หลิงอิ๋นรีบถอยอย่างรวดเร็วและอาวุธบนร่างของนางก็สะท้อนกับแสง
นางไม่คิดว่าฟางหยวนจะสามารถปิดบังตัวตนได้ถึงเพียงนี้ เคล็ดวิชาของเขาและยังวิทยายุทธ์ไม่เพียงพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเขายังบรรลุสู่การใช้พลังธาตุ!
ฟางหยวนไม่เพียงแค่เป็นอู่จงผู้หนึ่ง แต่ยังเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ด้วย แน่นอนว่าเขาเล็ดลอดการตรวจสอบของทั้งนางและสืออวี้ถงไปได้ และยังได้ยินการพูดคุยลับระหว่างนางทั้งคู่ด้วย เขายังตัดสินใจจะลงมือเมื่อพวกนางแยกออกจากกัน
“ท่าน ฟังข้าอธิบายก่อน!”
หลิงอิ๋นเรียกใช้เครื่องรางและอาวุธหลายชิ้นเพื่อปกป้องตัวเองติด ๆ กัน น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเป็นแหลมสูงของนาง กำไลหยกเปล่งประกายสีเขียวมรกตออกมาจากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นมีดด้ามเล็ก ๆ พร้อมจะลอยเข้าสู่มือของนาง
โชคไม่ดี นางมาได้ถึงเพียงขั้นตอนนี้เท่านั้น
“คาถาสะกด!”
ฟางหยวนเรียกใช้คาถาและหมอกที่รอบ ๆ ก็เริ่มเข้มขึ้นราวกับคลื่นยักษ์ หลิงอิ๋นถูกหมอกพวกนั้นกลืนเข้าไป
ท่ามกลางหมอกขาว ยังมีประกายสีเขียวและเสียงของผู้หญิง
“ตุบ!”
กำไลสีเขียวหยกหล่นลงพื้นและกลิ้งมาที่เท้าของฟางหยวน
“สลาย!”
ฟางหยวนดีดนิ้วแล้วหมอกจากคาถาก็เริ่มจางไป มันเผยให้เห็นหลิงอิ๋นที่หมดสติอยู่
แม้ว่านางจะมีการป้องกันหลายชั้น นางก็ไม่ได้มีภูมิคุ้มกับกับสะกดที่เรียกใช้โดยจ้าวแห่งฝัน
“ข้าเป็นจ้าวแห่งฝันผู้หนึ่ง และมันก็คงแปลกแล้วถ้าข้าไม่สามารถรับมือกับแค่ศิษย์วิญญาณได้!”
ฟางหยวนหยิบกำไลขึ้นมาและส่ายหน้า
เขาอาจจะกังวลถ้าต้องรับมือกับทั้งหลิงอิ๋นและสืออวี้ถงพร้อมกัน แต่เขาก็เพียงกังวลว่าจะไม่สามารถใช้พลังอย่างเต็มที่ต่อหน้าพวกนางได้เท่านั้น
ในเมื่อตอนนี้ทั้งคู่นั้นแยกกัน มันก็ง่ายที่จะกำจัดพวกนางคนหนึ่ง
ศิษย์วิญญาณผู้นี้ที่จัดการกดดันเจ้าสำนักห้าผีและโลหิตสังหารได้ เขากลับเอาชนะได้โดยง่ายและยังแทบจะไม่มีการต่อต้านใดเลย
“เคล็ดวิชาของจ้าวแห่งฝันของข้านั้นจู่โจมใส่จิตใจ การปกป้องแต่ละชั้นจะใช้การได้อย่างไร?”
ฟางหยวนนั่งยองลง
พร้อมกับแสงที่เปล่งประกายออกมา เกราะปกป้องของหลิงอิ๋นก็เริ่มจางไป และค่อย ๆ เปลี่ยนกลับมาอยู่ในรูปเครื่องประดับและอาวุธหลายชนิด
“เหอเหอ… อาจารย์ของนางเป็นจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุจริง ๆ นั่นแหละ ดูเครื่องประดับและอาวุธเหล่านี้สิ…”
เห็นเครื่องประดับและอาวุธวิเศษหลายชิ้นบนร่างของนางแล้ว ฟางหยวนก็หยิบฉวยทุกอย่างมาจากนางอย่างไม่ละอายโดยไม่ทิ้งกระทั่งขวดยาสักขวดเอาไว้ให้
หลังจากเสร็จแล้ว ฟางหยวนก็ส่งสัญญาณออกไป
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
พร้อมกับเสียงแหลมสูงจากเจ้านกอินทรีและกระแสลมแรง อินทรีดำหางเหล็กก็ร่อนลงมา
“พาข้าไปหาสืออวี้ถง!”
