมุ่งมั่น มิฉะนั้น เด็ก 4 ขวบจะทนต่อการรวบรวมอนุภาคมานาในดวงตาเป็น 10 ปีได้อย่างไร และหลังจากที่สามารถมองเห็น ความมุ่งมั่นของเจสันก็ยิ่งหนักแน่นขึ้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเทคนิค การแบ่งแยกจิต (ชื่อเต็มๆ ขอตำรา) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเจสัน ทำให้จิตใจของเจสันทำงานด้วยความเร็ว 200 % ตลอดทั้งคืนเพื่อที่จะทำความเข้าใจในทุกสิ่ง

โชคดีที่มานาในแกนมานาของเจสันกำลังฟื้นฟูพลังงานและสามารถเติมเต็มระหว่างที่รอกรีล กรีลยังสงสัยเกี่ยวกับเจสัน เพราะเจสันถามคำถามที่ซับซ้อนซึ่งต้องใช้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ดังนั้นกรีลจึงเริ่มถามคำถามกับเจสันเกี่ยวกับคู่มือเทคนิคแยกจิต อย่างไรก็ตามเจสันสามารถตอบคำถามของกรีลได้ง่ายๆ ทำให้กรีลรู้สึกตกใจ

 

‘อ๊ากกกกกกก ‘ กรีลรู้สึกอิจฉาในความสามารถในการเข้าใจของเจสันอย่างมาก เพราะเขาไม่สามารถทำแบบนี้ได้เมื่อตอนอายุ 14 ปี ขณะที่เจสันอายุเพียง 14 ปี เขาก็ต้องข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ เนื่องจากเจสันมีออร่าแปลกๆ อยู่รอบตัวซึ่งมันดูเหมือนว่าเขานั้นโตเต็มที่แล้ว และการมองโลกที่แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆ

 

หลังจากที่กรีลสงบลงได้ระดับหนึ่ง กรีลก็ตั้งใจที่จะตอบคำถามของเจสันโดยละเอียด เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง และคำถามของเจสันก็ดูเหมือนจะหาจุดจบไม่ได้

 

***เพิ่มเติม คือในช่วงเวลานี้เด็กนักเรียนคนอื่นๆ ในชั้นนี้ไปทำงานล่าสัตว์ร้ายกัน จึงไม่ได้มีใครมาเรียน ในห้องเรียนจึงมีแค่เจสันกับกรีล เด็กนักเรียนคนอื่นๆ จะมากันหลังจากที่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้วเท่านั้น ***

 

แทนที่คำตอบจะจบลง ดูเหมือนว่ามันจะซับซ้อนมาขึ้นเรื่อยๆ และดุเหมือนว่าเจสันจะสามารถเข้าใจในคำอธิบายของกรีลได้ ทำให้เกิดมากมายขึ้นในจิตใจ และคำถามบางอย่างก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเทคนิคการแยกจิตอีกด้วย

 

God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้า

God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้า

ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes
Score 7.8
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง God’s eyes ดวงตาของเทพเจ้าจากการสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก เขาต้องเอาชีวิตรอดในโลกที่เขามองไม่เห็น … คนตาบอดที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเหมือนกาฝากตามทาง ในสังคมยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยศิลปะการต่อสู้และจิตวิญญาณในการบังคับให้เติบโต ความคิดของเขานั้นแตกต่างจากคนรอบข้างในขณะที่เขาไม่รังเกียจที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวของเขาเอง วันที่เขาถูกปลุกดวงวิญญาณของเขา คือวันที่เขาร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังในขณะที่พระเจ้าเล่นตลกกับเขา เนื่องจากการปลุกดวงวิญญาณของเขาเป็นพรจอมปลอม ใครๆก็คิดว่าเขานั้นตาบอด จนกระทั่งวินาทีที่เขาเบิกเนตรสีทองของเขาที่กระพริบเป็นประกาย ที่รอคอยที่จะกลืนกินทุกคนที่กล้าขัดขวางเส้นทางของเขาไปสู่ยอดเป้าหมาย โปรดติดตามเจสันในการเดินทางผจญภัยทั่วโลกอันกว้างใหญ่นี้

Comment

Options

not work with dark mode
Reset