ภาพเทพอสูรบรรพกาล – ตอนที่ 116

ตอนที่ 116 20 สิงหาคม (บทสุดท้ายของภาค)

 

เจ้าเขาหยวนชู ผู้อาวุโสอี่ และหลิวชีเยว่มองไปที่ปากถ้ำ ในที่สุดพวกเขาก็เห็นเมิ่งชวนเดินออกมา แต่ว่าพลังของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

 

“ทําได้สําเร็จล่ะ” เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่พยักหน้ายิ้มๆ

 

“อาชวน” หลิวชีเยว่รีบวิ่งเข้าไปหา เมิ่งชวนจับมือชีเยว่และยิ้ม “ตอนนี้ข้าได้เป็นเทพอสูรระดับแก่นเมฆาแล้ว และยังมีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์แบบด้วย”

 

หลิวชีเยว่ใจชื้นขึ้นมา ในตอนนี้เธอเปี่ยมไปด้วยความสุข

 

“เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งคู่ควรรีบลงจากยอดได้แล้ว” เจ้าเขาหยวนชูกล่าวยิ้มๆ “พวกเจ้าไม่ควรอยู่บนยอดเขานี้นานเกินไป”

 

” ขอรับ/เจ้าค่ะ” เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่ตอบและลงจากยอดเขาทันที

 

เจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่มองดูทั้งสองคนเดินจากไป

 

“ในที่สุดเขาหยวนชูของเราก็ได้ทําให้เกิดอัจฉริยะที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้นมาอีกคนนับตั้งแต่ขุนนางทะเลหวน” เจ้าเขาหยวนชูกล่าวอย่างโหยหา “ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องใช้อัสนีสวรรค์ถึงเก้าสายในการท้าทายความเป็นตาย เขาต้องเป็นคนที่พิเศษเป็นแน่”

 

“เมื่อครู่ข้าได้สํารวจโดยละเอียดแล้ว” ผู้อาวุโสอี่กล่าว “อัสนีสวรรค์และกระแสพลังวินาศในร่างของเขาแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”

 

“ใช่” เจ้าเขาหยวนชูพยักหน้า “ข้าเองก็รู้สึกได้เช่นกัน เขาสามารถทนต่ออัสนีสวรรค์ไปถึงเก้าสาย การที่จะมีอัสนีสวรรค์มากขนาดนั้นก็ไม่แปลก แต่กระแสพลังวินาศของเขานั้นก็มากกว่าขุนนางทะเลหวนตอนที่ได้เป็นเทพอสูรแล้วถึงห้าส่วน แปลกจริงๆ”

 

“บางทีนายเหนือคงจะรู้” ผู้อาวุโสอี่กล่าว

 

ทั้งคู่ไม่ได้เดาอะไรต่อ มีความลับมากมายในโลกใบนี้ ขนาดพวกเขาทั้งสองที่เป็นราชันเทพอสูรยังไม่มีคําตอบให้กับทุกๆเรื่องเลย อย่างเช่น พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้หลุมแห่งความพิศวง ต้องไปถึงจุดๆนั้นด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้นั้น เพราะว่าทั้งเจ้าเขาหยวนชูและผู้อาวุโสอี่ก็ไปไม่ถึงข้างใต้นั้นพวกเขาจึงไม่รู้เกี่ยวกับความลับของมัน มีหลายเรื่องที่พวกเขาไม่รู้ เมิ่งชวนเองก็ดูเหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่าง แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ควรถามหากท่านปรมาจารย์ไม่ได้บอกพวกเขา

 

ความลับมากมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเก็บซ่อนไว้โดยเหล่าปรมาจารย์ระดับสรรสร้างจากนิกายใหญ่ทั้งสาม พวกเขาต่างมีเหตุผลในการเก็บความลับของตน

 

เมิ่งชวนและหลิวชีเยว่เดินกันไปอย่างรวดเร็วอย่างมีความสุข

 

โอ๊ะ? เมิ่งชวน? เทพอสูรคนหนึ่งเห็นเมิ่งชวนจากไกลๆและรับรู้ได้ว่ากระแสพลังของเขานั้นต่างออกไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ความแตกต่างของพลังระหว่างมนุษย์กับเทพอสูรนั้นมากเกินไป เขากลายเป็นเทพอสูรแล้วอย่างนั้นรึ?