ฟางหยวนขึ้นหลังเจ้าอินทรีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เขาไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยนางไปและในเมื่อเขาจัดการกับหลิงอิ๋นแล้ว เขาก็ต้องการจัดการกับอีกคนด้วยเช่นกัน!
“อย่างไร… การกระทำของข้าก็ต่อต้านลู่เหรินเจีย ถ้าข้าไม่ต้องการออกไปข้างนอกและวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ข้าก็ต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับหลิวเอี๋ยน”
ฟางหยวนพึมพำและโบกมือ
อินทรีดำหางเหล็กพุ่งขึ้นฟ้าและหายลับไปในชั้นเมฆ
…
“อาจารย์…”
ข้าง ๆ น้ำพุศักดิ์สิทธิ์
หลินเหลยเยว่นั่งกอดเข่าอยู่บนก้อนหินสีเขียว นางมองน้ำพุที่ไหลไปและปลาสีดำที่ว่ายน้ำอยู่ จากนั้นนางก็นึกถึงสมัยที่นางยังเด็ก
ตอนนั้นอาจารย์เวิ่นซินยังมีชีวิตอยู่ บิดาของนางชื่นชมในตัวอาจารย์เวิ่นซินมากและมักจะไปเยี่ยมเขาบ่อย ๆ
มันเป็นฤดูใบไม้ผลิเมื่อตอนที่นางพบฟางหยวนครั้งแรก ทั้งหลินเหลยเยว่และฟางหยวนล้วนยังเด็กมาก
อาจารย์เวิ่นซินชอบหลินเหลยเยว่มากและขอหมั้นหมายหลินเหลยเยว่ให้ฟางหยวน บิดาของนางตอบรับอย่างยินดี
แต่ว่า ใครจะคิดว่าอาจารย์เวิ่นซินจะด่วนจากไปเร็วนักทั้งที่มีความสามารถในการรักษาระดับสูง แม้ว่าหลินเหลยเยว่จะได้รับการประเมินคุณค่าอย่างสูงจากอาจารย์เวิ่นซินแต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วหลังจากอาจารย์เวิ่นซินจากไป
นางเองก็ไม่คิดว่าฟางหยวน ที่ก่อนหน้านี้อาศัยตัวคนเดียวและไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิงจะสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งในด้านการฝึกตนและวิชาการรักษาได้ด้วยตัวเอง กิจการในหุบเขาสันโดษของเขาก็ประสบความสำเร็จ และเขายังฝ่าระดับขึ้นเป็นอู่จงได้สำเร็จแล้วด้วย!
แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์และพลังเวทย์ สืออวี้ถงอาจารย์นางยังเพียงพูดว่ามีโอกาสแต่ไม่ใช่การรับประกันว่านางจะขึ้นถึงระดับอู่จงได้!
คนผู้หนึ่งมีศักยภาพ ในขณะที่อีกคนมีความสามารถที่จะขึ้นเป็นอู่จง ความแตกต่างระหว่างพวกเขาทั้งคู่นั้นมากนัก!
แม้วกระทั่งอาจารย์ของนางยังพูดอย่างใจกว้างและสละหน้าตาของหลินเหลยเยว่เพียงเพื่อดึงฟางหยวนไปอยู่ฝ่ายเดียวกัน
‘โลกนี้… เคารพเพียงผู้มีพลังเท่านั้น ถ้าคนผู้หนึ่งต้องการควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง คนผู้นั้นก็จำเป็นต้องมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นเสียก่อน!’
ขณะที่นางกำลังมองไปที่เงาหนึ่งซึ่งปรากฏขึ้นในน้ำ หลินเหลยเยว่ก็กำหมัดแน่น
ทันใดนั้น เงาของคนอีกผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ผิวน้ำ
“เหลยเยว่ เจ้าโทษข้าใช่หรือไม่?”
สืออวี้ถงมาอยู่ข้าง ๆ หลินเหลยเยว่และนางก็ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าย่อมไม่กล้าโทษท่าน!”
หลินเหลยเยว่รีบลุกขึ้น
“เจ้าไม่กล้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ได้โทษ…”
สืออวี้ถงส่ายหน้าและพูด “เอาเถิด นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ข้าย่อมไม่โทษเจ้า!”
“อาจารย์… เพื่อสำนักแล้ว ข้ายินดีเสียสละ!”
หลินเหลยเยว่กัดฟันและพูดต่อ “ไม่สำคัญว่าฟางหยวนทำให้ข้าขายหน้าเพียงไหน ข้าจะทำให้เขาเข้าใจ…”
“ดีแล้วที่เจ้ายินดีที่จะเสียสละเพื่อสำนัก!”
ดวงตาของสืออวี้ถงเป็นประกาย “แต่ว่า เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว!”
“อะไรนะเจ้าคะ?”
หลินเหลยเยว่ประหลาดใจมาก “เขาเป็นอู่จงคนหนึ่ง!”
