ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 40

ตอนที่ 40 เชือดโจรเมฆาโลหิต

 

เมิ่งชวนเข้ามาในห้องหรูหราอย่างสงบและสบสายตากับโจรทั้งสองคน

 

ชายร่างอ้วนและชายมีหนวดเคราลุกขึ้นอย่างระวัง แต่ก็ยังคงยิ้ม ในเมืองตงหนิงพวกเขาไม่กล้าที่จะก่อปัญหา ชายผู้มีหนวดเคราประสานมือและพูดว่า “คารวะนายน้อยเมิ่ง นายน้อยเมิ่งมาที่ห้องของพวกเรา ข้าสงสัยว่าท่านมีคำแนะนำอะไรที่จะบอกกับพวกเราพี่น้องรึ”

 

“ฆ่า”

 

เมื่อเสียงเงียบลง ลำแสงกระบี่ก็วาบขึ้น

 

กระบี่นี้รวดเร็วเกินไป

 

ตอนนี้เมิ่งชวนมาถึงช่วงปลายของระดับก่อกำเนิดมีรากฐานเทพอสูรที่แข็งแกร่ง และร่างเทพอสูรของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกวิชาระดับไร้ตำหนิ และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้เข้าถึง “พลังกระบี่” แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้กระบี่ แต่การหลอมรวมของร่างกายและจิตใจก็สามารถที่จะดึงศักยภาพของร่างกายออกมาให้แข็งแกร่งขึ้นได้เช่นกัน ด้วยความเชี่ยวชาญด้านความเร็ว การตวัดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้สองโจรในห้องนั้นรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในทันใด

 

“แย่แล้ว” ทั้งคู่รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ แต่ร่างกายของชายอ้วนอ่อนแอกว่า เขาไม่สามารถตอบสนองต่อลำแสงกระบี่ที่วาดผ่านลำคอของเขาได้ทัน

 

“โอ โอ โอ~” ชายร่างอ้วนยกมือกุมลำคอ แต่เลือดยังไหลพรั่งพรูออกมา ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง เขารู้สึกได้ถึงชีวิตที่ทะลักออกจากร่างไปอย่างรวดเร็ว

 

“อะไรกัน” อย่างไรก็ตาม ชายที่มีหนวดเคราเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาตอบสนองได้เร็วกว่ามาก เขากระโดดออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่ลังเล ในช่วงที่เมิ่งชวนตวัดกระบี่ เขารู้ดีว่าถึงแม้เขาจะสามารถต่อสู้กับเมิ่งชวนได้หลายสิบกระบวนท่า แต่ก็ไม่มีความหมายใดหากเปิดเผยตัวตนออกมาในเมืองตงหนิง เขาต้องหนีให้เร็วที่สุด

 

ยิ่งหน่วงเวลาไว้นาน จอมยุทธที่แข็งแกร่งก็จะมาถึง โอกาสรอดชีวิตก็จะลดน้อยลง

 

กระบี่นั้นฆ่าชายอ้วนด้วยการตวัดเพียงครั้งเดียว ร่างของเมิ่งชวนเลือนลางลงไปในทันที เมื่อเขาพุ่งตัวติดตามมืออสูรโลหิตจ้าวชานไปนอกหน้าต่าง วันนี้โจรสองคนนี้ลืมเรื่องการหลบหนีไปได้เลย

 

“มีอะไรเกิดขึ้นรึ”

 

แขกและผู้หญิงหลายคนในห้องโถงของหอเมฆาคราม เห็นว่ามีร่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากห้องหนึ่งในชั้นสองจากไป ติดตามมาด้วยร่างอีกสายที่เร็วกว่า พร้อมกับแสงกระบี่พาดผ่านท้องฟ้าฟาดฟันไปยังร่างที่อยู่ด้านหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว

 

ขณะที่พุ่งตัวไปในอากาศก่อนลงสู่พื้น มืออสูรโลหิตจ้าวชานก็ได้สวมถุงมือสีดำไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นมือของเขาก็ใหญ่ขึ้นราวกับใบลาน ฝ่ามือเขาขยายออกเป็นสองเท่าของคนธรรมดาแล้วพุ่งออกไปอย่างลึกลับขวางกั้นกระบี่เอาไว้

