157 – ความขัดแย้งจบสิ้นลง
ตอนเย็นเจี้ยนลี่เฉียงได้นากู่เจ๋อชวนและจ้าวฮุยเพิ่งเข้ามาในหุบเขาไต้ฮุยของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
ย่านตลาดของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในหุบเขาไต้ฮุย หุบเขา ไต้ฮุยทั้งหมดพลุกพล่านราวกับตลาดสดที่มีชีวิตชีวาที่สุดเพียงแต่ว่าผู้ที่ซื้อสินค้าที่นี่ล้วนเป็นสาวกของนิกายทั้งหมดไม่มีคนนอกแม้แต่คนเดียว
ทั่วทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยผู้คนมากมายสุดลูกหูลูกตา พวกเขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสีสัน และยุ่งอยู่กับการทําสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมนั้นชัดเจนและสามารถแยกแยะได้ง่ายเพียงชําเลืองมอง
คนที่แต่งกายด้วยชุดสีเทาคือสาวกภายนอก ชุดสีดําคือศิษย์ภายใน ชุดสีม่วงคือศิษย์ชั้นยอด และชุดสีฟ้าเป็นศิษย์โดยตรง โดยพื้นฐานแล้วเราสามารถบอกตําแหน่งของใครบางคนบนถนนได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ดูเครื่องแต่งกายของพวกเขา
ในบรรดาศิษย์ทุกตําแหน่งต่างก็มีเข็มขัดสีต่างกัน แม้ไม่รู้จักกันแต่ก็สามารถแยกแยะสถานะได้อย่างง่ายดาย
หิมะหยุดตกตั้งแต่เช้าถึงบ่าย แต่เมื่อถึงเวลาเย็นหิมะก็เริ่มตกอีกครั้ง
ครั้งสุดท้ายที่เอี้ยนลี่เฉียงมาที่หุบเขาตี้ฮุยก็เมื่อสามเดือนก่อน ตอนนั้นอากาศยังค่อ นข้างสบาย แผงขายของของจํานวนมากถูกตั้งขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของตลาดของ
สินค้าที่ขายมีการจัดแสดงที่สวยงามตระการตาและตระการตามากมาย ในหมู่พวกเขามียา อาวุธ สมุนไพร งานฝีมือมากมายที่ดึงดูดสายตา
แต่ในวันนี้เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออํานวยแผงขายของพวกนั้นจึงถูกเก็บไปหมดแล้ว
ร้านอาหาร ร้านค้า และสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ในตลาดของหุบเขาไต้ฮุยเป็นสมบัติของนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ในการหากินจากสมบัติเหล่านี้ก็คือผู้ที่มีเงินประมูลสูงสุด
พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เช่าร้านพวกนี้ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นไม่ว่าจะได้กําไรหรือขาดทุนพวกเขาจะต้องรับผิดชอบเอง
ทุกที่ในนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์มีลําดับชั้นที่เข้มงวด ยกเว้นในหุบเขาไต้ฮุย ทุกสิ่งที่นี่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางธุรกิจ ที่นี่เงินใครมากกว่าคนนั้นจะเป็นพี่ใหญ่พวกเขาสามารถเพลิดเพลินกับทุกสิ่งทุกอย่างราวกับพระเจ้า
ในที่แห่งนี้มีหอนางโลมมากมาย ตราบเท่าที่ทุกคนมีเงินพวกเขาสามารถเพลิดเพลินกับสาวๆ ที่นี่ได้อย่างเต็มที่
หอสุขสันต์ดาวตกก็เป็นหนึ่งในนั้น เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆมาถึงทางเข้าผู้รับใช้คนหนึ่งก็ยืนรออยู่หน้าบันไดแล้ว
ทันทีที่เอี้ยนลี่เฉียงและอีกสองคนเข้าไปในหอสุขสันต์ดาวตก พวกเขาเห็นชั่วชิงเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องลี่เฉียงตรงต่อเวลาจริงๆ…”
ในฐานะเจ้าภาพแน่นอนว่าชั่วชิงจะต้องมาก่อน อย่างไรก็ตาม เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่สายเช่นกัน ด้วยมารยาทที่ดีเขามาถึงก่อนเวลาที่ทั้งคู่นัดหมายกันเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ฮั่วท่านเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราจะทําให้ท่านรออยู่ที่นี้ได้อย่างไร เพียงบอกผู้รับใช้ที่นี่ให้มานําทางพวกเราก็พอแล้วฮ่าๆๆ…”
เอี้ยนลี่เฉียงและกั่วป่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนานก่อนพวกเขาจะเคลื่อนย้ายเข้าสู่หอสุขสันต์ดาวตก
“น้องลี่เฉียง เจ้าคิดอย่างไรกับที่นี่?”
เอี้ยนลี่เฉียงมองไปรอบๆแม้ว่าที่นี่จะค่อนข้างเล็กเนื่องจากเป็นสมบัติของนิกายและการตกแต่งของที่นี่ก็งดงามสําหรับการหาความสําราญ
“สถานที่ที่ศิษย์พี่ฮั่วเป็นคนเลือกย่อมดีอยู่แล้ว!”