“ภายใต้สถานการณ์ปกติ ข้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าจึงจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างออกไป พวกเรามีเพื่อนร่วมสมาพันธ์มากมายและยังมีอาจารย์ลู่ และอู่จงผู้หนึ่งก็เป็นเพียงเรื่องเล็กสำหรับพวกเราใช่หรือไม่?”
สืออวี้ถงมีสายตาเย็นชาและพูด “ฟางหยวนมีพลังอำนาจมากเกินไปและเขาเกลียดข้า เขาจะเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอนที่สุดและข้าจำต้องกำจัดเขาออกไปก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่!”
“นี่…”
หลินเหลยเยว่อึ้งงันไปและพูดไม่ออก แต่ว่า นางก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นในเวลาเดียวกัน
“จิ๊บ! จิ๊บ!”
ทันใดนั้น มีนกสีเขียวตัวเล็กตัวหนึ่งปรากฏขึ้นและร่อนลงบนไหล่ของสืออวี้ถง เจ้านกร้องอย่างกระวนกระวาย
“ข่าวร้าย หลิงอิ๋นเกิดปัญหาแล้ว!”
สีหน้าของสืออวี้ถงเปลี่ยนไปและหลินเหลยเยว่ก็ประหลาดใจ สำหรับนางแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นสีหน้าเช่นนี้จากอาจารย์ของนาง
“ก่อนที่ข้าจะแยกจากหลิงอิ๋น ข้าทิ้งนกน้อยตัวนี้ไว้ดูหลิงอิ๋นเผื่อจะเกิดอะไรขึ้นกับนาง ตอนนี้เจ้านกกระวนกระวายมาก น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับนางแล้ว… ในมณฑลนี้ คนเพียงผู้เดียวที่ทำเช่นนี้ได้ก็คือฟางหยวน!”
สืออวี้ถงนำหลินเหลยเยว่ไปด้วย พวกนางกลับไปที่ในป่าอย่างรวดเร็วด้วยวิชาตัวเบา “แผนการลับของพวกเราน่าจะถูกพบแล้วและพวกเราก็อาจจะถูกฟางหยวนสังหารได้! ไม่มีทางที่หลิงอิ๋นจะหนีรอดได้แล้ว!”
หลินเหลยเยว่ซึมไปและรู้ว่าแผนการลับที่อาจารย์และหลิงอิ๋นถูกพบโดยฟางหยวนและหลิงอิ๋นก็คงถูกสังหารไปแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องตลกไม่ออกแล้วรึในเมื่อสืออวี้ถงเพื่อบอกให้นางไม่ต้องไปกังวลเรื่องนี้เมื่อครู่เอง?
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
แต่ว่า ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องการพลิกไปมานี้แล้วตอนนี้
เสียงร้องดังลั่นจากนกอินทรี นกอินทรียักษ์ปรากฎกายขึ้นจากกลุ่มเมฆและกางปีกออกกว้าง เกิดเงาดำขนาดยักษ์
“เป็นไปได้อย่างไร?”
สีหน้าของสืออวี้ถงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
นางจงใจเลือกเส้นทางเล็กในป่าซึ่งถูกต้นไม้สูงบดบัง แต่ว่าเจ้าอินทรียักษ์ก็ยังสามารถระบุตำแหน่งของนางได้ไม่ว่าที่ไหน
“ซู่! ซู่!”
มีกระแสลมแรงกระหน่และอินทรีดำหางเหล็กก็พุ่งลงมา กรงเล็บคมกริบของมันฉีกกระชากต้นไม้โบราณออกเป็นสองส่วน
“ไม่ดีแล้ว!”
สืออวี้ถงผลักหลินเหลยเยว่ออกไปและพูด “ฟางหยวนน่าจะทำอะไรไว้กับพวกเราทำให้เขาสามารถระบุตำแหน่งของพวกเราได้ ดูเหมือนว่าเราต้องแยกกันแล้ว ไปซะ!”
สืออวี้ถงปล่อยมือและให้หลินเหลยเยว่ถูกผลักไปทางอื่น
“อาจารย์!”
หลินเหลยเยว่น้ำตานองหน้าและไม่มีทางเลือกนอกจากไปจากที่นี่ซะ
ที่ด้านหลังนาง นางได้ยินเสียงร้องดังและเสียงนกอินทรีกรีดร้องก้องมา
นกอินทรีไม่ให้ความเมตตาแก่สืออวี้ถงและมันพุ่งเข้าหานางโดยตรง
“ฟางหยวน เป็นเจ้าจริง ๆ!”
จากนั้นเสียงของสืออวี้ถงก็ดังมา และยังมีเสียงอื่นดังมาให้ได้ยินชัดเจน “หลิงอิ๋นพ่ายแพ้แล้ว เจ้าสำนัก เจ้าก็ได้รับบาดเจ็บและไม่ใช่คู่มือของข้าอย่างแน่นอน เจ้ารออะไรอยู่อีก?”
