My Vampire System ตอนที่ 109 โลแกนนักประดิษฐ์
บริเวณนอกประตูหน้าโรงเรียน เรื่องที่ไม่คาดคิดเพิ่งเกิดขึ้น เรย์ร่ากําลังยืนอยู่ด้วยท่าทีเงอะงะ เมื่อเธอได้ยินคําพูดบางคําที่ออกมาจากปากของวอร์เด็น
“อย่างแรก ฉันอยากให้นายถอยหลังให้ห่างจากฉันอีกหน่อย” เรย์ร่าเอ่ย “และนายก็อย่าทําตัวรุ่มร่ามใส่ฉันด้วย”
“ฉันบอกแกแล้ว ว่าให้ฆ่านั่งนี่ซะ ที่นี่ตอนนี้เลยยิ่งดี” ราเทนเปรย
“ฟังก่อน ฉันพยายามที่จะคุยกับเธอด้วยเหตุผลแล้วนะ” วอร์เด็นพูด “เถอะน่า ควินน์บอกว่าเธอสามารถช่วยได้”
ทุกๆครั้งที่เธอมองวอร์เด็น เธอจําได้ว่าเธอมักจะถูกเขากีดกัน มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีและเธอก็ยังคงขนลุกไปทั้งตัวเมื่อเขาพยายามเข้ามาใกล้ ถ้าไม่ใช่เพราะเอรินยืนอยู่ข้างๆ เธอคงจะวิ่งหนีเขา ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเห็นวอร์เด็น
แต่เธอต้องยอมรับอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลบ้าบอแค่ไหนก็ตาม ดูเหมือนว่าวอร์เด็นจะ ดูแลควินน์ได้เป็นอย่างดีจริงๆ
อีกไม่นาน พวกเขาทั้งสองก็ต้องออกไปสํารวจนอกประตูมิติด้วยกัน มันจึงเป็นสิ่งสําคัญที่ทั้งคู่ต้องพยายามปั้นหน้าเข้าหากันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้
เรย์ร่าพ่นลมหายใจออกเฮือกใหญ่ๆ และสูดหายใจเข้าเต็มปอด
“โอเค มีอะไรว่ามา?”
“จริงๆแล้ว เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับปีเตอร์ ควินน์บอกว่าเธอกับเขาเคยคุยกันในตอนที่เราไม่ได้อยู่บนดาวดวงนี้แต่อยู่บนดาวอื่น เธอได้อะไรจากเขามาบ้างไหม?”
“ไม่ แต่ฉันบอกได้เลย ดูเหมือนว่าเขากําลังกลัวอะไรสักอย่างอยู่ แม้ว่าเขาจะถูกเอรินจู่โจมก็ตาม นั่นหมายความว่าสิ่งที่เขากลัวมันเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเอรินมากแน่ๆ” เรย์ร่าพูด
“งั้น ฉันคิดว่าเราคงไม่ได้อะไรจากปีเตอร์ในตอนนี้ เขาดูแย่มากกว่าที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่ทําให้เขาอยู่ได้คือความหวังสุดท้ายเท่านั้น ฉันก็หวังว่าเขาจะกลับไปหาใครสักคนที่หนุนหลังเขาอยู่”
“เดี๋ยว? ว่ายังไงนะ?!” เรย์ร่าแทรก “นี่หมายความว่านายตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้เหรอ ฉันเข้าใจว่าเขาต้องได้รับบทเรียน แต่นายไม่คิดรึไงว่านายคิดไกลเกินไป!”
“ไกลเกินไป?” วอร์เด็นตอบ “เธอไม่รู้ด้วยซ้ําว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง เธอเคยเกือบถูกฆ่าตาย ด้วยสัตว์ประหลาดที่กระหายเลือดบ้างหรือเปล่า? และเธอเคยถูกทิ้งในโลกที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่อยู่ทุกที่บ้างไหมล่ะ?”