 

เมิ่งชวนเป็นเทพอสูรแล้ว?

 

เขาผ่านการท้าทายความเป็นตายและขึ้นเป็นเทพอสูรแล้วรึ?

 

ระหว่างทางกลับจากยอดเขาเป็นตายก็มีเทพอสูรของเขาหยวนชูถึงเจ็ดคนเห็นพวกเขา หลังจากที่รู้ว่าเมิ่งชวนได้กลายเป็นเทพอสูรแล้ว ข่าวก็แพร่กระจายกันอย่างรวดเร็ว

 

เมิ่งชวนกลับไปที่ถ้ำ

 

” บ่ายนี้เราจะฉลองกัน เดี๋ยวข้าจะทําอาหารให้เองเลย” หลิวชีเยว่สั่งการเหล่าคนรับใช้อย่างมีความสุข

 

“เอาล่ะ ข้าจะไปที่ลานฝึก ข้าต้องทําตัวให้ชินกับพลังของข้าในตอนนี้ก่อน” เมิ่งชวนกล่าว

 

“ได้เลย ข้าจะไปเรียกหลังจากอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว” หลิวชีเยว่โบกมือ

 

เมิ่งชวนไปที่สนามฝึก

 

“ตามบันทึกแล้ว เทพอสูรระดับยาเมฆาที่มีร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์จะแข็งแกร่งเทียบเท่าราชาอสูรระดับสอง รากฐานเทพอสูรของข้าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาถึงสามเท่า ร่างกายและพลังปราณของข้าควรจะแข็งแกร่งกว่าราชาอสูรระดับสองธรรมดา” หนังสือที่เขาอ่านได้แบ่งความแข็งแกร่งไว้โดยชัดเจน

 

“แน่นอนว่าข้าจะประมาทราชาอสูรระดับสองไม่ได้ มนุษย์มีอัจฉริยะ อสูรก็มีหัวกะทิ มีราชาอสูรระดับสองที่น่ากลัวอยู่ด้วย”

 

เมิ่งชวนส่ายหัวสะบัดความคิดไร้สาระออกไป มาดูกันว่าข้าเร็วแค่ไหนแล้ว

 

เมิ่งชวนอยากจะทดสอบความเร็วของเขามาก

 

เพียงพริบตาก็มีสายฟ้าปะทุออกมาจากเซลล์ทุกเซลล์ เขาเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าและพุ่งผ่านลานฝึกไป

 

เขาเร็วเกินไปแค่นั้นเอง!

 

ข้าเร็วจริงๆ เมิ่งชวนพุ่งออกจากลานฝึกได้ภายในการพุ่งเพียงหนึ่งครั้ง เขากระโดดขึ้นสูงถึง 30 มั้ง สูงขนาดพอๆกับเขาเล็กๆเขาหนึ่งเลย นี่เป็นแค่การกระโดดแบบเบาๆเท่านั้น หากดูดีๆแล้วทั้งร่างของเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า

 

ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าความเร็วของร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นไวกว่าร่างเทพอสูรอื่นๆทั้งหมด ความเร็วของข้าด้วยร่างอสูรตัดสายฟ้าที่สมบูรณ์ต้องสูงสุดแน่ๆถ้าเทียบเทพอสูรในระดับเดียวกัน

 

เขาวนรอบจิ้งหมิงเฟิงก่อนจะกลับไปที่ถ้ำของเขา เพียงไม่นานเขาก็เดินทางได้เกือบสอง เมิ่งชวนยังคงตกใจในความไวของเขาเมื่อกลับไปที่ลานฝึก ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความเร็วของมันจะเร็วได้เท่ากับของเทพอสูรระดับมหาสุริยัน หลังจากเป็นขุนนางเทพอสูรแล้ว ก็จะเรียกได้ว่าเร็วเป็นอันดับต้นๆของโลกเลยก็ว่าได้ ว่ากันว่าหากฝึกไปถึงขั้นท้ายๆแล้ว ความเร็วจะเทียบได้กับสายฟ้าเลยด้วยซ้ำ

 

ยิ่งเขาฝึกร่างอสูรตัดสายฟ้ามากเท่าไหร่ เขาก็เข้าใกล้ความเร็วของสายฟ้าได้มากขึ้นเท่านั้น ร่างอสูรตัดสายฟ้าที่พึ่งได้มาใหม่ของเขานั้นมีความเร็วเทียบเท่าได้กับของขุนนางเทพอสูรเลย มันช่างน่าสะพรึง

 

อย่างไรก็ตาม การฆ่าราชาอสูรขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

 

ตอนที่ข้าสู้กับราชาอสูรบึงพิษ ข้าใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตเพื่อเคลื่อนที่ได้ไวกว่ามัน แต่ว่าข้าฟันผ่านหมอกสีดําที่ปกคลุมร่างมันไปได้แค่หนึ่งฉือเท่านั้น แม้จะเป็นการโจมตีที่ผสมพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้าไป แต่มันก็ยังห่างไกลจากการฟันผ่านหมอกสีดําไปได้นัก ข้ามีเพียงความเร็วที่สูงมาก พอมาเรื่องอื่นๆ ข้าก็เทียบเท่าได้กับเทพอสูรระดับแดนอมตะธรรมดาเท่านั้น เมิ่งชวนเข้าใจในทันที

 

ร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทุกร่างเก่งกาจในแต่ละด้านที่ต่างกัน พวกมันต่างแข็งแกร่งเป็นพิเศษในสิ่งที่อยู่ในด้านนั้นๆ

 

อย่างร่างเทพกายาอมตะมีเขตแดนที่แข็งแกร่งที่สุดและพลังชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากร่างเทพอสูรระดับสูงพิเศษทั้งสิบสองร่าง! คนที่มีร่างนั้นจะสามารถงอกอวัยวะที่ขาดไปได้ในสิบนาที พวกเขาสามรถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บอย่างถูกแทงเข้าที่หัวใจได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อเขจแดนถูกปลดปล่อยออกมาก็จะเข้าถึงพวกเขาได้ยาก แต่ร่างเทพกายาอมตะนั้นไม่เก่งในด้านของการต่อสู้ระยะประชิด

 

ร่างอสูรตัดสายฟ้านั้นมีความเร็วที่เหนือชั้นมาก! แต่ว่ามันก็อ่อนแอในด้านอื่นๆ ในตอนหนีศัตรูจะเข้าจู่โจมได้ยาก และเมื่อไล่ตามศัตรูมันก็จะหลบหนีได้ยาก ส่วนการสังหารศัตรูน่ะหรือ? มันต้องโจมตีใส่หลายรอบกว่าจะเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“แต่ว่าข้าก็ยังวางใจกับความเร็วแต่อย่างเดียวไม่ได้ ไม่อย่างนั้นประวัติศาสตร์ก็จะซ้ำรอย! ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่เกาคงที่ผ่านจุดขัดเกลาที่แปดกับขุนนางทะเลหวนที่ผ่านจุดขัดเกลาที่เก้าก็ตายกันหมดอย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนเตือนใจไม่ให้ตัวเองประมาทไป

 

เกาคงถูกราชาอสูรระดับสามกว่าสามสิบตนจู่โจมพร้อมกับราชาอสูรระดับสองกว่าร้อยตนจนท้ายที่สุดเขาก็เสียชีวิต ขุนนางทะเลหวนนั้นเป็นคนที่ไวที่สุดในโลก แต่เขาก็ตายด้วยเหตุผลบางอย่างในภารกิจพิเศษ

 

มนุษย์นั้นแข็งแกร่ง แต่อสูรนั้นก็ยังกดดันมนุษย์เอาไว้ได้! ราชาอสูรมีความแข็งแกร่งของมันเอง พวกมันมีวิชาแปลกๆหลายอย่าง หากเขาประมาทอาจถึงแก่ชีวิตได้

 

เมิ่งชวนใช้วิชากระบี่ของเขาต่อไปที่ลานฝึก

 

ปกติแล้วเขาจะผสานพลังของแก่นสารแห่งจิตเข้ากับร่างกายและพลังปราณก่อนใช้วิชากระบี่

 

“ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งกว่าราชาอสูรระดับธรรมดา บึงพิษคงจะแข็งแกร่งได้ซักสามส่วนของข้าล่ะมั้ง? ตอนนั้นข้าโชคดีมากที่หนีจากบึงพิษมาได้ โชคที่ที่ข้าวิ่งเก่งและพ่อก็มาได้ทัน” เมิ่งชวนนึกถึงความแข็งแกร่งของบึงพิษและรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่ยังเหลืออยู่

 

แต่ว่าพลังของแก่นสารแห่งจิตไม่ได้เพิ่มพลังให้ข้ามากเหมือนเก่าอีกแล้ว เมิ่งชวนขมวดคิ้วพลังของแก่นสารแห่งจิตจะช่วยทําให้สามารถดึงพลังออกมาจากร่างกายได้มากกว่าเดิม และการควบคุมพลังปราณก็จะยอดเยี่ยมมากยิ่งขึ้น ผลกระทบก็มีแต่การใช้พลังมากเป็นสองเท่าก็เท่านั้น

 

“ตอนที่ข้ายังเป็นมนุษย์ พลังของแก่นสารแห่งจิตช่วยเพิ่มพลังและความเร็วให้ขาขึ้นหลายเท่าตัว แต่หลังจากกลายมาเป็นเทพอสูรระดับแก่นเมฆาแล้ว พลังของแก่นสารแห่งจิตทําได้แค่เพิ่มพลังขึ้นเป็นสองเท่าเท่านั้น และมันยังทําให้ข้าต้องใช้พลังของแก่นสารแห่งจิตมากกว่าเดิมอีกด้วย”

 

การที่มีร่างกายที่ทรงพลังเช่นนี้ก็จะทําให้แก่นสารแห่งจิตรับภาระหนักกว่าเดิม

 

“หากข้าไปถึงระดับมหาสุริยัน ข้าว่าพลังของแก่นสารแห่งจิตคงจะมีประโยชน์น้อยลงกว่านี้อย่างนั้นรึ?” เมิ่งชวนคาดเดา “เว้นเสียแต่ว่าแก่นสารแห่งจิตของข้าจะพัฒนาขึ้นไป มันก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

 

บ่ายวันนั้น เมิ่งชวนกินอาหารที่ชีเยว่เตรียมให้ด้วยตัวเอง

 

การที่ได้แบ่งปันความสุขในการขึ้นเป็นเทพอสูรนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดี อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถบอกพ่อของเขาได้ทันที

 

หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ เมิ่งชวนก็เริ่มวาดภาพ

 

ภาพวาดนี้เป็นภาพสําหรับพ่อเขา มันเป็นภาพหมึก และภาพวาดนั้นก็เรียบง่าย

 

อย่างแรกที่จะเห็นคือภาพของครอบครัวหนึ่งที่มีอยู่สามคน คนเป็นพ่อที่ดูหนุ่มยืนอยู่ข้างๆคนเป็นแม่ที่กําลังอุ้มเด็กอยู่ เด็กคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตัวเขา เพียงสะบัดพู่กันไม่กี่ครั้งก็ก่อให้เกิดภาพขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความทรงจําและความสุขในวัยเด็ก เป็นภาพวาดที่มีความสุขของครอบครัวที่มีสามคน

 

จากนั้นเขาก็วาดพ่อและลูกชายอีก พ่อได้สอนวิชากระบี่ให้เด็กน้อยคนนั้นด้วยตนเอง เด็กน้อยค่อยๆเติบใหญ่ และพ่อก็ได้ส่งเขาให้ไปร่ำเรียนที่สํานักเต๋จิงหู ในเทศกาลล่าอสูร เด็กหนุ่มคนนั้นก็มีชื่อเสียงขึ้นมา! พ่อของเขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

 

ในซากของเมืองตงหนิง เด็กหนุ่มเดินเคียงข้างไปกับพ่อของเขา บนนกยักษ์ เด็กหนุ่ม พ่อของเขา และคนอื่นๆได้ขุนนางเมฆาใต้พาไปส่งที่เมืองหยวนชู

 

พ่อบอกลาลูกชายที่กําลังจะได้อยู่บนเขาหยวนชู

 

ภาพสุดท้ายคือภาพของเด็กหนุ่มหัวโล้นที่นั่งอยู่บ่อโลหิตเทพอสูร อัสนีสวรรค์ฟาดใส่เขาในตอนที่พยายามจะท้าทายขอบเขตความเป็นตาย

 

มันเป็นภาพวาดหมึกที่เรียบง่าย ภาพวาดที่เต็มไปด้วยความสุขของเด็กๆ แต่ว่าทุกๆการตวัดของพู่กันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงพ่อ ตั้งแต่เด็ก เขาก็ไม่เคยต้องจากพ่อนานขนาดนี้มาก่อน เขาคิดถึงพ่อมากๆ! เขาอยากจะไปบอกกับพ่อด้วยตัวเอง “พ่อ ข้าได้เป็นเทพอสูรแล้วนะ!” แต่ว่าเขาก็ไม่มีทางอื่นนอกจากบอกด้วยภาพวาดนี้

 

หลังจากใช้เหวลาวาดภาพไปกว่าสองชั่วยาม เขาก็เขียนคําพูดลงไปที่ด้านขวาของภาพวาด “ในวันที่20สิงหาคม หลังจากผ่านขอบเขตความเป็นตายข้าก็ได้ขึ้นเป็นเทพอสูร ขออุทิศภาพวาดนี้ให้แก่พ่อของข้า เมิ่งต้าเจียง”

 

เมิ่งชวน

 

20 สิงหาคม

 

จบบทสุดท้ายของภาคเทพอสูร

 

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล

ภาพเทพอสูรบรรพกาล
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ภาพเทพอสูรบรรพกาล โลกนี้ถูกรุกรานโดยเหล่าปิศาจมานานนับศตวรรษ มนุษยชาติได้รวมตัวกันก่อตั้งสำนักที่เก่าแก่อย่างสำนักเขาหยวนชูขึ้นมา และจัดตั้งระบบการฝึกฝน พร้อมทั้งส่งเทพอสูรไปป้องกันประตูทางเข้าโลกต่างๆ เมิ่งชวนอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เชี่ยวชาญกระบี่ไว แม้ว่าชีวิตนี้จะได้รับมรดกอันล้ำค่า แต่ปณิธานที่อยู่ภายในใจมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือกำจัดพวกปิศาจให้สิ้นซาก! ในอดีตมารดาของเขาได้ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องเขา เรื่องนี้กลายเป็นแผลในใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนได้ เขามุ่งมั่นและทุ่มเททุกอย่างเพื่อที่จะได้เข้าสู่เขาหยวนชู และได้รับทรัพยากรกับการสั่งสอนที่ดีกว่า นอกเหนือจากการฝึกฝนแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้ก็คือการวาดรูป และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset