“สะกดวิญญาณ?”
ผู้อาวุโสฮั่นลืมตา แต่รอบตัวเขานั้นมืดสนิท เขาพยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น และพึมพำกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว
หมอกที่น่าสงสัยและมันเหมือนกับเคล็ดวิญญาณที่ทำให้เขานึกถึงนักรบศักดิ์สิทธิ์
“ดีมาก! เจ้าได้สติเร็วกว่า นั่นหมายความเจ้าแข็งแกร่งกว่าเปี้ยนเซี่ย!”
ฟางหยวนยืนอยู่ด้านข้าง ดูพอใจ
“ทำไมข้าถึงคิดไม่ถึงนะ…”
ผู้อาวุโสฮั่นหัวเราะ “หลังจากรู้จักเจ้ามานาน ข้าก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมเจ้าจึงรู้จักเคล็ดวิญญาณ…”
“ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าจะไม่ระแคะระคายเรื่องนี้!”
เส้นทางของจ้าวแห่งฝันนั้นโน้มเอียงไปทางการใช้มายา ดังนั้นจึงยากที่จะตรวจพบ
แน่นอนว่า ฟางหยวนใช้เพียงแค่ธาตุความฝันของตัวเองเท่านั้น เพื่อตรวจจับ หรือเพื่อโน้มนำทางจิต มีเพียงตอนที่เขาเป็นจ้าวแห่งฝันเต็มตัวและสามารถควบคุมพลังธาตฝันเท่านั้นจึงจะเรียนรู้เคล็ดวิญญาณจากมรดกสืบทอดของอาจารย์เวิ่นซินได้
ส่วนในตอนนี้ หมอกสะกดเป็นหนึ่งในเคล็ดวิญญาณที่เขาเรียนรู้มา
เพราะว่ามันต้องใช้พลังธาตุฝันในการเรียกมา แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ก็ต้องพ่ายแพ้แก่มัน
“เจ้าเผยความลับใหญ่หลวงของเจ้าให้ข้ารู้… ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่คิดปล่อยให้ข้ามีชีวิตแล้ว…”
ผู้อาวุโสฮั่นเข้าใจและยอมรับความตาย ขณะที่มองไปรอบ ๆ
ที่นี่คล้ายเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง คบเพลิงส่องสว่างทำให้ในถ้ำเต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันสน ที่ตรงกลางถ้ำ มีหินเรียบ ๆ สามก้อน นอกจากเขาและเปี้ยนเซี่ยแล้ว ยังมีอีกผู้หนึ่ง!
นอกจากนี้ คนผู้นี้ยังเป็นคนคุ้นเคยด้วย
“ผู้อาวุโสเอี๋ยน… ท่านหญิงเอี๋ยน!!!”
ลูกตาของผู้อาวุโสฮั่นแทบจะถลนออกมา “เจ้าเป็นผู้ร้ายทลายสำนักของเรา!?”
เมื่อคิดว่าคนผู้นี้ลงมือทำลายสำนักของเขาและเขายังโง่งมส่งตัวเองให้แก่เขา ผู้อาวุโสฮั่นก็มีเหงื่อเย็นเยียบไหลหลั่ง
“เป็นข้าเอง!”
ฟางหยวนยิ้ม “ถ้าการที่สำนักวางแผนต่อข้าเรียกว่ายุติธรรม แล้วทำไมถึงไม่ยุติธรรมสำหรับข้าที่จะชิงลงมือก่อน?”
“เจ้าขโมยชั่วช้า!!!”
หัวใจของผู้อาวุโสฮั่นจมดิ่งลงไป เขารู้สึกเสียใจแทนสำนัก และดังนั้นจึงโมโหขึ้นมา แต่เขาก็ไม่สามารถขยับตัวได้เลยสักนิด
กำลังภายในที่เดิมแข็งแกร่งนั้นตอนนี้ถูกกักเอาไว้ในจุดตันเถียนคล้ายกับพยัคฆ์พิโรธในกรง จนหนทาง
“หยุดดิ้นรน ข้าศึกษาเจ้าและท่านหญิงเอี๋ยนมานานที่สุด และถ้าข้ายังไม่รู้วิธีปิดกั้นวิทยายุทธ์ของเจ้า เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรเป็นหมอแล้ว!”