“สัตว์ประหลาดดูดเลือด? นั่นเป็นควินน์จริงๆสินะ…” ทันใดนั้น เรย์ร่าก็หยุดชะงักทันทีพร้อมกับหันไปมองเอรินที่อยู่ข้างๆ เธอจริงจังกับการสนทนามากไปจนกระทั่งลืมทุกอย่างเกี่ยวกับเอรินทั้งหมด แต่เมื่อทั้งสองคนหันไปมองเอริน เธอก็เห็นว่าเพื่อนสาวคนสวยกําลังจดจ้องฝูงมดที่กําลังไต่ข้ามทางเดิน
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สนใจกับเรื่องที่เขาทั้งคู่พูดคุยกัน
“ยังไงก็เถอะ ถ้านายเค้นอะไรไม่ได้จากปีเตอร์ ก็ลองไปถามนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งที่ชื่อเอิร์ลดูสิ หมอนั่นเป็นคนที่สุงสิงกับปีเตอร์ก่อนที่เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้น เพราะดูเหมือนสองคนนั้นจะนัดเจอกันในวันที่ฉันกับเอรินไปหาพวกเขาทั้งคู่”
“เอิร์ล? เข้าใจแล้ว ขอบใจที่ช่วยนะ” วอร์เด็นเอ่ย “โต๊ะ ก่อนที่ฉันจะไป เอริน เธอจะรังเกียจหรือเปล่า ถ้าฉันแตะมือเธอสักหน่อย”
เอรินยืนขึ้นจากพื้นและจ้องมองไปที่วอร์เด็นประมาณ 2-3 วินาที ในตอนที่พวกเขาพบกันครั้ง แรก เธอปฏิเสธที่จะจับมือกับเขา เธอเชื่อเพียงแค่ว่าเขาเป็นคนอ่อนแอและอยู่ในระดับที่ต่ํา กว่าเธอ แต่ตอนนี้เธอเข้าใจดีแล้วว่าวอร์เด็นเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในชั้นเรียน
“ฉันหวังว่านายจะใช้มันได้ดี” เอรินเอ่ยขณะที่ยื่นมือไปข้างหน้า
หลังจากที่คัดลอกทักษะพิเศษของเอรินแล้ว วอร์เด็นก็หันหลังและเดินออกไป
“ หมอนั่นแน่วแน่มาก!” เอรินตะโกนไล่หลัง “แม้จะโดนฉันขู่ เขาก็ไม่ยอมปริปากอะไรเลย”
“ไม่ต้องห่วง” วอร์เด็นเอ่ยและยิ้มให้ “ฉันรู้จักใครบางคนที่แนะนําฉันได้เรื่องอะไรแบบนี้”
และวอร์เด็นก็เดินกลับเข้าไปในโรงเรียน
“เฮ้ ราเทน ดูเหมือนว่าอีกไม่นานฉันจะมีงานให้นายทํา”
ขณะเดียวกันที่เรย์ร่าเห็นว่าวอร์เด็นเดินห่างออกไปแล้ว เธอก็ยังคงมีความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมา เช่นเดิม
“คนบ้าเอ้ย”
ควินน์และโลแกนกําลังอยู่ในบริเวณหอพักในที่ๆต่างไปจากเดิม จากปกติที่ควินน์อยู่ในห้องพักรวม ตอนนี้พวกเขาอยู่ชั้นบนสุด เหนือห้องพักที่ควินน์นอนหลับอยู่เป็นประจํา
การที่พวกเขาอยู่ในหอพักเดียวกัน นั่นก็หมายความว่าทั้งสองคนอยู่ชั้นปีเดียวกัน แม้ว่ารูปร่างของโลแกนจะเหมือนกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมต้นก็ตาม
“ตรงนี้แหละ” โลแกนพูด
ขณะนั้น ควินน์มองไปรอบๆ เขาสังเกตเห็นว่าชั้นบนนี้มีประตูห้องน้อยกว่าและพวกมันก็ห่างกันค่อนข้างมาก
“ที่นี่คือที่ไหน?” ควินน์ถาม