” หอดาวตกนี้เป็นสมบัติของหลัวเทียนหยู หนึ่งในเจ็ดวีรบุรุษนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ฉายาของศิษย์พี่หลัวคือกระบี่ดาวตกสถานที่แห่งนี้จึงตั้งตามชื่อของเขา
ข้าเคยเป็นศิษย์ครับใช้ของศิษย์พี่หลัวดังนั้นเขาจึงให้ข้าเป็นคนดูแลสถานที่แห่งนี้” ฮั่วปิงดู เหมือนจะแนะนหอดาวตกแต่จริงๆแล้วเขาแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเขากับศิษย์พี่หลัว
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงได้ยินเช่นนั้น เขาก็เพียงแค่หัวเราะเอี้ยนลี่เฉียงไม่สงสัยในความจริงที่ว่าชั่วนิ่ง รู้จักหนึ่งในเจ็ดวีรบุรุษนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ กระบี่ดาวตกหลัวเทียนหยู
อย่างไรก็ตามเขาไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเป็นแบบที่ชั่วชิงพูดถึงจริงๆหรือไม่เอี้ยนลี่เฉียงเคยได้ยินและเห็นเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มากเกินไป
หลายคนมักจะอ้างว่ารู้จักเลขานุการ นายกเทศมนตรี หรือผู้บริหารพรรคบางคน(พรรคคอมมิวนิสต์) คําพูดเหล่านี้มีไว้เพื่ออวดอ้างเท่านั้น
หากทั้งสองฝ่ายมีความสนิทสนมกันจริงๆผู้คนมักจะไม่อวดความสัมพันธ์ของพวกเขา มีเพียงคนที่ประสบการณ์น้อยเท่านั้นถึงจะเชื่อเรื่องพวกนี้
หลังจากที่พวกเขามาถึงห้องส่วนตัว เอี้ยนลี่เฉียงก็มองเห็นอีกสามคนนั่งรออยู่ด้านในแล้ว หม่าเหลียงเป็นหนึ่งในนั้น อีกสองคนสวมชุดสีดําและดูเหมือนจะเป็นศิษย์ภายในของนิกายเช่นเดียวกับฮั่วปัง
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆเข้ามา อีกสามคนลุกขึ้นยืนรวมทั้งหม่าเหลียง
“น้องชายให้ข้าแนะนําคนเหล่านี้ให้เจ้ารู้จัก นี่คือศิษย์พี่หูเทียนเต่อจากห้องโถงพยัคฆ์คําราม นี่คือศิษย์พี่หลีไคเหอเจ้าหน้าที่จากลานบัญชาการ พวกเขามาจากแคว้นยังเหมือนกับข้า”
หูเทียนเต่อและหลีใคเหออายุยี่สิบปี สําหรับพวกเขาที่สามารถก้าวเข้าสู่ตําแหน่งนักรบที่แท้ จริงได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนพวกเขาก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลชั้นสูงอย่างแน่นอน
หูเทียนเพื่อเป็นชายร่างใหญ่ใบหน้าดุดัน ในทางกลับกันหลไคเหอเป็นชายหนุ่มใบ หน้ากลมดวงตาหยีเล็กเพียงมองครั้งเดียวก็ทราบได้ว่าเขาเป็นคนเจ้าแผนการ
“คํานับศิษย์พี่ทั้งสอง!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องลี่เฉียงมีลักษณะท่าทางของพยัคฆ์มังกรไม่แปลกใจเลยที่เจ้าสามารถถูกเรียกตัว เข้ามาทํางานในห้องโถงสีเทาได้ด้วยวัยเพียงแค่นี้!” หลี่ไคเหอกล่าวอย่างยิ้มแย้ม
“ไม่เลยต้องให้ศิษย์พี่ทั้งสองช่วยดูแลในอนาคตด้วย!”
หลังจากแสดงมารยาทกับหูเทียนเตือและหลีไคเหอแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็แนะนํากู่เจ๋อซวนและจ้าวฮุยเผิงที่มากับเขาให้กับทั้งสองคนอย่างจริงจัง หลังจากทักทายแล้วฮั่วปิงก็หาโอกาสที่จะพูด
“นี่คือน้องชายคนเล็กหม่าเลียงพวกเรามาจากแคว้นกังเหมือนกัน พวกเจ้าของรู้จักกันแล้วข้าจะไม่แนะนําอีก!”