ฟางหยวนพูดอย่างใจเย็น และในเวลาเดียวกันก็ตรวจสอบข้อต่อของเปี้ยนเซี่ย
เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสฮั่นเอี๋ยนและผู้อาวุโสฮั่น [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 11)] ผู้นี้นั้นเขาไม่คุ้นเคยนัก เขาต้องทำความเข้าใจเขาก่อนสักนิดก่อนจะทำอะไรลงไป
อันที่จริง ไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นตัวทดลองไปมากกว่าผู้อาวุโสเอี๋ยนและผู้อาวุโสฮั่น
แต่ว่า ทั้งสองคนนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของฟางหยวนอยู่ก่อนแล้ว ระบบหมุนเวียนเลือดและวิทยายุทธ์ของพวกเขานั้นฟางหยวนศึกษาอย่างลึกซึ้งอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเปี้ยนเซี่ยนั้น ฟางหยวนเพิ่งเคยทดสอบ
“เจ้าจะทำอะไรกันแน่?”
ฟางหยวนดูลึกลับเกินไป และผู้อาวุโสฮั่นผู้เดียวที่ยังมีสติก็ไม่อาจจะรั้งตัวเองไว้ได้อีกต่อไป ถามออกมา
“ไม่ต้องห่วง มันเป็นเรื่องดี! ข้าต้องการช่วยให้เจ้าทะลวงด่านเป็นอู่จง!”
ฟางหยวนตอบตรงไปตรงมา
“อะไรนะ?”
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสฮั่นคิดว่าเขาได้ยินเรื่องตลกที่น่าขำที่สุดในชีวิต แต่ความกลัวกลับเริ่มเติบโตขึ้นในใจเขาอย่างช้า ๆ และด้วยความคาดหวัง เขาก็ถาม “เรื่องตลกอะไรกันน่ะ?”
“สิบสองประตูทองของวิทยายุทธ์ อันที่จริง มันก็คือวิธีการฝึกฝนตนเอง มันค่อย ๆ พัฒนาศักยภาพของผู้ฝึกอย่างต่อเนื่อง คล้ายกระบวนการเก่าแก่ที่นักรบศักดิ์สิทธิ์เคยใช้… เมื่อพลังเวทย์ของคนผู้หนึ่งเพียงพอ ร่วมกับการกระตุ้นจากภายนอก มันก็ไม่ยากที่จะได้รับพลังธาตุสักเล็กน้อย นี่เป็นจริงอย่างที่สุดสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับประตูตี่อย่างเจ้า ที่มีพลังธาตุก่อกำเนิดแล้ว…”
แต่ว่า ฟางหยวนจงใจข้ามประเด็นหนึ่งไป
วิธีการฝ่าประตูด้วยการใช้กำลังเช่นนี้จะใช้พลังชีวิตมากเกินไป ไม่เพียงจะทำให้อายุขัยสั้นลง ร่างกายอาจจะยังรับไม่ไหว การเพิ่มขึ้นของพลังเวทย์อาจจะไม่สามารถเข้ากันได้กับพลังธาตุ เมื่อเอาสิ่งกระตุ้นภายนอกออก เจ้าของร่างก็จะตายลงทันที!
อย่างไร วิทยายุทธ์นั้นก็ล้วนเกี่ยวกับพื้นฐาน และการรีบร้อนนั้นไม่ได้ช่วยอะไร
แต่สำหรับฟางหยวน นี่คือทั้งหมดที่เขาต้องการ
ด้วยประสบการณ์การทะลวงขึ้นสู่อู่จงภายใต้ความกดดันมหาศาล เขาสามารถยืนยันการคาดคะเนของเขาและใช้พลังธาตุฝันของเขาทะลวงขึ้นเป็นอู่จง!
“เจ้าดูจะไม่เชื่อข้า?”
ฟางหยวนมองผู้อาวุโสฮั่นและฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยให้เจ้าทะลวงผ่านประตูเทียน และให้เจ้าขึ้นสู่ระดับสูงสุดก่อน!”
“อะไรนะ?”
ผู้อาวุโสฮั่นตกใจ ขณะที่เขามองฟางหยวนชี้นิ้วมาที่หน้าผากของเขา
“ชิ้ง!”
ทันใดนั้น พลังเข้มข้นสายหนึ่งก็ฝ่าผ่านศูนย์รวมจิตของผู้อาวุโสอั่น มันทำลายประตูเทียนด้วยพลังรุนแรง ซึ่งทำให้เขาตกอยู่ในภาวะตระหนกและกรีดร้องออกมาหลายครั้ง
ประตูเทียนนั้นผู้ฝึกยุทธ์ต้องทะลวงผ่านด้วยความตั้งใจของตัวเอง ด้วยประสบการณ์จำกัดของฟางหยวนกับการใช้พลังธาตุฝัน พลังรุนแรงของเขาจะทำให้เกิดผลลัพธ์เลวร้ายตามมาแก่ผู้อาวุโสฮั่น
แต่ทว่า คราวนี้ผลลัพธ์นั้นเห็นได้ทันที
หลังจากนั้น นัยน์ตาของผู้อาวุโสฮั่นก็แดงก่ำ เขาปวดศีรษะรุนแรง ราวกับมีใครเอาขวานจามไปทั่วศีรษะของเขา
ประตูที่จำกัดอยู่ถูกทำลายไปในที่สุด และพลังเวทย์ปริมาณมหาศาลก็พุ่งเข้าสู่จิตเหนือสำนึกของเขาทำให้เขารู้สึกมึนงง
“ไม่…ถูกต้อง…”
ในความมึนงงของเขา ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามา “พลังนี้… พลังธาตุ!!! เจ้าเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์!!!”
