“นายท่าน… ท่านต้องการทำอย่างไรกับตระกูลหลิน?”
ที่ด้านนอกคุก โจวเหวินอู่โค้งตัวคารวะและถาม
“ทำตามที่เจ้าต้องการ!”
ฟางหยวนโบกมือและตอบโจวเหวินอู่อย่างคลุมเครือ เขาไม่สนใจความเป็นไปของตระกูลหลินเลยสักนิด
“แล้วก็… เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องมณฑลชิงเหอ เจ้าเมืองอี้ซานฝูตั้งใจจะส่งทหารและเจ้าเมืองมาปกครองด้วยตนเอง…ข้ามีสิทธิ์แนะนำผู้ที่จะขึ้นเป็นเจ้ามณฑลคนแรก!”
ตอนที่เขาพูดจบ เขาก็มองเห็นความปรารถนาในดวงตาของโจวเหวินอู่ซึ่งดับวับไปหลังจากนั้น
ครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าโจวเหวินอู่ไม่ได้ร้องขอให้แนะนำตนเองขึ้นเป็นเจ้ามณฑล และพยักหน้า “เจ้ารู้ขีดจำกัดของตนเอง นั่นดีแล้ว…”
“ข้ารู้ว่าข้ามีความสามารถเพียงไหน เพียงแค่ดูแลเมืองชิงเย่ข้าก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากแล้ว ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าไม่สามารถรับบทบาทที่ท้าทายเช่นนั้นได้…”
ถ้าเขาบอกว่าเขาไม่อยากเป็นเจ้ามณฑล นั่นก็เป็นการโกหกแล้ว มันก็แค่ยังไม่ใช่เวลาเท่านั้น!
ด้วยความมั่นใจในตัวเองของโจวเหวินอู่ ถ้าให้เวลาเขายี่สิบปีในการครองเมืองชิงเย่ เขาย่อมสามารถกลายเป็นเจ้ามณฑลได้
“อืม… เมืองชิงเย่เป็นของเจ้า และอวี้ซินโหลวจะเป็นผู้ช่วยให้เจ้า! จางเฉิงจะดูแลหุบเขาสันโดษ…”
ฟางหยวนวางแผนอนาคตของคนของตัวเอง “แล้วก็… ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของสำนักกุยหลิงก็เป็นของเราแล้วตอนนี้ ดังนั้นรีบส่งคนไปเอาคืนมาจากสำนักงานเมืองและหวงฝูเหรินเหอจะรับผิดชอบพื้นที่นี้!”
ไม่มีอะไรให้ต้องจัดการแล้ว และยังไม่ทานอาหารเย็นที่โจวเหวินอู่จัดเตรียมไว้อย่างยากลำบาก ฟางหยวนเรียกอินทรีดำหางเหล็กและหายตัวขึ้นฟ้าไป
…
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกล้วนเป็นปาฏิหาริย์…”
เหนือขึ้นไปบนฟ้า ฟางหยวนมองลงมาที่เมืองและรู้สึกต่างไปจากก่อนหน้านี้
เมื่อเขาเข้าเมืองมาครั้งแรก เขาไม่รู้เลยว่าทั้งเมืองนี้ รวมทั้งภูเขาและแม่น้ำข้าง ๆ วันหนึ่งจะกลายมาเป็นของเขา
เขากลับไปที่หุบเขาสันโดษและบอกหวงฝูเหรินเหอที่กำลังตื่นเต้นเรื่องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และให้จางเฉิงรับผิดชอบดูแลหุบเขาสันโดษ โดยไม่หยุดพัก ฟางหยวนนำฮวาหูเตียวไปด้วยและไปถึงที่ที่เขาขังสืออวี้ถงเอาไว้
ในถ้ำ คนงามกำลังหลับลึกและดูผอมลงไม่น้อย
“เอาละ เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าสำนักสือ!”
ฟางหยวนเยาะ “เจ้าคิดว่าเจ้าซ่อนมันเอาไว้จากข้าได้หรือ?”
ในตอนนั้นเอง คนงามที่หลับอยู่ก็ลืมตาขึ้น ใบหน้านิ่งเฉย
แม้ว่านางจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ นางก็ยังงดงาม
“ท่านฟางยังคงนึกถึงข้าได้…”
สืออวี้ถงถอนหายใจ ในน้ำเสียงซ่อนความขุ่นเคือง
“ว่าอย่างไร? สถานที่ไม่ดีพอหรือ? หรือว่าอาหารไม่พอ?”