หม่าเหลียงร่างกายแข็งที่อใบหน้ามีความกังวลเขาประสานมือขึ้นคารวะเอี้ยนลี่เฉียงอย่างนอบน้อม
“ถูกแล้วข้ากับศิษย์น้องหมารู้จักกันตั้งแต่ตอนที่เข้ามาที่นี่ใหม่ๆ”
เมื่อได้ยินคําพูดของเอี้ยนลี่เฉียง ฮั่วปิงก็พยักหน้าก่อนจะนั่งลง
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม…” ฮั่วปิงกระแอมแล้วเอื้อมมือไปหยิบกล่องสี่เหลี่ยมจากใต้โต๊ะแล้ววางลงบนโต๊ะ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และผลักไปทางเอี้ยนลี่เฉียง
“นี่คือเงินห้าร้อยเหรียญ มันเป็นของขวัญแสดงความยินดีเล็กน้อยจากข้าและศิษย์น้องหม่า! ขอให้อนาคตของน้องลี่เฉียงภายในนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สดใสนับจากวันนี้!”
แม้จะมีคําพูดสวยหรูแต่ความหมายเบื้องหลังก็คือเงินเหล่านี้เป็นคําขอโทษต่อเอี้ยนลี่เฉียงจากเขาและหม่าเหลียง
เงินห้าร้อยเหรียญไม่ใช่จํานวนเล็กน้อย เงินจํานวนนี้เพียงพอที่จะทําให้เอี้ยนลี่เฉียงเช่าร้าน ใหญ่ๆเพื่อเปิดกิจการได้ด้วยตัวเอง เมื่อฮั่วปิงผลักกล่องไปทางเอี้ยนลี่เฉียง ความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขาก็ถูกแสดงออกมาอย่างปิดไม่มิด
ทั้งห้องเงียบไปทันที
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียง เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้รับเงินไปทันที เขามีรอยยิ้มที่ไม่แยแสบนใบหน้าขณะที่เขามองไปที่หม่าเหลียงอย่างสงบ
“ข้ารู้สึกสงสัยจริงๆว่าศิษย์น้องหม่าเหตุไฉนถึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าอยู่ตลอดเวลา และจงใจสร้างความลําบากให้ข้าตั้งแต่เข้าสู่นิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่ข้าไม่เคยรู้จักกับเจ้ามาก่อน หรือว่าชาติที่แล้วข้าได้แย่งชิงภรรยาของเจ้าอย่างนั้นหรือเปล่า?”
ภายใต้การจ้องมองอันเงียบสงบของเอี้ยนลี่เฉียงและสายตาเย็นชาของฮั่วปัง หม่าเหลียงก็ลุกขึ้นยืนและแสดงความเคารพออกมาอีกครั้ง
“ข้าหม่าเหลียงเป็นคนตาบอดถึงได้ล่วงเกินศิษย์พี่ไปขอให้ศิษย์พ่อภัยให้ข้าด้วย”
“ศิษย์พี่รออยู่นี่สักครู่…” หม่าเหลียงกัดฟันเดินออกไป
หลังจากนั้นไม่นานหม่าเหลียงก็กลับมาพร้อมกับคนรับใช้และสุราหลายไห
คนรับใช้ด้านหลังจัดวางถ้วยสุรานับร้อยบนโต๊ะพร้อมกับรินสุราใส่ถ้วยพวกนั้นจนเต็ม
“ความผิดของข้าใหญ่หลวงนัก ตรงหน้านี้มีสุราร้อยถ้วย ข้าจะดื่มพวกมันให้หมดเพื่อขอให้ศิ ษย์พ่อภัยให้ข้า!” หม่าเหลียงกล่าวขณะที่หยิบถ้วยขึ้นมาและดื่มลงไปอีกเดียวจากนั้นเขาก็หยิบถ้วยที่สองขึ้นมาและดื่มในอีกเดียว
ภายใต้การจ้องมองของทุกคนในห้อง หม่าเหลียงก้มศีรษะไปข้างหลังและกลืนสุราที่อยู่ในถ้วยลงไปราวกับน้ําเปล่า
หม่าเหลียงดื่มสุราสามสิบถ้วยแรกในอีกเดียว หลังจากถ้วยที่สี่สิบใบหน้าของเขาก็ร้อนรุ่มเริ่ม ยืนไม่ตรงกระนั้นเขายังดื่มต่อ
ในถ้วยที่ห้าสิบดวงตาของเขาแดงก่ําถ้วยที่หกสิบเขามีเหงื่อหยดย้อย ยืนนิ่งไม่ได้ ถ้วยที่เจ็ดสิบมือของเขาไม่สามารถถือถ้วยสุราได้อีกต่อไป เขากระอักเลือดออกมาคําใหญ่และล้มลงกับพื้น
ในขณะนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็ยืนขึ้นและกดลงบนมือของหม่าเหลียง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปหยิบถ้วยสุราที่วางไว้บนโต๊ะแล้วดื่มพวกมันลงไปจนหมด
หลังจากดื่มถ้วยสุดท้ายเขาก็ทุบถ้วยลงกับพื้นแล้วหันมาหาหม่าเหลียง
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความขุ่นเคืองระหว่างเราจบสิ้นลงแล้ว”
“ข-ขอบคุณศิษย์พี่เอี้ยน” หม่าเหลียงยิ้มให้เอี้ยนลี่เฉียงด้วยท่าทางโง่เขลา ก่อนจะทรุดตัวลงใต้โต๊ะ