 

“บูม”

 

จ้าวชานรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ส่งผ่านแขนไปยังร่างกายของเขา จนอดไม่ได้ที่จะกระแทกเข้ากับพื้นหอเมฆาคราม เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่บนพื้นไม้ เศษไม้ปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว

 

แขกที่อยู่โดยรอบพากันล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว การต่อสู้นั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะต่อสู้กันในสถานที่เช่นหอนางโลมแบบนี้ ซึ่งปกติแล้วการต่อสู้มักจะเกิดขึ้นเพราะความหึงหวง และการบาดเจ็นทางร่างกายนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด

 

“นั่นคือนายน้อยเมิ่ง”

 

แขกและผู้หญิงในหอนางโลมทั้งหมดมองการต่อสู้อยู่ในระยะไกล และก็ได้เห็นเด็กหนุ่มที่ร่อนลงสู่พื้น

 

ในขณะนี้เด็กหนุ่มที่ดูธรรมดาและเจียมเนื้อเจียมตัวนั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววความคิดฆ่าฟันนั้น ทำให้แขกและผู้หญิงในหอนางโลมนั้นกลัวจนขาสั่น

 

“อย่ารังแกคนมากเกินไปนายน้อยเมิ่ง ถ้าเจ้าคุกคามข้าจนมุม ข้าจะทำให้เจ้าตายไปพร้อมกับข้า” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับการคุกคามด้วยใบหน้าดุร้าย

 

“จะฉุดข้าไปตายด้วยกันงั้นรึ” เมิ่งชวนเข้าไปหา “โดยเจ้านะรึ”

 

“ฮึ่ม”

 

จ้าวรีบวิ่งไปที่ฝูงชนพยายามที่จะจับตัวประกัน

 

อ่านตอนล่าสุดที่ mynovel.co หรือ www.thainovel.com

 

วืด

ร่างสายฟ้าของเมิ่งชวนประทุออกมากลายร่างเป็นเทพอัสนี เขารวดเร็วกว่าจ้าวชานมาก ก่อนที่มืออสูรโลหิตจะสามารถจับตัวประกัน กระบี่ก็ฟาดฟันเข้ามาแล้ว

 

“ฉั๊วะ” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตใช้สองมือที่เหมือนพัดต่อต้าน เขาป้องกันได้อย่างสมบูรณ์แบบกับสองกระบี่ที่เมิ่งชวนฟาดฟันออกมา

 

แต่กระบี่ที่สามก็พุ่งตามมา

 

“ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าไม่สามารถที่จะพัวพันกับเขาได้ ข้าต้องพยายามหาทางหลบหนีสุดความสามารถ ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน… หากว่าข้าสามารถหนีจากเขาไปในความมืดได้ ข้าก็จะมีโอกาสที่จะหนีจากเมืองตงหนิง” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตคิดในใจ

 

“วืด”

 

กระบี่ที่สามที่ยังคงฟาดฟันมาด้วยความเร็วมากเช่นเดิม

 

ขณะที่จ้าวชาน มืออสูรโลหิตกำลังปิดสกัดการโจมตีนั้น เขาก็พบว่าแสงกระบี่เหมือนจะกลายเป็นภาพลวงตา สัญชาตญาณการต่อสู้หลายปีทำให้เขารีบหลีกหนีแสงกระบี่ลวงตานั้น มันเกือบฟันโดนคอของเขา

 

ฉับ

 

แขนข้างหนึ่งปลิวขึ้นฟ้า

 

“มือของข้า” มืออสูรโลหิต จ้าวชานตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม้ว่าจะสามารถหลบหลีกกระบี่ที่น่ากลัวนั้นได้ แต่เมิ่งชวนก็ยังคงตัดแขนข้างหนึ่งของจ้าวชานออกไป

 

