Chapter 110: ลักพาตัว
เมืองชิงเย่
ป้อมปราการต่างออกไปโดยสิ้นเชิง กำแพงนั้นมีทหารขึ้นประจำการเต็มที่ หน้าไม้ขนาดยักษ์ถูกติดตั้งและใส่ลูกดอกไว้พร้อมหันไปทางประตูใหญ่ หัวลูกศรมีตะขอเหล็กติดอยู่ดูราวกับจะพรมลงมาได้ทุกเมื่อ
ระหว่างช่วงสงครามเช่นนี้ ไม่เพียงแค่เจ้าเมืองที่ถูกเปลี่ยน แม้แต่ทหารยามก็ล้วนแทนด้วยกองกำลังจากสำนักกุยหลิง
ที่นี่ ทหารทุกคนล้วนแต่มาจากสำนักกุยหลิง แม้ว่าจะไม่ได้เก่งกาจจนโอ้อวดได้อย่างอี้ซานฝูที่มีนายทหารยศต่ำสุดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูทองที่ 4 แต่ทหารยศต่ำสุดที่นี่ก็อยู่ที่ประตูทองที่ 3 แข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับคนธรรมดาที่ไม่มีพื้นฐานวิทยายุทธ์ได้อย่างง่ายดาย
กุบกับ!
ภายใต้พระอาทิตย์ยามเย็นสีแดง กลุ่มม้ากลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ขอบฟ้า พวกเขาตะโกนและควบม้าตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“หยุด… กองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่ก้าวเข้ามาในระยะ 30 หลาจากกำแพงเมืองจะถูกสังหารโดยทันที!”
ทหารจากสำนักกุยหลิงตื่นตัวและกระวนกระวายขึ้นทันทีขณะที่เล็งหน้าไม้ไปทางกลุ่มม้า
“นี่เป็นผู้อาวุโสจากสำนักกุยหลิง! พวกเรามีใบผ่านทาง!”
จากตรงกลางกลุ่มม้า ธงผืนหนึ่งยกสูง เป็นตัวอักษรสำนักกุยหลิง หนึ่งในผู้ขี่ม้ายกป้ายผ่านทางเหล็กขึ้นมาและควบตรงมาที่ตีนกำแพง แต่ยังอยู่นอกรัศมี 30 หลาจากกำแพงและตะโกน
“ฝุบ!”
ศิษย์จากสำนักกุยหลิงใช้วิชาตัวเบากระโดดลงจากกำแพง เขามองป้ายและหันกลับ
ไม่นาน ประตูก็เปิดออก และผู้อาวุโสฮั่นก็ออกมาเชิญแขกด้วยตัวเอง “ผู้อาวุโสเปี้ยน! ท่านเจ้าสำนักแจ้งข้าแล้วก่อนหน้านี้ แต่ข้าไม่คิดว่าท่านจะมาถึงเร็วเช่นนี้!”
“เจ้าเมืองหงเฟิงเป็นเจ้าคนขี้ขลาดไร้หลักยืน! ทั้งหมดที่พวกเราทำก็คือกำจัดไม่กี่ตระกูลเพื่อให้พวกมันยอมจำนน… เหอเหอ ข้าเองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน!”
ผู้อาวุโสเปี้ยนหัวเราะเบา ๆ ดูน่ากลัวกว่าผู้อื่นรอบตัวเขา
เพียงอายุประมาณ 30 ปี ผมทั้งซ้ายขวาของเขาก็เป็นสีเทา ผู้อาวุโสเปี้ยนดูแก่ประสบการณ์และเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจ ทักษะวิชายุทธ์ของเขานั้นสูงส่ง สามารถเทียบได้กับผู้อาวุโสฮั่น
“มา เข้ามาข้างในเถิดน้องเปี้ยน!”
ผู้อาวุโสฮั่นประสานหมัดเป็นทีทำความเคารพและยิ้มพร้อมบอก “เมืองชิงเย่ต่างไปจากที่อื่น สถานการณ์ที่นี่… ค่อนข้างจำเพาะ!”