“ข้ายอมตายอย่างมีศักดิ์ศรีมากกว่ายอมจำนน!”
สืออวี้ถงถอนหายใจและพูดต่อ “ข้าไม่ได้จัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมและดังนั้นข้าจึงเอาตัวเองเข้ามาเจอกับปัญหาเช่นนี้ ข้ายอมรับว่าข้าด้อยกว่าแต่ข้าต้องการสู้จนตัวตายเพื่อเกียรติของข้า!”
“ดีมาก!”
เสียงของฟางหยวนดังมาและจากนั้นก็มีเสียงระเบิด
หลินเหลยเยว่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นและหัวใจก็จมลงไป นางรู้ว่าฟางหยวนนั้นมีฝีมือสูงกว่าอาจารย์ของนางและไม่มีโอกาสที่นางจะหนีพ้น
แม้ว่านางจะยังมั่นใจในตัวอาจารย์ของนาง อาจารย์ของนางก็พ่ายแพ้ให้ฟางหยวนมาแล้ว ดังนั้นนางจะโชคดีสักแค่ไหนกันครั้งนี้?
“ฟางหยวน!”
นางกัดฟันและหนีไปพร้อมกับน้ำตา นางสาบานในใจ “ข้า.. ข้าจะกลับมาแก้แค้นในสักวันหนึ่ง!”
…
“ดีมาก! ความกล้าหายของท่านสมควรได้รับการยกย่อง!”
ฟางหยวนกล่าวชื่นชมสืออวี้ถงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
ฟางหยวนไม่ได้สนใจหลินเหลยเยว่ที่เริ่มวิ่งหนีไป
ระหว่างทั้งคู่นั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันสักนิด
และสืออวี้ถงเองก็นำลูกศิษย์มาจากสำนักกุยหลิงด้วยจำนวนหนึ่ง และในเมื่อทั้งหมดแยกย้ายกันไปแล้ว มันก็ยุ่งยากเกินไปที่จะตามสังหารทุกคน
สิ่งที่เขาเผชิญอยู่ตอนนี้ก็กดดัและเขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องที่เหลือภายหลังจากที่เขาจัดการกับสืออวี้ถงได้แล้ว
“ฝ่ามือกรงเล็บอินทรี!”
“เกราะพระพุทธ!”
“ปัง!”
ปลดปล่อยพลังธาตุออกมา รูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นกระทบกัน และต้นไม้มากมายล้มลง ทั่วทั้งบริเวณเละเทะไปหมด
สืออวี้ถงนั้นไม่ใช่คู่มือของฟางหยวนและนางยังบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ ผมของนางยุ่งเหยิง เลือดไหลออกจากปาก ทำให้นางอยู่ในสภาพอันน่าสงสาร
“เจ้าคิดจะหนีจากข้าใช่หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าก็สามารถหาตัวเจ้าพบได้!”
ฟางหยวนพูดอย่างเย็นชาและทำให้สืออวี้ถงรู้สึกหมดกำลังใจไปกับคำพูดของเขา
“ข้ารู้…”
สืออวี้ถงเหลือบมองอินทรีดำหางเหล็กด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ “ข้ามีคำถามที่อยากได้คำตอบ หาข้าไม่ได้คำตอบข้าคงตายตาไม่หลับ!”
“เจ้าสงสัยว่าข้าสามารถตามรอยพวกเจ้าได้อย่างไรใช่ไหม?”
ฟางหยวนส่ายหน้าและพูด “เจ้าจะได้รู้คำตอบเร็ว ๆ นี้!”
“อะไรนะ?”
สืออวี้ถงรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาหานางอย่างกะทันหัน นางไม่ได้คิดและรีบเปลี่ยนไปอยู่ในรูปเก้าเงา เงาทั้งเก้าจู่โจมจากทุกทิศทาง
“คาถาสะกด!”
ฟางหยวนยกปลายนิ้วขึ้นเล้กน้อยและหมอกรอบ ๆ ก็เริ่มกระจาย เงาทั้งหมดของนางถูกหมอกกลืนกิน
“นี่คือ…”
สืออวี้ถงสับสน ตอนแรกก็ด้วยหมอก แต่พลังธาตุในจุดตันเถียงของนางทำให้นางตัวสั่น และนางก็รู้สึกตัวขึ้นจากสะกด นางประหลาดใจมาและถาม “นี่คือ…คาถาสะกดวิญญาณ?”
“เพล้ง!”
เพียงนางลังเลเล็กน้อย นางก็ตกลงสู่เส้นทางแห่งความตายในเมื่อศัตรูของนางเป็นอู่จงผู้หนึ่ง
จู่ ๆ ฟางหยวนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังนางและจับนางไว้!