“หนี หนี หนี” จ้าวชาน มืออสูรโลหิตระงับความโกรธแค้นไว้ในส่วนลึกของใจ ในช่วงเวลานี้เขาไม่ลังเลที่จะปลดปล่อยวิชาเทพอสูรต้องห้ามออกมา ผิวกายของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที พลังปราณของเขาถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดจำกัด ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ยิ่งอยู่ในสถานะนี้นานเท่าไหร่ความเสียหายต่อร่างกายเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น สถานเบาก็คือการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นชีพจร ซึ่งต้องใชเวลาพักฟื้นเป็นเวลาอย่างน้อยถึงหนึ่งปีครึ่ง และสถานหนักจะทำให้อวัยวะภายนอก อวัยวะภายในและตันเถียนได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ซึ่งมีโอกาสที่เขาจะกลายเป็นคนพิการ

 

อย่างไรก็ตามหากเขาไม่ใช้วิชาเทพอสูรต้องห้าม แน่นอนว่าความตายเท่านั้นที่รอเขาอยู่

 

“บูม” วิชาต้องห้ามเทพอสูรปะทุออก จ้าวชาน มืออสูรโลหิตวิ่งอย่างบ้าคลั่งเข้าใส่กำแพงที่ใกล้ที่สุด ตามเส้นทางที่พุ่งผ่าน โต๊ะและเก้าอี้ตามทางเดินแตกสลายเป็นเส้นทาง ผนังไม้หนาถูกกระแทกกลายเป็นรูขนาดใหญ่ เขารีบพุ่งตัวผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เพื่อความอยู่รอดเขาไม่มีเวลาที่จะผ่านประตูหรือหน้าต่าง เขาต้องพุ่งชนกำแพงหนีไป

 

“ฮึ่ม” โดยปราศจากรอยเลือดบนร่างแม้แต่น้อย เมิ่งชวนที่ถือกระบี่ไว้ในมือพลันเปลี่ยนเป็นพร่ามัว ขณะที่เขาไล่ตามจ้าวชานผ่านช่องแตกขนาดใหญ่นั้น

 

ลูกค้าหลายคนในหอเมฆาครามพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก บางคนมองไปข้างนอกหน้าต่าง บางคนจ้องมองไปยังแขนที่สวมถุงมือสีดำบนพื้นด้วยความประหลาดใจ

 

“คนที่ถูกไล่ล่าก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งในระดับไร้ตำหนิ”

 

“ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็ยังด้อยกว่านายน้อยเมิ่งชวน”

 

“นายน้อยเมิ่งมาจากตระกูลเทพอสูร เป็นเรื่องปกติที่รากฐานเทพอสูรของเขาแข็งแกร่งกว่ามาก นอกจากนี้วิชากระบี่ของนายน้อยเมิ่งนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก”

 

“ว่าไปแล้ว…วิชากระบี่ของนายน้อยเมิ่งอาจถึงจุดสูงสุดของขั้น “หนึ่งเดียว” แล้ว ในอีกปีหรือสองปีมีโอกาสที่เขาจะเข้าใจถึง “พลัง” ระดับไร้ตำหนิธรรมดาจะเปรียบเทียบกับเขาได้อย่างไร” ในขณะที่แขกพูดคุยกัน บางคนก็เข้าไปที่แขนที่ถูกตัดอย่างกล้าหาญ และถอดถุงมือสีดำออกอย่างระมัดระวัง และพวกเขาก็เห็นฝ่ามือสีแดงเลือดที่ใหญ่กว่าคนธรรมดาถึงสองเท่า

 

“มืออสูรโลหิตอย่างงั้นรึ”

 

“ใครกันที่ฝึกวิชาการต่อสู้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นมืออสูรโลหิตจ้าวชานงั้นรึ”

 

“มืออสูรโลหิตจ้าวชาน เป็นหัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต เขาเป็นจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ แต่ถึงกระนั้นเขากลับถูกนายน้อยเมิ่งชวนไล่ตาม วิชากระบี่ของนายน้อยเมิ่งช่างน่าเกรงขามอย่างแท้จริง เขาอาจจะเข้าใจ “พลังกระบี่” ได้ในอีกปีหรือสองปีข้างหน้าแน่”

 