“ที่นี่คือโซนห้องพักวีไอพี ถ้าครอบครัวของนายบริจาคเงินให้กับกองทัพก่อนมาที่นี่ นายจะสา มารถเข้าไปพักห้องใดห้องหนึ่งของชั้นนี้ได้เลย”
เมื่อโลแกนเปิดประตูเข้าไป ควินน์ก็รู้สึกตกตะลึงกับขนาดห้องที่อยู่ตรงหน้า ห้องนี้มีขนาดใหญ่กว่าสองเท่าของห้องพักที่ควินน์ต้องพักอยู่รวมกับเพื่อนถึงสามคน และมีเพียงเตียงเดี่ยว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาประหลาดใจที่สุด ทั้งห้องนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ควินน์เรียกว่าขยะ มีเศษโลหะกองกระจัดกระจายไปทั่ว มีชิ้นส่วนอุปกรณ์เกี่ยวกับยานอวกาศนิดหน่อย เครื่องควบคุมต่างๆไปจนถึงอุปกรณ์อื่นๆหลากหลายประเภท
มีสองสิ่งที่สะดุดตาอย่างมากภายในห้องของโลแกน หนึ่งในนั้นคือหลอดแก้วขนาดใหญ่เทียบ เท่ากับร่างกายมนุษย์ ดูเหมือนว่ามันจะเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และมีสายไฟขนาดใหญ่ห้อยลงมาจากด้านบน ซึ่งถัดจากนั้นก็คือเครื่องจําลองเกม VR (แคปซูล)หนึ่งในตัวเลือกที่มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 100,000 เครดิตในการซื้อ
ตระกูลของโลแกนนั้นถือว่าเป็นกรณีที่หายาก โดยปกติเมื่อพวกเขาร่ํารวยก็จะมาพร้อมกับ พลังอํานาจ ผู้ที่มีทักษะที่ทรงพลังก็มักจะหาเงินด้วยการล่าสัตว์อสูรและคอยคุ้มกันให้กับคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ตระกูลของโลแกนเป็นหนึ่งในไม่กี่ตระกูลที่สะสมความมั่งคั่งเอาไว้ด้วยการสร้างเกม VR และค้าขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
มีอีกสองสามตระกูลที่สามารถทําแบบนี้ได้เหมือนกัน เช่น บริษัทที่สร้างยานอวกาศและอาวุ ธสัตว์อสูรมากมาย แต่ก็มีหลายคนที่ทํางานรับใช้ภายใต้ตระกูลของตนอยู่เช่นเดิม
โลแกนได้เดินไปนั่งที่เก้าอี้แขนกลของเขา ซึ่งทําให้แขนของมันขยับทันทีและเริ่มนวดให้กับโลแกน
“แล้ว นายต้องการให้ฉันช่วยเรื่องอะไร?” โลแกนถาม
ควินน์กําลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่แปลกขั้นสุด เรย์ร่าและวอร์เด็นรู้ว่าเขาเป็นแวมไพร์แต่ไม่รู้ เกี่ยวกับระบบที่เขามีอยู่ ในขณะที่โลแกนรู้ว่าเขามีระบบ แต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นแวมไพร์ ถึงจะเป็นแบบนั้น สิ่งที่โลแกนรับรู้ก็ดูเรียบง่ายพอที่จะอธิบายเกี่ยวกับระบบได้ง่ายมากกว่าที่จะอธิบาย เรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์ด้วยซ้ํา
“ฉันสงสัยว่านายสามารถแฮกนาฬิกาข้อมือของฉันได้หรือเปล่า? ให้มันแสดงตัวเลขอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ”
“ฉันทําเรื่องแบบนั้นได้ง่ายๆเลยล่ะ แต่ก่อนอื่น นายต้องบอกเหตุผลด้วยว่าทําไม?”
ควินน์ลังเลเล็กน้อย เขาเพิ่งได้เจอกับโลแกน ดูเหมือนเขาจะเป็นคนดี ที่ไม่ประทับใจกันในตอนแรกสักเท่าไหร่ แต่นักฆ่าหรือพวกวิกลจริตทุกคนก็ปั้นหน้าว่าดีต่อหน้าใครต่อใครในช่วงเวลาไหนก็ได้ทั้งนั้น
“ฉันคิดว่าฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายกังวลว่ารัฐบาลจะรับรู้เกี่ยวกับทักษะพิเศษของนาย แล้วพวกเขาจะพยายามลักพาตัวนายไปผ่าทดลองใช่หรือเปล่า?” โลแกนพูด “เชื่อฉันเถอะ ฉันจะไม่บอกรัฐบาล กองทัพหรือว่าใครหรอก ฉันจะซื่อสัตย์กับนายควินน์ ฉันไม่สนอะไรเกี่ยวกับ เรื่องของนายเลยสักนิด ฉันสนแค่คนที่ป้อนระบบเข้าไปในหัวของนายมากกว่า เพื่อหาคนๆนั้นให้เจอ ฉันจําเป็นต้องให้นายพาเขามาหาฉัน และก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาเอาตัวนายไปทั้งนั้น”
คําพูดของโลแกนฟังดูน่ากลัวและหนักแน่นสําหรับควินน์ แต่อย่างน้อยเขาก็ดูจริงจังมาก ไม่ เหมือนกับคนอื่นๆที่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าคนพวกนั้นคิดอะไรอยู่โลแกนมีความซื่อตรงอย่างสมบูรณ์
“อย่างที่นายรู้ ระบบของฉันมีเซ็ตสกิลบางอย่างที่ใช้งานภายในเกมได้ แต่นี่คือทักษะจริงๆ ที่ฉันมี” ควินน์จึงค่อยๆควบคุมเงาขึ้นมาและสร้างให้เป็นรูปร่างมือขนาดยักษ์ พร้อมกับโบกมันเข้าหาโลแกน
ถ้าไม่ใช่เพราะโลแกนนั่งอยู่ เขาคงจะผงะด้วยความตกใจแน่ๆ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? งั้นนายก็เป็นผู้ใช้ทักษะโดยกําเนิดสิด้วยงั้นสิ?”
“ไม่เชิง มันกลายเป็นทักษะของระบบไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เลยทําให้เป็นอย่างที่นายเห็น” ควินน์พูดพร้อมกับชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือของเขา “มันไม่ได้บันทึกข้อมูลลงในนาฬิกา”
ความคิดนับไม่ถ้วนเริ่มวนอยู่ในหัวของโลแกน ว่าทําไมถึงเป็นแบบนั้น เขาไม่ได้อยากรู้อยาก เห็นเกี่ยวกับทักษะพิเศษนี้มากนัก เรื่องนั้นไม่ได้น่าสนใจสําหรับเขา แต่เขาแค่อยากรู้ว่าทําไม?
“นาฬิกาที่ว่ามันเป็นวิธีแก้ปัญหาง่ายๆ แต่ถ้าฉันทําเพื่อนาย ฉันสงสัยว่านายจะช่วยฉันด้วยหรือเปล่า?” โลแกนพูดพลางมองไปที่หลอดแก้วที่มีสายไฟระโยงระยาง
ควินน์เริ่มเหงื่อตกและมองไปที่หลอดแก้วนั้น ถ้าหากเขาไม่ถูกทหารจับไปทดลอง เขาก็รู้สึกว่าโลแกนนี่แหละจะเป็นคนลงมือทํามันอยู่ดี
“อย่ามองฉันแบบนั้น เครื่องนั่นมีไว้สําหรับเกม นายจะยอมให้ฉันใส่ทักษะเงาของนายไว้ในเกมได้ไหมล่ะ?”