Chapter 103: สร้างเม็ดยา
แปดปีแล้วที่ประเทศเซี่ยเปิดรับการค้าขายจากประเทศอื่น ๆ
ลู่เหรินเจียสร้างความวุ่นวายจากการก่อการทรยศในเมืองอี้ซานฝู และยังเสาะหาความช่วยเหลือจากนักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้ชั่วร้าย และสุดท้ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปด้วยกันกับหลิวเอี๋ยน มณฑลชิงเหอ มณฑลซางฉุย และมณฑลจูชื่อนั้นประกาศตนเป็นอิสระจากอี้ซานฝูและอยู่ภายใต้คำสั่งของลู่เหรินเจีย
แน่นอนว่า ทุกอย่างนี้ไม่มีผลต่อฟางหยวน
ด้วยตระกูลโจวและตระกูลอื่น ๆ ในพื้นที่อยู่ภายใต้อำนาจของเขา สมาคมการค้าเมฆาขาวนั้นย้ายมาอยู่ที่เมืองชิงเย่ได้อย่างราบรื่น ฟางหยวนไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องจุกจิกใดเลย
เขาทิ้งหวงฝูเหรินเหอไว้ที่หุบเขาสันโดษ ให้เขาทำตัวตามสบาย ก่อนที่จะขี่อินทรีดำหางเหล็กและไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอดเขาชอุ่ม
“ฟู่… อากาศที่นี่ดีที่สุด ต่างกันมากกับอากาศที่ภายนอก…”
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเต็มไปด้วยพลังปราณ ฟางหยวนสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่รู้ตัวและดูมึนเมาไปกับพลังนั้น
“ถ้าไม่เพราะข้าต้องออกไปทำธุระที่โลกภายนอก อาศัยอยู่ที่นี่ยาว ๆ คงจะเหมือนเหล่าเทพอาศัยบนสวรรค์…”
เขาถอนหายใจและกำหมัดแน่น
ความวุ่นวายในอี้ซานฝูเมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้มีความต้องการผู้ฝึกยุทธ์เพื่อคุ้มครอง
ในด้านวิทยายุทธ์ เขาถึงจุดสูงสุดของเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กแล้ว นอกเสียจากเขาจะเปลี่ยนไปฝึกวิชายุทธ์อื่น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความหวังที่จะทะลวงด่านขึ้นเป็นอู่จง
แต่ว่า ตำราจิตของสำนักกุยหลิงและเคล็ดฝึกจิตซวนหยินล้วนลึกซึ้ง หากไม่มีอุปสรรคอย่าง 12 ประตูทอง การฝึกขึ้นมาให้ถึงระดับเดียวกับเคล็ดกรงเล็บอินทรีเหล็กนั้นก็ยากเย็นนัก
“เรื่องดีก็คือข้ามีเส้นทางอื่นให้เดิน ตามการคาดเดาของข้า การสร้าง 12 ประตูทองขึ้นมานั้นก็เพื่อปกปิดจุดด้อยของคนธรรมดาทั่วไป… ในเมื่อข้ามีพลังเวทย์สูงกว่าปกติ เส้นทางการขึ้นเป็นจ้าวแห่งฝันของข้าก็ควรจะราบรื่น!”
ถ้าเขาสามารถทะลวงด่านได้และได้รับพลังธาตุ จากนั้นเขาก็จะเป็นเพียงผู้เดียวในประเทศเซี่ยที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้สำนักกุยหลิงและสำนักอื่นได้!
“น่าเสียดาย… ข้าไม่ได้ส่งข้าวหยกเพลิงไปประเมินราคา!”
ฟางหยวนกอบเมล็ดข้าวหยกเพลิงสีแดงขึ้นมาเต็มอุ้งมือ มีรอยเสียดายในดวงตา
หลังจากกลับจากตำหนักเร้นคีรี ตอนนี้เขาก็รู้คุณค่าของข้าววิญญาณระดับแล้ว มันอาจจะมีค่ามากกว่าชาชำระจิตเสียด้วยซ้ำ
นี่เป็นเพราะชาชำระจิตมีเพียงต้นเดียว แต่ในทางกลับกัน ข้าววิญญาณสามารถปลูกได้หลายครั้งและขายทำเงินได้
ด้วยพืชมีราคาในมือ ฟางหยวนไม่กล้าที่เปิดเผยสิ่งที่เขามีออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากเห็นสถานการณ์ในอี้ซานฝู เขาไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งกับจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุและนักรบศักดิ์สิทธิ์
“เรื่องดีก็คือข้าได้เอาของวิเศษบางอย่างไปประเมินมาแล้ว และซึ้อเมล็ดพืชวิญญาณใหม่ ๆ มาอีกมาก และยังได้ผู้ช่วยใหม่อีกสองคน ข้ายังมีอิทธิพลในระดับนึง แม้ว่าจะไม่มาก…”
ฟางหยวนเดินไปดูต้นชาชำระจิตและหน่อของต้นไผ่ ชาชำระจิตเติบโตได้ดี เห็นได้เลยว่าหลังจากอีกฤดูหนึ่ง ใบชาก็สามารถเก็บเกี่ยวได้ ส่วนหน่อต้นไผ่นั้นยังเล็ก ทำให้ฟางหยวนได้แต่กลอกตา
ตามระยะเวลาการเติบโตของต้นไผ่วิญญาณแล้ว แม้ว่าเขาจะใช้ปุ๋ยสำหรับพืชวิญญาณ ก็ยังต้องร้อยปีให้หลังมันถึงจะเติบโตเต็มที่
แต่ว่า ถ้าเขาสามารถเก็บเกี่ยวลูกไผ่ได้อีกราว ๆ สิบลูก ไปแลกเปลี่ยนกับตำรายุทธ์ชนิดอื่นหรือใช้ในการควบคุมพลังโดยตรงเพื่อทะลวงสู่ระดับอู่จง น่าจะมีประโยชน์มากกว่า
“ดูเหมือนว่าข้าต้องขึ้นสู่ระดับจ้าวแห่งความฝันเพื่อให้ได้รับมรดกชิ้นต่อไปของอาจารย์…”
ฟางหยวนเดินไปที่รังของราชานกหงเอี่ยนป๋ายเพื่อตรวจสอบว่ารังนกยังอยู่ในสภาพปกติ และเหลือบมองต้นจื่อเถิงที่เติบโตอยู่ เขาพยักหน้าอย่างพอใจ
“แกว๊ก…”
ทันใดนั้น มีเสียงร้องดังออกมาจากในถ้ำทำลายความเงียบลง มันดึงฟางหยวนให้หันไปสนใจราชานกหงเอี่ยนป๋าย
แม้ว่ามันจะดูเงื่องหงอยไป แต่ดวงตาก็ยังเฉียบคมและเต็มไปด้วยความดื้อดึง ฟางหยวนรู้ว่า นอกเสียจากจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่อมมันแล้ว
“เจ้ายังดูมีแรงอยู่เลยนี่นา อืม… ข้าไม่ให้อาหารเจ้าแล้วกัน…”
แม้ว่าเจ้านกนี่จะปฏิเสธไม่ยอมกินอะไร ฟางหยวนก็ยังคงมีวิธีอื่น ก่อนหน้านี้ เขาใช้วิธีสกปรกเพื่อกดมันเอาไว้แต่ก็ต้องพูดไม่ออกเมื่อไม่เห็นว่ามันจะดุร้ายน้อยลงเลยสักนิด เขาไปที่กระท่อมฟาง เทเมล็ดพืชวิญญาณทั้งหมดที่เขาซื้อมาออกมา และเริ่มอ่านวิธีการปลูก
“ข้าวหยกดำและข้าวริ้วขจีนั้นไม่มีอะไรมาก ข้าสามารถปลูกมันลงในไร่ได้โดยตรง… ผลกระทบของพวกมันก็คล้ายกับข้าวหยกแดง และอย่างมากข้าก็แค่มีพืชใหม่มาลองปลูก!”
“ปุบผาป่นกระดูกสามารถทำลายกระดูกและเส้นเอ็นของคนได้ และอยู่ร่วมกับผลสามดาราได้เป็นอย่างดี ถ้าข้าปลูกพวกมันไว้ด้วยกัน ข้าจะเพิ่มผลผลิตได้เป็นสองเท่า!”
“หญ้าวงเดือนและบุปผากงจักรนั้นเป็นปัญหาที่สุด นอกจากต้องมีพื้นที่ปลูกเฉพาะแล้ว ยังต้องเลี้ยงด้วยเลือด!”
…
หลังจากนั้นเป็นนาน ฟางหยวนก็ปิดตำราลง หางคิ้วกระดกขึ้นนิด ๆ
เลี้ยงด้วยเลือดนั้นหมายถึงทั้งกระดูก เนื้อและเลือดของสัตว์ป่า ถ้าพืชวิญญาณทั้งสองนี้ไม่ได้รับเลือดตามต้องการ การเจริญเติบโตจะถดถอยและอาจจะไม่งอก ทำให้พืชพวกนี้ราวกับเป็นสัตว์กินเนื้อและป่าเถื่อนนัก
และพืชทั้งสองนี้ยังไม่สามารถกินหรือนำมาทำยาได้ พวกมันมีไว้เพื่อการป้องกัน
“มันคล้ายกับพืชพวกหม้อข้าวหม้อแกงลิงและกาบหอยแครง… อย่างเดียวที่ต่างกันก็คือหญ้าวงเดือนและบุปผากงจักรนั้นร้ายกาจกว่าเล็กน้อย เหยื่อของมันมีทั้งสัตว์ป่าและกระทั่งมนุษย์!”
แน่นอนว่า หญ้าวงเดือนธรรมดานั้นอย่างมากก็มีขอบคมคล้ายมี ถ้าคนธรรมดาเข้าไปสัมผัสโดน เนื้อก็อาจจะถูกเฉือนและเสียเลือดมากจนอาจจะเสียชีวิตอย่างน่ากลัว ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะผู้ที่มีระดับวิทยายุทธ์สูง ๆ พวกเขาย่อมหลบพืชพวกนี้ได้ เช่นเดียวกับบุปผากงจักร
แต่ฟางหยวนไม่ได้ตั้งใจจะให้พืชวิญญาณธรรมดาพวกนี้คอยปกป้องบ้านของเขา
เขาซื้อเมล็ดพืชพวกนี้มาผลิตเพิ่มในปริมาณมาก ๆ เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสที่พวกมันจะวิวัฒน์ไปเป็นสายพันธุ์พิเศษ หวังว่าพวกมันจะวิวัฒน์ไปเป็นพืชวิญญาณที่น่ากลัวกว่านี้ และเมื่อรวมกับหมอกสะกดที่อยู่รอบเทือกเขาดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ มันก็จะกลายเป็นเกราะป้องกันได้กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งระดับ 4 ประตูสวรรค์!
การปลูกพืชวิญญาณในปริมาณมากนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำในไร่เล็ก ๆ ที่หุบเขาสันโดษ เขาจำต้องมาปลูกไว้ที่ดินแดนศักดิ์สิทธ์ยอดเขาขจีนี้แทน ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นฟางหยวนลงมือทำด้วยตัวเอง
ขณะที่ในไร่ที่หุบเขาสันโดษ ชาวนาบางคนเริ่มมีปัญหาว่าดินนั้นสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ไปเรื่อย ๆ
ฟางหยวนยังคงไม่เปิดเผยความลับของปุ๋ยวิญญาณ ข้าวหยกแดงในฤดูถัดไปจะเก็บเกี่ยวได้น้อยลงแล้ว และในที่สุด ก็จะนำไปสู่การที่ชาวนาหลายคนแยกตัวออกไป
“นี่ก็ไม่เลวนัก… อย่างน้อยข้าก็กำจัดพวกที่ละโมบออกไปได้! มันจะมีประโยชน์มากขึ้นระหว่างสงคราม”
ฟางหยวนลูบคางและเริ่มกังวล
สงครามนั้นล้วนมีทรัพยากรมาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสงครามที่ยืดเยื้อ แต่ละฝ่ายย่อมไม่ตัดสินใจลงมือก่อนอย่างหุนหัน ไม่อย่างนั้น จะเป็นการผลาญทรัพยากรทั้งหมดที่มีไป
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ หมอ สมุนไพร และของวิเศษที่เก็บไว้ นั้นมีสงครามเป็นบททดสอบ
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่มณฑลชิงเหอถูกตราหน้าว่าเป็นหนึ่งในมณฑลทรยศในความวุ่นวายครั้งนี้ ไม่สำคัญว่าเรื่องนี้กระจายออกมาได้อย่างไร แต่มันก็กระจายออกมาแล้ว! นอกเสียจากจะคนผู้หนึ่งจะมีอิทธิพลอยู่แต่แรกแล้ว หากจะควบคุมเรื่องนี้ย่อมต้องกำจัดกลุ่มอิทธิพลอื่นที่ไม่สำคัญออกไป!”
ฟางหยวนค่อย ๆ เข้าใจอย่างช้า ๆ ขณะมองไปทางเมืองหลักของมณฑล
ถ้าเขาคาดเดาได้ถูกต้อง ในคราวต่อไปเขาคงจะสามารถเผชิญหน้ากับสืออวี้ถงได้
“ด้วยระดับการฝึกฝนปัจจุบันของข้า มันยังคงไม่เพียงพอ ข้ายังไปไม่ถึงระดับนั้น!”
เขาคิดอย่างเหม่อลอย…
…
ความวุ่นวายเกิดขึ้นที่โลกภายนอก แต่ดูเหมือนจะยังกระจายมาไม่ถึงในหุบเขาสันโดษ
หญ้ายังเขียวขจี แมลงและนกส่งเสียงขับขาน เหล่าชาวนาทำนาและคนรับใช้ซักล้างเสื้อผ้า บรรยากาศโดยรอบสงบสุข
โดยไม่ทันรู้ตัว หลายวันก็ผ่านไป
ในบ้านเล็ก ฟางหยวนในชุดธรรมดานั่งอยู่กับหวงฝูเหรินเหอ พวกเขาทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่เตาถ่านตรงหน้า
“ทักษะของการเล่นแร่แปรธาตุล้วนเกี่ยวพันกัน ศิลปะของการจุดไฟนั้นลึกซึ้งมาก และคนธรรมดาก็อาจจะไม่สามารถทำความเข้าใจได้ไปตลอดชีวิต…”
หวงฝูเหรินเหออธิบาย และในเวลาเดียวกันก็เติมถ่านสลักรูปสัตว์เข้าไปใต้เตาถ่าน
นี่เป็นของแพงที่โจวเหวินอู่หาซื้อมาด้วยตัวเอง มันมีกลิ่นไหม้เพียงเล็กน้อยและทุก ๆ ก้อนล้วนได้รับการสลักเป็นรูปสัตว์อย่างอันละเอียดอ่อน พวกมันมีราคาแพงมากและขายเป็นชิ้น
แต่ว่า หวงฝูเหรินเหอทำราวกับมันเป็นเพียงขยะและไม่แม้กระทั่งจะกะพริบตาขณะโยนเข้าไปในกองไฟ
“ฟู่! ฟู่!”
เปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้น เปลวไฟสีน้ำเงินไล้เลียเตาเผา กลิ่นฉุนแรงลอยเต็มอากาศ
“จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุจะใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์ในการสร้างยาเม็ดของตน ข้ามันไร้ความสามารถและทำได้เพียงใช้ไฟธรรมดาแทนซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยกว่าและยังแตกต่างกันมากมาย…”
หวงฝูเหรินเหอหน้าแดง และจับเวลาที่เหมาะสมก่อนจะยกหม้อขึ้น “เสร็จแล้ว!”