เปี้ยนเซี่ยนั้นเป็นที่รู้จักว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์โดดเดี่ยวในมณฑลชิงเหอ เล่ากันว่าเขาเป็นนักปล้นสุสานมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตอนที่เขายังเยาว์ได้มีโอกาสเข้าไปในสุสานใหญ่แห่งหนึ่งและพบตำราวิชายุทธ์หายากมากมายถูกฝังเอาไว้กับศพ ตั้งแต่นั้น เขาก็ฝึกวิทยายุทธ์ถึงระดับประตูตี่ และมีความกระหายที่จะทะลวงด่านอู่จงและสร้างสำนักของตนขึ้นมา
จนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสืออวี้ถงให้สัญญาอะไรกับเขาแลกเปลี่ยนกับการที่เขาสวามิภักดิ์กับสำนักกุยหลิง
ผู้อาวุโสฮั่นเดาว่าสืออวี้ถงตั้งใจจะให้เปี้ยนเซี่ยมาแทนตำแหน่งของท่านหญิงเอี๋ยนที่ถูกลักพาตัวไปเป็นเวลานานแล้ว ไม่มีข่าวคราวมาจนถึงตอนนี้ การจะรอดกลับมาได้นั้นต่ำมาก
“เหอเหอ… ข้ารู้อยู่แล้ว เรื่องหมอชื่อดังแห่งหุบเขาสันโดษ…”
เปี่ยนเซี่ยระเบิดหัวเราะไม่ไยดีออกมาและเดินเคียงผู้อาวุโสฮั่นไปที่ตำหนักเจ้าเมือง
แม้ว่าเจ้าเมืองคนใหม่ที่ได้รับแต่งตั้งนั้นจะมีความสามารถในด้านการจัดการอย่างเหลือเชื่อ แต่เขาก็ไม่มีวิทยายุทธ์ เมื่อเห็นผู้อาวุโสที่เก่งกาจและมีอิทธิพลจากสำนักมาถึง เขาก็จัดงานเลี้ยงต้อนรับซึ่งได้เตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว
หลังจากอาหารถูกยกมา ผู้อาวุโสฮั่นก็เริ่มพูดคุยเรื่องงาน เขาโบกมือเป็นทีบอกให้คนรับใช้ออกไป ปล่อยเขาและผู้อาวุโสเปี้ยนเอาไว้ลำพัง
“ผู้อาวุโสเปี้ยน การมาถึงของท่านนั้นได้เวลาเหมาะสมนัก!”
ผู้อาวุโสฮั่นจิบเหล้าเข้าไปอึกใหญ่ ขณะใบหน้าเริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย เขาก็รายงาน “ฟางหยวนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจผู้หนึ่ง เขาน่าจะอยู่ที่ระดับ 4 ประตูสวรรค์ เขายังมีสัตว์วิญญาณ ในเมืองชิงเย่ ข้าเป็นผู้เดียวที่มั่นใจว่าสามารถลอบเข้าไปสังเกตการณ์ในหุบเขาสันโดษได้โดยไม่ถูกพบตัว…”
“ยากถึงเพียงนั้น?”
เปี้ยนเซี่ยขมวดคิ้วเต็มไปด้วยความริษยาที่ไม่ได้พูดออกมา
เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตนริษยาฟางหยวนที่มีพรสวรรค์จนขึ้นมาถึงระดับ 4 ประตูสวรรค์ได้ทั้งที่อายุน้อยเพียงนี้ หรือว่าริษยาชะตาชีวิตดีงามของฟางหยวนที่ได้สัตว์วิญญาณมาเป็นคู่หู หรือบางทีเขาอาจจะริษยาทั้งหมดนี้
ผู้อาวุโสฮั่นยกจอกเหล้าขึ้น มีรอยยิ้มกระอักกระอ่วนอยู่บนหน้าขณะพูด “ข้าไม่ได้กลัวว่าเขาจะทำอะไร เพียงแต่ข้าติดหนี้บุญคุณเขาอยู่…”
“ผู้อาวุโสฮั่นไม่ต้องวิตกไป ให้ข้าจัดการเรื่องนี้เอง!”