“จอมยุทธระดับไร้ตำหนิธรรมดาเช่นนี้จะเปรียบเทียบกับอัจฉริยะอย่างนายน้อยเมิ่งได้อย่างไร”

 

มีการถกเถียงกันวุ่นวายในหอนางโลม มีผู้กล้าจำนวนไม่น้อยที่ออกไปไล่ตามทั้งคู่ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เร็วเท่าเมิ่งชวนหรือจ้าวชานผู้ใช้วิชาต้องห้าม

 

“ข้าเผยตัวออกไปได้อย่างไร วิชาการปลอมตัวของน้องสิบเอ็ดนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีใครสามารถมองผ่านข้าได้ หรือว่ามันอาจจะเป็นเจ้าโง่นั่นหลุดคำพูดออกไปให้กับพวกสาวๆในหอนางโลมนั่น” จ้าวชานเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความวิตกกังวล ขณะที่พยายามวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

เมิ่งชวนวิ่งไล่ตามเขามาด้านหลัง

 

หลังจากไล่ตามไปหนึ่งลี้ พื้นที่รอบข้างก็เงียบสงบลง

 

“วูบ” ความเร็วของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

นี่เป็นเรื่องตลกอะไรกัน

 

เพราะว่าเมิ่งชวนฝึกฝนร่างเทพอัสนี เขาสามารถระเบิดความเร็วได้มากกว่าจ้าวชานเป็นอย่างมาก ต่อให้จ้าวชานใช้วิชาเทพอสูรต้องห้ามก็ยังคงด้อยกว่า เพราะว่ามีหลายคนเฝ้าดูที่หอเมฆาคราม ดังนั้นเมิ่งชวนจึงใช้พละกำลังเพียง 30% ทำให้เขาดูแข็งแกร่งกว่าจ้าวชานเล็กน้อย และเขาก็ใช้กำลังที่ 50% ตอนที่ตัดแขนของจ้าวชานออก นั่นเป็นเพราะว่าย่าทวดได้สั่งให้เขารอจนถึงปีหน้าในการเปิดเผยว่าเขาเข้าใจถึง “พลัง” แล้ว

 

ต่อหน้าคนอื่นเขาต้องทำตัวเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว

 

“อะไรกัน” ทันทีที่พบว่าความเร็วของเมิ่งชวนเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน จ้าวชานก็ถูกกดดันจนบ้าคลั่ง “เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”

 

เมิ่งชวนที่พุ่งตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วนั้น กลายเป็นภาพพร่ามัว แม้แต่ระดับไร้ตำหนิอย่างจ้าวชานก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีลำแสงกระบี่กำลังพุ่งเข้ามาหา ดังนั้นเขาจึงยกมือซ้ายขึ้นเพื่อสกัดกั้นมันไว้

 

ลำแสงกระบี่พลันเปลี่ยนทิศทาง

 

มันน่ากลัวถึงที่สุด

 

ลำแสงวาดผ่านขาข้างหนึ่งของเขา และขาก็กระเด็นไป

 

ในกรณีที่ไม่ใช้ “พลังกระบี่” เมิ่งชวนสามารถใช้กำลังได้เพียง 50% การโจมตีครั้งนี้มีความแข็งแกร่งเพียง 50% แต่ถึงกระนั้น เขาก็ได้นำเอา “พลังแห่งวิญญาณ” เข้ามาร่วมด้วย ทำให้ลำแสงกระบี่เพิ่มความเร็วขึ้นอีก 30% ขณะที่มันเข้าใกล้จ้าวชาน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จ้าวชานสูญเสียขาแม้จะใช้วิชาเทพอสูรต้องห้ามก็ตาม

 

จ้าวชานล้มลงกับพื้น เขาสูญเสียแขนและขาไปแล้ว เขาเผยให้เห็นถึงความสิ้นหวัง ความสามารถในการควบคุมร่างกายในฐานะจอมยุทธระดับไร้ตำหนิ ทำให้เลือดไหลออกจากขาและแขนขาดช้าลง

 