ผู้อาวุโสฮั่นสามารถสัมผัสถึงพลังอันเกินคาดภายในร่าง และมันยังแข็งแกร่งกว่าที่สืออวี้ถงมีเสียอีก
มีคำอธิบายเดียวสำหรับเรื่องนี้ ไม่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เพียงใดก็ตาม ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่แค่ศิษย์วิญญาณ แต่เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถควบคุมพลังธาตุได้อย่างสมบูรณ์!
เมื่อคิดถึงว่าสำนักกุยหลิงเคยวางแผนใส่นักรบศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสฮั่นก็รู้สึกหมดหวัง และสติของเขาก็กลายเป็นพร่ามัวไป
“อา… ฝ่าประตูเทียนด้วยการใช้กำลังดูจะมีผลข้างเคียง และทำให้อายุขัยสั้นลง?”
ฟางหยวนยักไหล่ “แทนที่จะตายตกอย่างธรรมดา ทำไมถึงจะไม่ลองทำอะไรบ้า ๆ ก่อนจะตายเล่า อะไรเช่นทะลวงขึ้นสู่อู่จง!”
วิธีการใช้กำลังฝ่าประตูนี้เป็นไปได้สำหรับนักรบศักดิ์สิทธิ์ทุกคน แต่ว่าสิ่งที่ตามมานั้นน่ากลัว
ฟางหยวนนั้นฝึกมา 10 ปีในความฝัน และโดยทฤษฎีแล้ว มันสมบูรณ์แบบ เขาควบคุมพลังธาตุฝันของเขาได้เป็นอย่างดี แต่หลังจากทำแล้ว ตัวทดลองของเขานั้นก็ไม่รอดอยู่ได้นานนัก
แต่ว่า เขาก็พอใจกับการทดสอบเพื่อยืนยันสิ่งที่เขาคิด
“ผู้อาวุโสฮั่น ทนไว้ก่อนนะ ถ้าเจ้าจะตาย เจ้าก็ตายในฐานะอู่จง และตายอย่างน่ายินดี!”
เขาดูจริงจังเหมือนเคยและตวัดฝ่ามือใส่จุดตันเถียนของผู้อาวุโสฮั่น
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยัดยาวิเศษจำนวนมากรวมทั้งลูกไผ่เข้าไปในปากเขา
ไอพลังธาตุฝันค่อย ๆ ไหลเข้าไปในจุดตันเถียนของผู้อาวุโสฮั่นอย่างต่อเนื่อง และตรงไปยังพลังธาตุก่อกำเนิดของเขา และมันก็ค่อย ๆ เริ่มกระบวนการทะลวงผ่านสู่ระดับอู่จงอย่างช้า ๆ!
“วิธีที่เหมาะสมในการขึ้นเป็นอู่จงก็คือทำอย่างไม่เร่งร้อน ไปทีละขั้น แต่ว่า มันก็ยังคงเป็นไปได้ที่บางคนจะใช้พลังธาตุของตนกระตุ้นและทะลวงผ่านด้วยกำลัง… สำหรับผู้อื่นแล้ว อาจจะเกิดระเบิดขึ้นมาได้ขณะทำ แต่สำหรับข้า การควบคุมพลังธาตุฝัน ข้าสามารถควบคุมมันได้แม้จะใช้พลังรุนแรงก็ตาม!”
ฟางหยวนตาเป็นประกาย
ตรงหน้าเขา ท่าทางของผู้อาวุโสฮั่นดูน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ
เขาดูคลั่ง เส้นเลือดปูนโปนไปทุกที่ราวกับมีไส้เดือนกำลังไชผ่านไป ทั้งร่างบวมเป่ง
“เชื่อม!”
ฟางหยวนไม่สนใจและสั่งพลังธาตุก่อกำเนิดให้บีบตัวเองลงไป พยายามเปลี่ยนมันให้เป็นพลังธาตุ
“ปึ้ง!”
หลังจากนั้นเป็นนาน ก็มีเสียงอ่อนเบาดังออกมาจากถ้ำ ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจของฟางหยวน “ข้าล้มเหลว… ดูเหมือนการคาดเดาแรกจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร ทำต่อเลย…”
…
การหายตัวไปของผู้อาวุโสทั้งสองจากในพื้นที่ของตนทำให้ทั้งเมืองชิงเย่ปั่นป่วน
เจ้าเมืองชิงเย่คนใหม่ร้อนใจนัก แต่ก็ทำได้แค่ปลอบตัวเองว่าผู้อาวุโสทั้งสองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ และถ้าพวกเขาร่วมมือกัน พวกเขาย่อมสามารถป้องกันได้กระทั่งอู่จง และอาจจะมีภารกิจลับที่ไม่มีใครรู้ก็ได้เหมือนกัน
แต่ว่า ผ่านไปห้าวันแล้ว และเมื่อสืออวี้ถงกลับมา เขาก็รู้แล้วว่าหมดหวัง
“ผู้อาวุโสฮั่นกับผู้อาวุโสเปี้ยนหายตัวไป?”
สืออวี้ถงที่สวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ข้าง ๆ นางคือหลินเหลยเยว่ที่มองตรงไปที่เจ้าเมืองคนใหม่
“ข้าไร้สามารถ สมควรตาย!”
แม้ว่าเจ้าเมืองจะเป็นศิษย์สำนักกุยหลิง เขาก็ยังเป็นแค่ศิษย์ระดับต่ำเมื่ออยู่ต่อหน้าสืออวี้ถง
“ศัตรูผู้นี้มีพลังที่สามารถพาตัวผู้อาวุโสทั้งสองไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดเสียงดัง ต่อให้เจ้าเตรียมรับมือ มันก็ไร้ประโยชน์! ไปซะ!”
สืออวี้ถงพูดเพียงไม่กี่คำอย่างใจเย็น ทำให้เจ้าเมืองชิงเย่ถอนหายใจและรีบถอยออกไป
“อาจารย์…”
เมื่อผู้อื่นออกไปแล้ว หลินเหลยเยว่ก็ปรากฏท่าทางสับสน “จู่ ๆ ก็มีจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจปรากฏตัวขึ้นที่เมืองชิงเย่ พวกเราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะตอนนี้?”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่อู่จงจะสามารถทำกับทั้งสองคนนั้นได้… น่าจะเป็น นักรบศักดิ์สิทธิ์!”
สืออวี้ถงดูเครียดขึ้น “ข้าจะดูแลพื้นที่นี้ด้วยตัวเองและส่งจดหมายไปหาผู้นำสมาพันธ์ให้เขาส่งความช่วยเหลือมา!”
ศิษย์วิญญาณนั้นเทียบได้กับอู่จง แต่ก็ยังคงขึ้นกับเคล็ดวิญญาณตามธรรมชาติของตนด้วย แต่พวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอู่จงตรงความแข็งแกร่งที่แท้จริงและทักษะ
นึกถึงการต่อสู้ชิงแผนที่สมบัติครั้งก่อน ที่ศิษย์วิญญาณทั้งสองเข้าช่วยอู่จงต่อสู้
ถ้าศิษย์วิญญาณสู้กับอู่จงตัวต่อตัว โดยที่ยังมีพลังธาตุไม่สมบูรณ์ จะเป็นคู่มืออู่จงได้อย่างไร?
แต่หากเทียบนักรบศักดิ์สิทธิ์และอู่จงที่ระดับเดียวกัน อู่จงจะแพ้
เมื่อคำนวณความสามารถของศัตรูแล้ว สืออวี้ถงก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่จะมีนักรบศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ และเริ่มระวังตัว
“ในหุบเขาสันโดษเป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
ในที่สุดหลินเหลยเยว่ก็เผยความตั้งใจจริงของนางออกมา “ครบกำหนดนัดแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าไม่ได้รับคำตอบใด…”
“หุบเขาสันโดษ…”
สืออวี้ถงดูงดงาม แต่ก็มีความเย็นชาอยู่ในสายตา “เป็นไปได้ไหมว่าการหายตัวไปของผู้อาวุโสทั้งสองเกี่ยวข้องกับหุบเขาสันโดษ? แต่ถ้าเช่นนั้น เหตุใดพวกเขาถึงเพียงแค่หายตัวไป?”
“นอกจากนี้… ข้ายังสงสัยการโจมตีสำนักเราก่อนหน้านี้ว่าจะเกี่ยวข้องกับหุบเขาสันโดษด้วย! แม้ว่าเราจะไม่มีหลักฐาน แต่มันมีการบังเอิญมากเกินไป และยากที่จะไม่สงสัย!”
“อะไรนะเจ้าคะ?”
หลินเหลยเยว่ผงะถอยไปหลายก้าวและลองคิดภาพฟางหยวน
เมื่อพบว่านางอาจจะถูกหลอกลวงมาตลอดและถูกฟางหยวนชักเชิด นางก็เริ่มโกรธ