เปี้ยนเซี่ยได้ยินเรื่องที่ฟางหยวนเป็นผู้รักษาผู้อาวุโสฮั่นมาก่อนแล้ว เขายังระแวงความสัมพันธ์อันไม่ชัดเจนระหว่างฟางหยวนและศิษย์รักของเจ้าสำนักด้วย
เขาโทษตัวเองกับการที่ผู้อาวุโสฮั่นไม่ต้องการลงมือและให้เขาเป็นผู้ลงมือ และยังโทษความโชคไม่ดีของตัวเองที่เพิ่งเข้าร่วมกับสำนักเมื่อไม่นานมากนี้ด้วย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากทำภารกิจนี้ให้สำเร็จไม่ว่าจะไม่ยินดีและไม่ยินยอมจะทำเพียงใดก็ตาม
‘เจ้าสำนักทั้งสองนั้นทำสัญญาพันธมิตรเกือบเสร็จสิ้นแล้วและกลับมาในอีกไม่นาน เมื่อนางกลับมา ให้นางเป็นผู้ตัดสินใจจะดีที่สุด!”
เปี้ยนเซี่ยนั้นวุ่นวายใจมากแต่ภายนอกดูผ่อนคลาย กินดื่มกับเพื่อนร่วมสำนักอย่างกระตือรือร้น
“กิกี๊…”
จากที่ใดไม่รู้ มีเสียงแหลมสูงตัดผ่านอากาศมา ทำให้เปี้ยนเซี่ยและผู้อาวุโสฮั่นตื่นตัวขึ้นมาทันที
“ใครมันกล้าเอะอะโวยวายเช่นนี้ ต้องการหาเรื่องใช่หรือไม่?”
ผู้อาวุโสฮั่นหันไปทางที่มาของเสียงและตัวแข็งทื่อไปด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งผลักเปิดประตูและเดินเข้ามาอย่างสบายอกสบายใจ คือฟางหยวน
“โอ้? ดูเหมือนพวกท่านจะมีงานเลี้ยงกัน? ข้าหวังว่าท่านจะไม่ว่าที่ข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ?”
ฟางหยวนเดินเข้าไปโดยไม่สนใจเปี้ยนเซี่ยและพูดกับผู้อาวุโสฮั่นโดยตรง
“ฮ่าฮ่า… เหตุใดพวกเราจะทำเช่นนั้นเล่า?”
ผู้อาวุโสฮั่นหัวเราะฝืน เพราะอะไรสักอย่าง ฝ่ามือของเขาเริ่มมีเหงื่อซึม
เมืองชิงเย่นั้นอยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยสูงสุดของสำนักกุยหลิง นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางของเมือง และมันมีการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุดเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด! เหตุใดฟางหยวนจึงเล็ดลอดผ่านยามและคนคุ้มกันเหล่านั้นเข้ามาได้?
แน่นอนว่า จุดมุ่งหมายของการมาครั้งนี้ของฟางหยวนนั้นสำคัญที่สุด เขาดูจะไม่ได้มาที่นี่อย่างสันติ
“นี่…”
เปี้ยนเซี่ยไม่เคยพบฟางหยวนมาก่อน จากท่าทางของฟางหยวนแล้ว เขาคิดว่าฟางหยวนเป็นเจ้าหน้าที่สำคัญในเมืองและเปี้ยนเซี่ยก็มองไปทางผู้อาวุโสฮั่น
“ผู้อาวุโสเปี้ยน ให้ข้าแนะนำท่าน นี่คือหมอเทวดาแห่งหุบเขาสันโดษ ฟางหยวน…”
ผู้อาวุโสฮั่นหัวเราะฝืน ๆ ขณะกล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
“อ้อ เป็นเจ้า!?”
เปี้ยนเซี่ยเบิ่งตากว้าง เขาเพิ่มพูดคุยเรื่องการจัดการกับฟางหยวนกับผู้อาวุโสฮั่นไป ตอนนี้ผู้อื่นที่พวกเขาพูดถึงกลับปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า สถานการณ์นั้นตึงเครียดและกระอักกระอ่วนเป็นที่สุด
ที่สำคัญที่สุด ฟางหยวนได้ยินที่พวกเขาคุยกันไปมากเท่าใด?
“ข้าจำได้ว่าเส้นตายที่พวกเรามอบให้ท่านคือ 5 วัน ท่านมาที่นี่เพราะว่าท่านตัดสินใจได้แล้วงั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสฮั่นสงบใจลง มองไปที่เปี้ยนเซี่ยที่ด้านข้าง เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้นและพูด
“ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางหยวนกว้างขึ้นขณะที่พูดอย่างยินดี “นอกจากนี้ ข้ายังโชคดีมากนักวันนี้ เดิมที่ข้าวางแผนมาจับหนูทดลอง ข้าไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะใจดีส่ง…”
“เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
แม้จะไม่รู้ว่าฟางหยวนหมายถึงอะไรที่เรียกพวกเขาเป็นตัวทดลอง แต่จากพฤติกรรมของเขาแล้ว เขาย่อมไม่ได้มาที่นี่อย่างสันติและพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้
“โพล๊ะ!”
ชามแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับพันชิ้นเมื่อมันตกลงพื้น เสียงแหลมดังก้องและกรีดผ่านความเงียบ
แต่ว่า ไม่มีการตอบสนองจากรอบ ๆ มันเงียบสนิท
เมื่อเห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสฮั่นแลกเปลี่ยนสายตากับเปี้ยนเซี่ยและพบว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง ทั้งคู่เริ่มมีเหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา
“เป็นอย่างไร? คงจะไม่พอใจมากใช่หรือไม่?”
ฟางหยวนหัวเราะ “ท่านคิดจะใช้การทุบชามแตกเป็นสัญญาณให้ทหารสามร้อยคนปรากฏตัวขึ้นมาแล้วเอาชนะข้า? ไร้ประโยชน์… ข้าจัดการปิดกั้นพื้นที่นี้ไว้แล้ว ถ้าเสียงจากภายในบริเวณสามารถดังออกไกลกว่า 30 หลา ข้าคงประหลาดใจ!”
“ปิดกั้น?”
ผู้อาวุโสฮั่นลุกขึ้นช้า ๆ เขารู้ว่าการต่อสู้กับฟางหยวนนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว เขาถอดชุดคลุมชั้นนอกและเผยให้เห็นเกราะอ่อนสีทอง กำหมัดเป็นท่าประหลาดขณะพูด “ชี้แนะด้วย ท่านหมอเทวดา!”
“อย่าทำให้ข้าเสียเวลา ข้าไม่อยากเล่มเกมเล็กเกมน้อยเช่นนี้กับเจ้า!”
ฟางหยวนส่ายหน้าและพูด “ถ้าเจ้ายอมแพ้ ข้าจะให้เจ้าตายอย่างไร้ความเจ็บปวด!”
“ช่างวางโตนัก!”
เปี้ยนเซี่ยตะโกนออกมาและใช้ท่าเท้าอันประหลาดเข้าถึงตัวฟางหยวนภายในพริบตาเดียว เขาเหวี่ยงหมัดออกมาและมีเสียงคำรามดังลั่นของพยัคฆ์ผู้อหังการ์ มันพุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าฟางหยวน
ตำราที่เปี้ยนเซี่ยได้มาจากสุสานนั้นแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกนั้นเป็นเคล็ดสัตว์ป่า 12 กระบวนท่าที่ร้ายกาจอย่างไม่น่าเชื่อ อีกส่วนนั้นเป็นเคล็ดกระดูกเหล็กที่ช่วยเสริมความแน่นหนาให้กับโครงสร้างภายในของผู้ฝึก และส่วนสุดท้ายนั้นเป็นวิชาตัวเบา เคล็ดย่างก้าวไม่หวนกลับ ด้วยการผสานเคล็ดวิชาเหล่านี้ พวกมันก็ไม่ด้อยไปกว่าตำราฝึกจิตของสำนักกุยหลิงและตำราฝึกจิตซวนหยิน และยังมีชื่อเสียงอย่างไม่น่าเชื่อในมณฑลชิงเหอ
เปี้ยนเซี่ยจู่โจมใส่ฟางหยวนด้วยกำลังทั้งหมด
“หมัดสัตว์ร้าย? ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมา…”
ฟางหยวนส่งกรงเล็บขวาใส่เปี้ยนเซี่ยด้วยท่าทางง่าย ๆ กระบวนท่าของฟางหยวนดูเรียบง่ายแต่อันที่จริงแล้วแฝงพลังหนักหน่วงและยังไร้จุดบอด
“ควับ!”
เมื่อกรงเล็บของฟางหยวนกระทบกับหมัดของเปี้ยนเซี่ย เปี้ยนเซี่ยก็ร้องออกมาอย่างน่ากลัวและรีบถอยอย่างรวดเร็ว เก็บมือขวาของเขาที่บิดเป็นมุมประหลาดไว้ด้านหลัง
เปลือกตาของผู้อาวุโสฮั่นกระตุกอย่างรวดเร็ว
จากที่เขาเห็น เขาเห็นเลือดไหลทะลักลงมาตามแขนของเปี้ยนเซี่ย เปี้ยนเซี่ยแพ้ภายในกระบวนท่าเดียว!
“ประตูเทียน!”
ผู้อาวุโสฮั่นตะกุกตะกักออกมา
“บีบให้เปี้ยนเซี่ยมีสภาพเช่นนี้ได้ ไม่เพียงฟางหยวนจะอยู่ที่ประตูทองที่ 12 เขาน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของระดับนี้ เขายังอยู่ไม่ไกลจากระดับอู่จงแล้ว!”
นึกถึงเคล็ดวิชาของศัตรูแล้ว หัวใจของเปี้ยนเซี่ยก็แข็งค้าง
เคล็ดกรงเล็บดูสามัญยิ่ง แต่มันกลับช่างน่ากลัวและเป็นกระบวนท่าเอาชีวิต ผู้ใช้ออกต้องฝึกฝนมันอย่างน้อยก็ 30 ปี! เปี้ยนเซี่ยไม่อยากเชื่อว่าศัตรูของตนจะอายุน้อยถึงเพียงนี้
แต่ว่า บาดแผลและความเจ็บปวดแสนสาหัสจากการต่อสู้ยืนยันว่านี่คือความจริง ทำให้เปี้ยนเซี่ยสงสัยว่าตัวเองนั้นฝันไป
“ท่านจะอาศัยคนผู้นี้รึ?”
ผู้อาวุโสฮั่นกลอกตาและตอบ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเก่งกาจขึ้นมาก แต่แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า? คุณชาย ข้าขอแนะนำให้ท่านคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำของท่านและอย่าได้หุนหันพลันแล่นไป”
“ดูเหมือนข้าคงจะต้องสังหารท่านเพื่อให้ท่านยอมรับความพ่ายแพ้สินะ!”
ฟางหยวนหัวเราะ “ตอนนี้ข้าทั้งวู่วามและตื่นเต้นที่จะจัดการกับเขา แล้วก็… ท่านคิดจริง ๆ หรือนี่คือทุกอย่างที่ข้ามีแล้ว?”
“อะไรนะ?”
ความตระหนกจู่โจมใส่ผู้อาวุโสฮั่น เขาเริ่มตระหนักว่าสถานการณ์นี้มันวิกฤติเพียงไหน
“รีบไป!”
โดยไม่ลังเลอีกต่อไป เขาคว้าตัวเปี้ยนเซี่ยและพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม
พวกเขาพุ่งไปด้วยความเร็วไม่น่าเชื่อ และเพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็อยู่อีกฟากกำแพงแล้ว ผู้อาวุโสฮั่นมั่นใจเต็มที่มากว่าไม่มีใครเก่งกาจพอที่จะจัดการกับยามที่ด้านนอกโดยไม่ก่อให้เกิดเสียงสักนิด เขาแค่ต้องไปเรียกยามทั้งหมดและก็จะรอดชีวิตไปได้
แต่ว่า เขาก็ต้องเปิดตากว้างทันที
“ซู่ ซู่!”
ภายในห้องโถง มีพลังกลุ่มหนึ่งลอยอยู่รอบตัวฟางหยวน
หมอกหนาทึบชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นจากที่ใดสักแห่งปกคลุมลงมาทั่วพื้นที่ มันดูมีชีวิตจนผู้อาวุโสฮั่นรู้สึกว่ามีมือมากมายจับแน่นบนร่างของเขา
“หลับ! หลับสิ!”
จู่ ๆ ผู้อาวุโสฮั่นก็รู้สึกว่ามีความง่วงอย่างต้านทานไม่ไหวกระแทกเข้าตัวเขา ทำให้เขาค่อย ๆ ช้าลง
ไม่สำคัญแล้วว่าสัญญาณเตือนภัยในตัวของผู้อาวุโสฮั่นจะกรีดร้องเพียงไหน เขารู้สึกหนังตาหนักอึ้ง
“ปัง!”
ในตอนที่เขากำลังต่อสู้กับปิศาจความฝันอย่างมุ่งมั่น เขาก็ได้ยินเสียงดังทึบอยู่ข้าง ๆ มันฟังเหมือนร่างของใครสักคนหล่นกระทบพื้น ในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่คอ และครรลองสายตาของเขาก็มืดไป เขาหมดสติลง