ฟางหยวนถามเย้า
เขาใช้เคล็ดวิชาลับของจ้าวแห่งฝันผนึกพลังธาตุของสืออวี้ถงเอาไว้ และผนึกนี้ก็ทำลายได้ยากมาก
ตอนนี้ นางจึงเป็นแค่หญิงสาวธรรมดาผู้หนึ่ง ไม่สามารถหนีออกไปจากกับดักที่ขังนางเอาไว้ได้
ถ้านางไม่พึ่งพาอาหารและน้ำที่มีอยู่ นางย่อมตายอย่างโหยหิวไปแล้ว!
“ข้าเป็นเพียงนักโทษเท่านั้น เหตุใดจึงจะกล้าร้องขอให้มากไป!”
สืออวี้ถงถอนหายใจอีกครั้ง “ในถ้ำนี้ไม่มีแสงตะวันแสงเดือน ข้าเพียงรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย อย่าได้ถือสาเลย!”
“เหตุใดจึงไม่พูดออกมาตรง ๆ เจ้าอยากรู้เรื่องภายนอก?”
ฟางหยวนยิ้มกว้าง “อย่างแรกเลย… ข้าบอกเจ้าได้ว่านี่ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว!”
“ครึ่งเดือน?!”
สืออวี้ถงพยักหน้าและเค้นรอยยิ้มออกมา “ข้าเกรงว่าตอนนี้มณฑลชิงเหอคงจะตกอยู่ในภาวะสงครามแล้ว? ศิษย์ของลู่เหรินเจียถูกจับตัวไว้ และยังเพื่อนร่วมรบของเขาอีก แน่นอนว่าเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้ และเจ้าก็เข้าร่วมกับเจ้าเมืองอี้ซานฝู?”
“ลู่เหรินเจียตายแล้ว และไม่มีสำนักกุยหลิงอีกต่อไป…”
ฟางหยวนถอนหายใจเบา ๆ และสังเกตสีหน้าสืออวี้ถง
“ลู่เหรินเจีย..ตายแล้ว?”
ดวงตาของนางเบิกกว้างและนางดูไม่เชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร? อาจารย์ลู่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของเทียนซานและตี้ชิว และยังเพิ่งรับปิศาจโลหิตเข้ามา รวมทั้งพวกเราสามมณฑล เขาควรจะชนะได้ในที่สุด!”
“พวกของหลิวเอี๋ยนและข้าลอบโจมตีเขาและเอาชีวิตของเขาไปขณะที่เขาไม่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ!”
ฟางหยวนไม่ปิดบัง “ตามหลักเหตุผลแล้ว… ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะกังวลเรื่องสำนักกุยหลิงมากกว่า…”
“เมื่อรังพลิกคว่ำ จะเหลือไข่สมบูรณ์ได้อย่างไร?”
สำหรับคำถามของฟางหยวน สืออวี้ถงส่ายหน้า “ในเมื่อลู่เหรินเจียตายตกในมือเจ้า เช่นนั้นเจ้าสำนักสลายกระดูกและสำนักพี่น้องเสื้อเหลืองก็คงไม่ดีไปกว่ากัน และรวมสำนักกุยหลิงไปด้วยก็ไม่นับว่ามาก…”
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางก็ยังคงรู้คิด “ข้าไม่สามารถไปพบหน้าปรมาจารย์ของสำนักกุยหลิงได้แล้วหลังจากสำนักล่มสลายไปเช่นนี้”
ความคิดของนางทำให้ฟางหยวนตกตะลึง
เขาคิดว่านางจะเศร้าโศกจากการที่สำนักของนางถูกทำลายไปในขณะที่นางเป็นเจ้าสำนัก
เขาไม่คิดว่าสืออวี้ถงจะดูพ่ายแพ้แต่ยังคงรักษาสติอารมณ์เอาไว้ได้
“ท่านฟางตั้งใจจะทำอะไรกับข้า?”
สืออวี้ถงเงยหน้าขึ้นมองฟางหยวน
“ในเมื่อเจ้าเป็นศัตรูของข้า ความอาฆาตแค้นระหว่างเราไม่สามารถวางลงได้เพราะแค่ยิ้มเดียว แต่ว่า ข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผลและจะสังหารเจ้า เพราะว่านั่นคงไม่สมกับฐานะเจ้าสำนักผู้หนึ่ง ข้าเพียงต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่อีกสักระยะ อย่างไร อู่จงที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมมีค่ามากกว่า…”
ฟางหยวนยักไหล่และพบว่าร่างกายบอบบางของสืออวี้ถงสั่นสะท้าน
แม้ว่านี่จะไม่ใช่หนทางที่เลวร้ายที่สุด แต่สำหรับนาง นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงความก้าวหน้าของฟางหยวน ถ้าเขาฝึกฝนการเป็นจ้าวแห่งฝันได้ถึงระดับหนึ่ง เขาสามารถใช้นางในการฝึกได้ ถึงตอนนั้น นางอาจจะอยากตายเดี๋ยวนี้เลยมากกว่า
“ข้าจะเติมน้ำกับอาหารให้เจ้า แน่นอนว่า ก่อนหน้านั้น…”
ฟางหยวนก้าวขึ้นหน้ามาหลายก้าวและดึงเอาเข็มทองหลายเล่มออกมา “ข้าจะกลับมาเสริมผนึกในร่างของเจ้าเป็นระยะ!”
“ท่านเป็นหมอที่เก่งกาจมาจริง ๆ ข้าทำอะไรไม่ได้เลยเมื่อมีผนึกนี้อยู่บนร่าง…”
สืออวี้ถงเค้นรอยยิ้มออกมาและดูหมดหนทาง นางไม่ต่อต้านแต่ถาม “นอกจากคลังสมบัติหลักในสำนักของข้าแล้ว ข้ายังมีคลังลับอื่นและมีเพียงข้าที่รู้เรื่องนี้ เจ้าสนใจหรือไม่?”
“ไม่!”
ฟางหยวนตอบอย่างเด็ดขาดซึ่งแทบจะทำให้สืออวี้ถงกระอัก
…
“หญิงผู้นี้…ช่างเจ้าเล่ห์! นางยังคงพยายามหาทางแม้จะอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย!”
ตอนที่เขามาถึงยอดเขาชอุ่มดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ฟางหยวนก็ลูบคางและมีสายตาที่ดูร้ายกาจ “ถ้าไม่เพราะคุณค่าของตัวทดลองระดับอู่จง ข้าคงจะสังหารนางไปแล้ว เช่นนั้นย่อมน่าพึงพอใจที่สุดแล้ว…”
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
อินทรีดำหางเหล็กร้องออกมาเมื่อเข้าสู่หมอกขาว และยอดเขาชอุ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฟางหยวน
“ฮวาหูเตียว… ตอนที่ข้าอยู่ข้างนอกนั่น เจ้าได้ขี้เกียจหรือไม่ฮึ… เจ้าทำตามที่ข้าบอกและให้อาหารพวกมันหรือไม่?”
ฟางหยวนมาถึงยอดหน้าผาและมองไปที่รังนกหงเอี่ยนป๋ายที่ล้วนว่างเปล่า และยังมีศพนกตัวเล็ก ๆ ราวกับมันอดตาย
“กิกิ๊!”
ฮวาหูเตียวพยายามอธิบาย เท้าของมันชี้ไปทางนั้นทางนี้เพื่อจะบอกว่ามีเหยื่อไม่พอให้มันล่า
ฟางหยวนทำได้เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ เขารู้ว่าการให้สัตว์วิญญาณมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กก็ออกจะมากเกินไปและมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะเกิดเหตุเช่นนี้
เขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อดูราชานกหงเอี่ยนป๋าย
แม้ว่าราชานกจะผอมราวหนังหุ้มกระดูก มันก็ยังเหลือลมหายใจอยู่เล็กน้อย และฟางหยวนก็ยิ้ม “นกวิญญาณช่างมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่…”
ในเมื่อสิ่งสำคัญที่สุดคือราชานกยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นลูกนกตายไปไม่กี่ตัวก็ไม่มีความหมายอะไร
ฟางหยวนกลับไปที่กระท่อมฟางของตัวเองและเริ่มสำรวจดูพืชวิญญาณ
อย่างแรกเลยก็คือ ผลหยกแดง มันยังคงมีต้นอ่อนเล็ก ๆ และไม่ได้โตขึ้นมากนัก ทำให้ฟางหยวนพูดไม่ออก
ชาชำระจิตนั้นผลิใบเต็มไปหมด และยังมีประกายสีเขียวจาง ๆ ไปทั้งต้น มันเต็มไปด้วยชีวิต
แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือข้าวหยกเพลิง พวกมันล้วนงอกต้นอ่อนและดูราวกับเป็นลูกไฟลูกเล็ก ๆ พวกมันสูบพลังจากผืนดินอย่างกระหาย
ถ้าไม่เพราะดินที่ยอดเขาชอุ่มดินแดนศักดิ์สิทธิ์อุดมสมบูรณ์นัก พวกมันคงไม่สามารถเติบโตได้
มาถึงจุดนี้ ฟางหยวนก็ค่อนข้างพึงพอใจ ฮวาหูเตียวไม่ได้เกียจคร้านไปเสียหมด มันดูแลพืชวิญญาณพวกนี้
“แต่ว่า… ดูเหมือนไม่มีต้นไหนจะพัฒนาไปเป็นสายพันธุ์พิเศษเลย ข้าหวังมากเกินไป…”
หลังจากเดินรอบสวนหนึ่งรอบ ฟางหยวนก็เห็นสภาพของผลเปลวไฟยะเยือกและพืชวิญญาณกิ่งเดี่ยวอื่น ๆ และไม่พบอะไรที่พิเศษทำให้เขารู้สึกไม่พอใจนิด ๆ
“หญ้าวงเดือนกับบุปผากงจักรเป็นอย่างไรบ้างนะ?”
เขามีความคาดหวังสูงกับพืชทั้งสองอย่างนี้และปลูกมันเอาไว้แยกไปจากพืชอื่น ๆ เพื่อให้มันมีพื้นที่มากพอที่จะล่าเหยื่อมาเป็นอาหาร
“กิกี๊!”
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฮวาหูเตียวก็ดูหวาดกลัวและพยายามอธิบายว่ามีบางอย่างน่ากลัวเกิดขึ้นที่นั่น
“เอ๋?”
ฟางหยวนตื่นเต้นขึ้นมาและเดินไปด้วยฝีเท้ารวดเร็วขึ้น
หญ้าวงเดือนและบุปผากงจักรสามารถล่าเหยื่อได้ด้วยตัวเอง ในสวนบริเวณนี้มีซากศพอยู่ตรงนั้นตรงนี้ พวกนี้ล้วนเป็นผู้โชคร้ายที่ถูกดึงดูดมาที่นี่และกลายเป็นสละเลือดและเนื้อของตัวเองเป็นปุ๋ยให้พืชวิญญาณทั้งสอง
“ว้าว…”
เห็นที่รอบ ๆ พืชวิญญาณทั้งสองล้วนเขียวขจีกว่าก่อนหน้าและยังมีมีผลไม้ป่ามากมาย ฟางหยวนผ่อนลมหายใจโล่งอก “พืชวิญญาณทั้งสองนี้มีความสามารถในการบำรุงดินตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เพราะว่ามีผลไม้มากมายอยู่รอบ ๆ สัตว์ป่าจึงถูกดึงดูดมาที่นี่ คล้ายกับเหยื่อตกปลา นอกจากนี้ มันยังเลี้ยงดูสัตว์พวกนี้จนเติบใหญ่ก่อนที่จะจับพวกมัน และฟางหยวนก็ต้องตกใจที่พืชวิญญาณพวกนี้เข้าใจถึงวิธีเช่นนี้
“รอข้าตรงนี้…”
เห็นฮวาหูเตียวไม่กล้าขยับเข้าไปแม้อีกก้าว ฟางหยวนก็บอกให้มันอยู่นิ่ง ๆ ขณะที่เขาใช้วิชาตัวเบาเข้าไปถึงในบริเวณที่เป็นสวนเดิม
“ฮู่…”
เขามองไกล ๆ แล้วก็พบว่า
ครึ่งหนึ่งของเขาลูกนี้นั้นปกคลุมไปด้วยพืชชนิดหนึ่ง มันมีลำต้นหนาใบสีเงิน และที่ตรงกลาง มีดอกไม้สีสดกำลังบานและส่งกลิ่นหอมแรง เขามองเห็นน้ำหวานจำนวนมากจากดอกไม้เหล่านี้ ซึ่งทำให้เขาน้ำลายสอ
“นีมัน…”
ฟางหยวนมีพลังเวทย์มากพอที่จะเห็นความน่ากลัวเบื้องหลังความงดงาม!
ที่ด้านใต้หญ้าวงเดือนและบุปผากงจักร มีซากศพและกระดูกจำนวนมากที่กลายเป็นปุ๋ยให้พืชเหล่านี้!