“นายน้อยเมิ่ง ข้าไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าเลย เจ้าไม่จำเป็นต้องฆ่าข้า” จ้าวชานกล่าวออกมาทันที ไม่มีทางที่เขาจะหลบหนีไปได้โดยที่ขาขาดไปข้างหนึ่ง เขายังสูญเสียแขนไปด้วย การฆ่าเขานั้นง่ายเหลือเกิน

 

อย่างไรก็ตามจ้าวชานยังมีชีวิตอยู่

 

เขาเป็นจอมยุทธในระดับไร้ตำหนิ ถึงแม้ว่าเขาจะสูญเสียแขนและขาไป แต่เขาก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ

 

“หือ เจ้าไม่ได้คร่าชีวิตผู้คนกว่าสามร้อยชีวิต ทั้งที่เจ้าไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกเขาอย่างงั้นรึ” เมิ่งชวนเดินเข้าไปหาจ้าวชาน

 

“ข้ามีเงินและสมบัติ” จ้าวชานหยิบตั๋วเงินหนาๆปึกใหญ่ออกมาทันทีด้วยมือซ้าย “ที่นี่มีเงินมูลค่าเกือบ 40,000 หยวน และนี่ก็คือสมบัติล้ำค่า”

 

จ้าวชานหยิบชิ้นส่วนโลหะสีดำที่ห่อด้วยผ้าออกมา “สมบัติเทพอสูรนี้มีมูลค่าถึง 100,000 หยวน”

 

เขาไม่ได้บอกว่า โจรเมฆาโลหิตพยายามขายมันในราคา 100,000 หยวนแต่ไม่มีผู้ซื้อ

 

“ของพวกนี้จะเป็นของเจ้าทั้งหมด นายน้อยเมิ่ง” จ้าวชานกล่าวทันที “ทันทีที่เจ้าไว้ชีวิตสุนัขของข้า”

 

“ใช้ของที่เจ้ามีแลกกับความเมตตางั้นรึ” เมิ่งชวนเดินต่อไป

 

“ข้าเป็นหัวหน้าคนที่สองของกลุ่มโจรเมฆาโลหิต ข้ารู้ที่ตั้งของขุมทรัพย์ของพวกมัน” จ้าวชานกล่าวทันที “หากว่าเจ้ายอมปล่อยข้าไป ข้าจะบอกให้แก่เจ้า”

 

“ฉับ”

 

ลำแสงกระบี่วาบวับ

 

เมิ่งชวนที่เดินเข้ามาใกล้ หลมรวมเข้ากับ “พลังแห่งวิญญาณ” และตัดคอของจ้าวชานออกอย่างง่ายดาย

 

“เจ้า เจ้า…” ดวงตาของจ้าวชานเบิกกว้าง ทำไมถึงไม่ให้โอกาสเขามีชีวิตอยู่

 

“สมบัติของโจรอย่างพวกเจ้านั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของข้า” เมิ่งชวนพูดอย่างใจเย็นขณะที่เขาเฝ้าดูจ้าวชานตาย

 

กลุ่มโจรเมฆาเลือดนั้นแข็งแกร่ง โดยมีโจรแปดคนในระดับไร้ตำหนิ และหัวหน้าที่เข้าถึง “พลัง” ในหมู่โจรนั้น อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของหัวหน้าคนนั้นก็ไม่สามารถที่จะเทียบได้กับเมิ่งชวน ทรัพย์สมบัติของโจรจะมีค่าเทียบกับตระกูลเมิ่งได้อย่างไร เมิ่งชวนจึงไม่ได้ใส่ใจ สมบัติล้ำค่าที่เขาใช้ในการสร้างรากฐานเทพอสูรนั้น มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดของโจรเมฆาโลหิตไม่รู้กี่เท่า

 

เมิ่งชวนเอื้อมมือไปหยิบตั๋วเงินและมองไปยังชิ้นส่วนโลหะสีดำที่โผล่ออกมาจากผ้าฝ้าย “สมบัติเทพอสูรงั้นรึ ดูเหมือนว่าจะเสียหายมาก” เขาไม่คิดอะไรมากและปล่อยมันไว้ชั่วขณะ

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset