158 – ความเปลี่ยนแปลงของหินที่อยู่ในจิตใจ
เมื่อพวกเขาออกจากหอดาวตกท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว อาหารเย็นกินเวลานานกว่าสองชั่วโมงก่อนที่ทุกคนจะจากไป
ข้างนอกหิมะตกหนักมาก ทุกที่ในตลาดมีโคมไฟแขวนอยู่ในความมืด ตะเกียงให้ความอบอุ่นเล็กน้อย ใบหน้าที่เบิกบานใจของฮั่วปิงเป็นสีแดงในขณะนี้เขารู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
หูเต๋อเทียนและหลีไคเหอกล่าวคําอําลากับเอี้ยนลี่เฉียงอย่างสุภาพและเลิกแสดงท่าที่อวดดีในฐานะศิษย์พี่อาวุโส
หลังจากรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างเอี้ยนลี่เฉียงกับคนเหล่านี้ก็แน่ นแฟ้นเปรียบเสมือนการสาบานเป็นพี่น้องกัน ทําให้กูเจ๋อซวยและจ้าวฮุ่ยเผิงเลิกคิ้วขึ้น
แม้แต่หม่าเหลียงที่เมามายจนแทบไม่รู้ตัวก็ตบหน้าอกตัวเองไปทางเอี้ยนลี่เฉียง และกล่าวด้วยกลิ่นปากที่เต็มไปด้วยเหล้าว่า
“ศิษย์พี่ต่อจากนี้ ความกังวลของท่านคือความเดือดร้อนใจของข้าหม่าเหลียง ตราบใดที่ศิษย์พี่ออกคําสั่งหม่าเหลียงจะไม่ขมวดคิ้วต่อให้เดินเข้าสู่ทะเลเพลิงก็ตาม”
“ฮ่าฮ่า ไปเถอะ กลับไปพักผ่อนเถอะ…” เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะ
“ไม่ต้องกังวลศิษย์พี่” จากนั้นฮั่วปิงก็ส่งสัญญาณไปยังคนรับใช้ของร้านอาหารที่อยู่ด้านข้างด้วยสายตา พวกคนใช้รีบขึ้นมาประคองหม่าเหลียงซึ่งแทบจะยืนไม่ไหวและส่งขึ้นรถม้าออกไป
แม้ว่าจะไม่มีบริการรับส่งที่หอดาวตกก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังมีเงินอยู่ คนรับใช้ในร้านอาหารก็ สามารถหารถม้าเพื่อส่งแขกที่เมาแล้วกลับบ้านได้เช่นเดียวกัน
“น้องชายเอี้ยนเกี่ยวกับน้ําส้มสายชูดิน” ฮั่วปิงมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาที่เร่าร้อนขณะนี้เขาได้แต่ถมือเข้าด้วยกัน
“วางใจเถอะศิษย์พี่ตราบใดที่เจ้าสามารถเตรียมส่วนผสมและสถานที่ได้ สิ่งนี้จะทําเงินให้เรามหาศาล เวลาเป็นสิ่งสําคัญเราต้องตีเหล็กตั้งแต่ยังร้อน ตอนนี้เรื่องราวที่ข้าสามารถทําความสะ อาดจนได้เป็นศิษย์ชั้นในคงทําให้หลายๆคนต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ของเราอย่างแน่นอน”
“ไม่มีปัญหาภายใน 2 วันน้องชายจะได้รับคําตอบที่ดีที่สุด …”
“เอาล่ะ, ศิษย์พี่ทั้ง 3 พวกข้าขอตัวก่อน”
” ศิษย์น้องเดินระวังด้วย “
เอี้ยนลี่เฉียงค่อยๆนํากู่เจ๋อซวนและจ้าวฮุ่ยเผิงออกไปในทิศทางของภูเขาเทียนเฉียวโดยมี ฮั่วปิงและคนอื่นๆยืนส่งอยู่ด้านหลัง
ฮั่วปิงรอจนกระทั่งเงาของเอี้ยนลี่เฉียงและอีกสองคนหายไปในเกล็ดหิมะ
จากนั้นเขาก็หันไปมองหูเทียนเต๋อและหลีไคเหอทั้งสองคนสามารถเข้าใจความหมาย เบื้องหลังดวงตาของเขาได้แม้จะไม่มีคําอธิบายก็ตาม
ดวงตาของหลี่ไค่เหอหรี่ลงจนเงาของเอี้ยนลี่เฉียงและคนอื่นๆหายไปอย่างสมบูรณ์ เขาไม่เคยละสายตาจากเอี้ยนลี่เฉียงเลย เขาหันศีรษะไปทางฮั่วปิงและกล่าวว่า
“ศิษย์น้องเอี้ยนเป็นคนฉลาดและจิตใจเจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง เราควรหลีกเลี่ยงการรุกรานคนเช่นเขาและเป็นพันธมิตรกับเขาให้ถึงที่สุด
หม่าเหลียงตาบอดจริงๆที่คิดว่าสามารถเทียบกับศิษย์น้องเอี้ยนได้ ”
“ใช่ แม้แต่คนที่มีประสบการณ์อย่างพวกเรายังยากที่จะทําความเข้าใจเจ้าเด็กคนนี้!” ฮั่วปิงถอนหายใจเบาๆและส่ายหัว
“เราควรจะขอโทษเขาวันนี้ แต่ข้าไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะดึงพวกเรามาทําธุรกิจน้ําส้มสายชูดิน แม้แต่การได้ยินเขาอธิบายเรื่องนี้เมื่อสักครู่ก็ยังทําให้ข้าตกใจไม่หาย…”
“อนาคตของเขาจะไม่จบลงเพียงเท่านี้พวกเราต้องพยายามผูกความสัมพันธ์กับเขาไว้ให้แน่น เมื่อเขาเติบโตขึ้นพวกเราจะได้มีที่ให้พึ่งพา…”
“ใช่!”
“พวกเจ้าคิดว่าศิษย์น้องเอี้ยนเพียงผ่านขั้นตอนท่าม้าอย่างนั้นหรือ?” หูเทียนเต๋อที่เงียบอยู่นานก็กล่าวออกมาเบาๆทําให้ฮั่วปิงและหลี่ไคเหอตกตะลึงเล็กน้อย
….
” ศิษย์พี่เอี้ยน…ทําไมเราต้องแบ่งผลประโยชน์เรื่องน้ําส้มดินร่วมกับฮั่วปิง? “ เมื่อพวกเขาออกจากตลาดกู่เจ๋อซวนที่อดกลั้นตัวเองไว้ครึ่งวันก็อดไม่ได้และถามขึ้น
แม้ว่าเจ๋อซวนจะมีประสบการณ์บ้าง แต่เมื่อเทียบกับเอี้ยนลี่เฉียงในแง่ของความคิดและทักษะทางธุรกิจเขาอยู่ในระดับอนุบาลเท่านั้น
ความท้าทายที่เอี้ยนลี่เฉียงเคยผ่านในอาชีพการงานของเขาจากชาติที่แล้ว ความรู้และความ เข้าใจที่เขาได้รับนั้นเหนือจินตนาการของกู่เจ๋อซวน
แม้ว่าเราจะได้ซาลาเปาเพียงครึ่งตะกร้าแต่ก็ยังเยอะกว่าซาลาเปาที่เราสามารถทําขึ้นเองหลายสิบเท่า นั่นเป็นสถานการณ์ที่ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายรวมทั้งพวกเขายังสามารถแก้ไขความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้”
“ข้ารู้สึกไม่ชินกับมัน…”
เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะ เขาเข้าใจดีว่าทําไมกู่เจ๋อซวนถึงไม่ “ชินกับมัน” สําหรับกู่เจ๋อซวนความขุ่นเคืองและความแค้นที่เขามีต่อฮั่วปิงได้เข้าครอบงําอารมณ์ของเขามากเกินไป
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะชินกับมันในไม่ช้า หากเจ้าปรารถนาที่จะอยู่อย่างสบายในนิกายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
บางครั้งเจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องต่อสู้กับผู้อื่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะรู้จักเพียง การต่อสู้เท่านั้นเจ้าต้องรู้จักร่วมมือกับคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตัวเองด้วย ”
เอี้ยนลี่เฉียงเดินในขณะที่เขาอธิบายอย่างไม่เป็นทางการ หลังจากเดินไปได้ไกล เขาก็รู้ว่าอีกสองคนที่อยู่ข้างๆหยุดเดิน เอี้ยนลี่เฉียงหันกลับมาและตระหนักว่ากู่เจ๋อซวนและจ้าวฮุยเผิงหยุดเดินแล้วและจ้องมองเขาด้วยท่าทางที่ตกตะลึง
ในตอนนั้นเองเอี้ยนลี่เฉียงก็ตระหนักได้ในทันทีว่าคําพูดธรรมดาๆของเขานั้นล้ําหน้าเกินไปและทําให้ทั้งคู่ตกตะลึง คําพูดที่เขากล่าวออกมานั้นเป็นคําพูดของปราชญ์มากมายตลอดประวัติศาสตร์ของโลก 5000 ปีที่เคยกล่าวไว้
“ศิษย์พี่ฮุยเผิงและข้าจะเป็นผู้ติดตามที่ชื่อสัตย์ของท่านต่อจากนี้ไป…”
เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวอําลาทั้งสองคนก่อนที่พวกเขาจะไปถึงแอ่งภูเขาที่เชิงเขาเทียนเฉียวและกลับไปที่บ้านหลังเล็กๆที่เขาพักอยู่
หลังจากล้างหน้าเอี้ยนลี่เฉียงถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง อย่างไรก็ตาม เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้นอนพักผ่อน เขานั่งสมาธิ แล้วหลับตาลงและจดจ่ออยู่กับทะเลแห่งสติภายในจิตใจตัวเอง
เพียงชั่วพริบตาหินลึกลับขนาดใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาก็ปรากฏขึ้นในจิตสํานึกของเอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้ทําอะไรเลยนอกจากเพ่งสายตาไปที่หินก้อนใหญ่นั้น เช่นเดียวกับที่เขาทําบนเนินเขาเล็กๆที่วิหารแห่งความบริสุทธิ์
หนึ่งชั่วยามผ่านไป.. สองชั่วยามผ่านไป. สามชั่วยามผ่านไป
ทันใดนั้น เอี้ยนลี่เฉียงได้ยินเสียงระเบิดในใจของเขา จู่ๆก้อนหินขนาดมหึมาก็สร้างแรงดึงดูดอันทรงพลังคล้ายกับหลุมดํา
เพียงชั่วพริบตาจิตสํานึกทั้งหมดของเอี้ยนลี่เฉียงก็ถูกดูดเข้าไปในหินลึกลับ