ควันขาวลอยขึ้นฟ้า และขณะที่ฟางหยวนเรียกพลังของเขาขึ้นมารวมไว้ที่ดวงตา เขาก็มองเห็นน้ำยาแอ่งเล็ก ๆ ที่ก้นหม้อ
ใบหน้าของหวงฝูเหรินเหอเปลี่ยนเป็นสีแดง และจรดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า เขาเริ่มกระบวนการสกัด กรอง และทำระเหย— นี่ไม่ใช่วิธีที่จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุเรียกมัน แต่สำหรับฟางหยวน นี่คือสิ่งที่เขาเห็น
หลังจากยาที่กรองแล้วระเหยแห้งเหลือแต่เกล็ดใส สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของหวงฝูเหรินเหอก็คือผงสีเหลืองที่มีกลิ่นหอมและดูน่ากินกองหนึ่ง
“นี่คือผงแทนธัญญาหาร สามารถกินลงไปได้โดยตรง และหลังจากกินแล้ว ก็จะไม่รู้สึกหิวไปสามวัน แต่ว่ามันมีผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นของดี…”
หวงฝูเหรินเหอส่งผงยาให้ฟางหยวน แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “ด้วยความสามารถของข้า ข้าอาจจะสามารถสร้างยาเม็ดเติมปรานได้ แต่ลืมเรื่องยาเม็ดหุบผาราชันย์ไปได้เลย…”
“จ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ?”
ฟางหยวนคิดถึงชาชำระจิตแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา “อย่าเพิ่งรีบยอมแพ้เร็วนัก ต่อไปเจ้าอาจจะทำได้ก็ได้!
รูปแบบของยานั้นมีด้วยกันสามแบบ คือ ผง เกล็ด และเม็ด และประสิทธิภาพทางยาก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ และยังเป็นวิถีที่นักปรุงยาและจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุพิสูจน์ความสามารถของตน
ใช้ส่วนผสมแบบเดียวกันทำยา ผงแทนธัญญาหารที่สามารถอยู่ได้นานสามวันแต่ว่ามีผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร ทว่า ยาเม็ดเติมปราณนั้นสามารถอยู่ได้ถึงเจ็ดวัน ขณะที่ยาเม็ดหุบผาราชันย์นั้นถูกใช้เป็นแหล่งอาหารสำหรับผู้ฝึกตนระดับสูงที่วางแผนจะกักตนฝึกวิชาเป็นระยะเวลานาน การกินเข้าไปนาน ๆ นั้นสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้จอมยุทธ์บางคนเลิกกินอาหารและมากินยาเม็ดวิญญาณแทนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพื้นฐานของตน
แต่สำหรับหวงฝูเหรินเหอ เขาเพียงสามารถสร้างยาเม็ดเติมปราณได้จากผงแทนธัญญาหาร นี่เป็นเพราะเขาไม่มีไฟศักดิ์สิทธิ์และดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าถึงระดับจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุได้
“ท่านพูดถึงการฝึกวิทยายุทธ์? ข้าทำไม่ได้หรอก!”
หวงฝูเหรินเหอหัวเราะ “ข้าพยายามเดินเข้าวิถีทางนั้นมาแล้ว แต่ข้าไม่มีความสามารถด้านนั้นและต่อให้ฝึกไปทั้งชีวิตก็ไม่สามารถใช้กำลังภายในได้”
เขาเงียบไป กัดฟันแน่น และตัดสินใจอีกครั้ง “นายท่านช่วยชีวิตข้ากับหลานรั่วเอาไว้ และยังพาพวกเรามาด้วย ข้าไม่มีสิ่งใดให้ปิดบัง ในการเล่นแร่แปรธาตุ นอกเสียจากสามารถควบคุมไฟได้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเข้าใจคุณสมบัติของทุก ๆ ส่วนประกอบและมีความสามารถในการประเมินในระดับสูง.. ข้ามันไร้ความสามารถ และคงประสบความสำเร็จในด้านนี้ไม่มากนัก แต่ข้ามีของจะมอบให้ท่าน นายท่าน!”
ขณะที่เขาพูด เขาก็คลายเข็มขัดที่เอวออก ดึงบางอย่างที่ติดไว้ด้านในออกมา และส่งมันให้ฟางหยวน
“นี่มัน..หยก?!”
ฟางหยวนประหลาดใจและยินดีในเวลาเดียวกัน เขารู้ว่าคนผู้นี้นั้นเชื่อถือในตัวเขาอย่างที่สุดแล้ว
“นี่เป็นเพียงหยกชิ้นหนึ่งจริง ๆ นั่นแหละ… ข้าได้มาจากอาจารย์ของข้า… ข้านำมันมาจากเขา แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถอ่านเนื้อหาด้านในได้…”
หวงฝูเหรินเหอหน้าขึ้นสีขณะอธิบาย