“ถึงแล้ว?”
ฟางหยวนอึ้ง
คำของหลิวเอี๋ยน ที่ว่า ‘ถึงแล้ว’ ย่อมหมายถึง ถึงขอบเขตแยกธาตุ
ในเมื่อเขาตั้งใจจะยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้ย่อมหมายถึงเขาไม่ได้สนใจเรื่องอำนาจอีกต่อไปแล้ว
ด้วยพลังเวทย์ของฟางหยวน เขาบอกได้โดยง่ายว่าหลิวเอี๋ยนกำลังพูดความจริง
“ถ้าอย่างนั้น… เหตุใดจึงไม่อยู่แบบนี้ต่อไป เพราะด้วยความสามารถของท่านเจ้าเมือง…”
ฟางหยวนหยุดกลางคันและมองหลิวเอี๋ยนอย่างกังวล
“เจ้าก็พูดได้สิ!”
หลิวเอี๋ยนส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “ข้าอายุเกินสามร้อยปีแล้ว และข้าก็โชคดีที่ได้ยืดอายุขัยออกไปด้วยความช่วยเหลือของผลมังกรไฟ แต่ว่า เมื่อคิดถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว ข้าผลาญพลังกาย พลังลมปราณ และพลังเวทย์ไปมาก และเหลือชีวิตอีกแค่ไม่นาน…”
“ด้วยสภาพของข้า ร่างกายของข้าจะเริ่มตายจากอายุขัย มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะทะลวงด่านได้ก่อนตายตกไป และข้าก็ทำได้เพียงใช้วิธีอ้อมเช่นนี้เพื่อทะลวงด่าน… เรื่องดีก็คือมีสิ่งของที่ลู่เหรินเจียทิ้งเอาไว้ และยังมีวิธีลับ มันบอกว่าข้าสามารถใช้ของวิเศษที่มีพลังธาตุรูปแบบเดียวกันจำนวนมากมาเพิ่มโอกาสที่ข้าจะทะลวงด่านได้ได้…”
หลิวเอี๋ยนมีความละโมบเขียนเอาไว้ทั่วใบหน้า
ถ้าเขาสามารถทะลวงด่านเข้าสู่ขอบเขตแยกธาตุได้ เขาย่อมสามารถยืดอายุขัยตัวเองได้ และดังนั้นจึงเต็มใจจะลองเสี่ยงดู
“ท่านเจ้าเมือง เหตุใดท่านจึงแบ่งปันข้อมูลลับเช่นนี้กับข้ากัน!”
ฟางหยวนถอนหายใจ
หลิวเอี๋ยนอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว!
หากข่าวนี้กระจายออกไป คิดดูว่าจะเกิดความวุ่นวายได้เพียงไหน!
นอกจากนี้ หลิวเอี๋ยนยังเปิดเผยออกมาอย่างซื่อตรงและหมดหวัง
“น่าเสียดาย… ข้าไม่สนใจที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมืองจริง ๆ ท่านลองมองหาผู้อื่นเถิด!”
ฟางหยวนส่ายหน้า
เขาไม่ได้สนใจที่จะมีอำนาจมากเพียงนั้นโดยการแลกมาด้วยอันตรายถึงชีวิต
มันไม่สำคัญสำหรับเขาเลยว่าหลิวเอี๋ยนจะตายหรืออยู่ ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต! มันไม่มีเหตุผลให้เขาต้องเข้าไปร่วมในเรื่องวุ่นวายเพียงเพื่อรางวัลอันน้อยนิด
“?”
คิ้วชี้ชันของหลิวเอี๋ยนขมวดเข้าหากัน
เขาคิดว่าเขาเข้าใจฟางหยวนดีพอ และยังช่วยเขาตั้งมากก่อนหน้านี้ ใครจะคิดว่าฟางหยวนจะปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเขาและยังทำให้เขารู้สึกว่าฟางหยวนนั้นไร้ความกตัญญู
“วิ้ง! วิ้ง!”
เมื่อนักรบศักดิ์สิทธิ์พิโรธขึ้นมา อากาศรอบ ๆ ก็ปะทุเป็นไฟ ลูกไฟจำนวนมากปะทุขึ้นมาในครั้งเดียว
กลางอากาศปรากฏเส้นสายหลากสีขึ้นและรวมตัวกันเป็นอสรพิษเพลิงและดูราวกับกำลังจะรวมตัวกันเป็นมังกร
‘เอ๋? สู้กันเพียงเพราะเห็นต่างกันเนี่ยนะ? นักรบศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟล้วนอารมณ์ดุจเปลวเพลิงเช่นนี้กันทุกคนหรืออย่างไร?’
พร้อมกับความสงสัยนี้ ฟางหยวนก็พบว่ามันประหลาดเมื่อมองหลิวเอี๋ยน
หลิวเอี๋ยนดูจะสูญเสียความนึกคิดไปหลังจากฝึกฝนมากเกินไป อย่างไรฟางหยวนก็ฝึกทั้งวิทยายุทธ์และเคล็ดวิญญาณ และหลิวเอี๋ยนยังต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการจัดการกับเขา ถ้าหลิวเอี๋ยนทำให้ทุกคนรู้ว่ามีความขัดแย้งภายในอี้ซานฝู จะเป็นผลดีอย่างไรต่อเขากัน?
มิใช่คนจากเซี่ยหยางฝูจะเฉลิมฉลองเลยหรือไร?
แต่ว่าฟางหยวนก็ไม่ได้ตั้งใจจะนั่งรอความตายอยู่เฉย ๆ
ก่อนที่เปลวเพลิงรอบตัวหลิวเอี๋ยนจะปะทุขึ้น หมอกบาง ๆ ก็เข้ามาล้อมรอบตัวฟางหยวนก่อนแล้ว มันหนาขึ้นและกระเพื่อมไปมาเป็นครั้งคราวราวกับก้อนเมฆ และปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง
“หืม… แค่ประกายแสงหิ่งห้อยก็กล้าประชันแสงจันทร์รึ? ตายซะ!”
หลิวเอี๋ยนโบกมือและประกายแสงสีแดงเก้าสายก็พุ่งออกไปราวกับลูกศรออกจากแล่ง และแทงทะลุทรวงอกฟางหยวนเป็นโพรงใหญ่
“ปุ!”
‘ฟางหยวน’ นั้นสีหน้าไร้ความรู้สึก เกิดการกระเพื่อมไปทั่วทั้งร่าง และค่อย ๆ กลายเป็นหมอกสลายไปอย่างช้า ๆ
“ก้าวมายา!”
ฟางหยวนแตกออกเป็นรูปเงาของตัวเองหลายรูปพุ่งออกไปจากประตูห้องเข้าสู่สวนที่ด้านนอก
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ที่กลางอากาศ อินทรีดำหางเหล็กบินวนอยู่และกรีดร้อง ราวกับมันเตรียมตัวที่จะร่อนลงมา
“เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
หลิวเอี๋ยนโกรธจัด เขาก้าวเท้าออกมาหลายก้าวและโบกมือ มังกรเพลิงสีเขียวก่อตัวขึ้นและพุ่งออกไปบนท้องฟ้า อ้าปากออกกว้างและกางกรงเล็บออก
“พลังธาตุสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ฟังคำสั่งของข้า…”
ขณะที่เขาว่าคาถา พลังธาตุรอบ ๆ ก็ปั่นป่วน เขาโกรธจนไร้สติไปแล้ว
‘หลิวเอี๋ยน… อยากตายเสียแล้วสินะ!’
ฟางหยวนหรี่ตา
“หยุดมือ!”
ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มต้นขึ้น เงาสีดำร่างหนึ่งก็ลอยเข้ามาที่กลางสวนและร่อนลงพื้น ขวางอยู่ระหว่างฟางหยวนและหลิวเอี๋ยน เป็นเหยี่ยวฉุยเฟิง นักพรตมู่หลี่กระโดดลงจากหลังนก “พวกท่านทั้งคู่ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ของอี้ซานฝู เหตุใดจึงจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้? เจ้าสำนักฟางนั้นยังเยาว์และตรงไปตรงมา ดังนั้นก็ควรขอโทษและปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป…”
เขาตั้งใจจะมาเป็นตัวกลาง และคลี่คลายสถานการณ์ หลิวเอี๋ยนสงบลงและมังกรไฟก็สลายตัวไป
“นักพรตมู่หลี่พูดถูก ข้าเป็นฝ่ายท้าทายท่านเจ้าเมือง ได้โปรดรับการขออภัยและให้อภัยข้าด้วย!”
เห็นภาพนี้แล้ว ฟางหยวนก็ยังคงรู้สึกสงสัย แต่เขาก็รู้ว่าควรจะเป็นฝ่ายถอยก่อน ดังนั้นจึงรีบคารวะและกล่าวขออภัย
“อืม… ลืมมันไปเถอะ!”
หลิวเอี๋ยนไม่สนใจเขา และนักพรตมู่หลี่ก็ดีดนกหวีดขึ้นกลางอากาศ ขณะที่มันลอยขึ้นไปก็เกิดเสียงหวีดแหลม
“ทหารสลายตัวได้!”
ทหารที่ตื่นตัวขึ้นมาหันกลับ และก็ราวกับน้ำซึมผ่านทราย พวกมันหายตัวไปในทันที
“ข้ายังมีเรื่องสำคัญอื่นต้องทำ ต้องขอตัวก่อนแล้ว!”
ฟางหยวนประสานหมัดอย่างสุภาพ กระโดดขึ้นหลังอินทรีดำหางเหล็กและบินออกไป
“ใครจะรู้ว่าเด็กคนนี้มีความสามารถฝึกฝนจนถึงขอบเขตนี้ได้… นักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ฝึกฝนอย่างหนักบางคนยังไม่สามารถขึ้นถึงระดับเดียวกับเขาตอนนี้ได้ด้วยซ้ำ ข้าเกรงว่าข้าจะใจร้อนเกินไปในการจัดการเรื่องวันนี้…”
เมื่อเขาดำหายไป หลิวเอี๋ยนก็ถอนหายใจ
ตอนที่ลงมือกัน เขาถึงได้พบว่าระดับการฝึกตนของฟางหยวนนั้นถึงระดับไหนแล้ว!
“เขามีคุณสมบัติมากเกินพอที่จะขึ้นเป็นเจ้าเมือง”
นักพรตมู่หลี่มีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน “เขามีพรสวรรค์จริง ๆ!”
เขาเห็นความสามารถของฟางหยวนและรู้ว่าเจ้าเมืองคงไม่สามารถหยุดความร้อนแรงของการต่อสู้ไว้ได้ทำให้เขาต้องก้าวออกมาเป็นคนกลาง
ไม่อย่างนั้น ถ้าสองคนสู้กันจริง ๆ หลิวเอี๋ยนอาจจะไม่สามารถจัดการกับฟางหยวนได้ และยังอาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายและผลที่ตามมาย่อมรุนแรงมาก
มันย่อมไม่เป็นผลดีต่อแผนการแทรกซึมของพวกเขา
“ส่งคำสั่งลงไป!”
หลิวเอี๋ยนย่นคิ้ว “ถ้ามีใครแพร่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ออกไป ข้าจะสังหารมันทั้งตระกูล!”
“ขอรับ นายท่าน!”
นักพรตมู่หลี่ขอตัวออกไป แต่กลับหายตัวไปอย่างลึกลับ…
…
วันที่สองในอี้ซานฝู
ผู้คนมากมายมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมตลาดใหญ่ การค้าขายเป็นไปได้ด้วยดี
ฟางหยวนเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีน้ำตาลเดินเข้าไปในตลาด
แม้ว่าพวกเขาจะลงมือกันแค่กระบวนท่าเดียว หลิวเอี๋ยนก็คงรู้ความสามารถของเขาแล้ว พร้อมกับอินทรีดำหางเหล็ก ตราบใดที่เขาไม่ติดกับดัก เขาย่อมสามารถหนีรอดได้!
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมไม่มีความหมายที่จะหาเรื่องกับเขา พวกเขาเพียงนับเขาเป็นศัตรูเพิ่มอีกคนเท่านั้น
‘เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งให้ปฏิเสธเขา…’
‘เห็นพลังของหลิวเอี๋ยนเมื่อวานนี้แล้ว แม้ว่ามันจะยังมีความกดดันอย่างแรงกล้า ข้าก็ยังพบร่องรอยพลังชั่วร้ายมาจากหน้าผากของเขาได้ ดูเหมือนว่าวิธีลับที่ลู่เหรินเจียสะสมเอาไว้นั้นไม่ใช่ของดี และมันย่อมมีผลเสียรุนแรงตามมา…’
ฟางหยวนเดินเอื่อยไปตามร้านค้าและหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อดูของ
ด้วยขอบเขตการฝึกตนของเขา เขาย่อมไม่เสียตามองของธรรมดาใด ของดีบางอย่างก็ยังไม่สามารถสะดุดตาเขาได้ และเขาก็รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถพบเห็นของที่ดีเด่นใดเลย
‘เอาเถอะ.. มันก็ดูไม่มีเหตุผลที่ของดี ๆ จะล้วนแล้วตกอยู่ในมือข้า นั่นมันเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไปแล้ว!’
ฟางหยวนหัวเราะและมองไปที่พระอาทิตย์
บ่ายคล้อยแล้ว และแสงอาทิตย์อุ่น ๆ ก็ส่องต้องร่างเขา ทำให้เขารู้สึกแตกต่างออกไป
ขณะที่เขามองหาร้านอาหารเพื่อเติมเต็มกระเพาะของตน ม้าหน้าตาธรรมดาตัวหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
“อู่จงฟาง พบกันอีกแล้ว!”
เมื่อม่านถูกเปิดออก ก็เผยให้เห็นเซี่ยหลิงอวิ๋นที่ดูตื่นเต้น “เข้ามาในรถม้าเถอะ พวกเราต้องคุยกัน!”
“อีกแล้ว?”
ฟางหยวนส่ายหน้า แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอี้ซานฝูย่อมไม่สามารถซ่อนเร้นจากสายตาของหลิวเอี๋ยนได้ และนอกจากนี้ เขาเพิ่งประมือกับหลิวเอี๋ยนไปเมื่อวาน เขาก็ยังคงตัดสินใจเดินขึ้นรถม้าไป
“ไปร้านอาหารที่ดีที่สุด!”
เขาสั่งนางเมื่อเข้าไปในรถม้า แม้ว่าเซี่ยหลิงอวิ๋นนั้นเป็นเจ้าของรถม้าก็ตาม
“ในเมื่อท่านอู่จงสนใจ หลิงอวิ๋นก็ยินดีไปเป็นเพื่อน หากคราวหน้าท่านอู่จงไปที่เมืองหลวง หลิงอวิ๋นย่อมไม่ลืมพาท่านไปทานอาหารมื้อเยี่ยมแน่นอน!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นกัดริมฝีปากและยิ้ม
“ขออภัยด้วย แต่ข้าอาศัยที่นอกเมืองและไม่สนใจในเมืองหลวง!”
ฟางหยวนตอบอย่างไร้เยื่อใย
“อย่าได้ใส่ใจเลย!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นกล่าวขออภัยและมีท่าทางจริงจังขึ้น “เป็นหลิงอวิ๋นไม่ดีเองเมื่อครั้งก่อน ได้โปรดให้อภัยด้วย!”
“ในเมื่อเจ้าอยู่ตรงนี้แล้ว ก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องการต่อสู้เมื่อคืนแล้ว อย่างไรเจ้าก็หยุดขอความช่วยเหลือจากข้าได้แล้ว เจ้าเมืองของเรานั้นชื่นชอบสงคราม และดูจะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจเขาได้…”
ฟางหยวนส่ายหน้า
“อันที่จริง…”
เซี่ยหลิงอวิ๋นตัวสั่นและเกือบจะตัวแข็งอยู่ในรถม้า “หรือว่าประเทศเซี่ยจะจบลงเสียแล้ว?”
“หยุด!”
ฟางหยวนโบกมือ “เหตุใดเจ้าจึงหมดหวังเช่นนี้? เจ้าไม่คิดหรือว่าเมื่อรวมกำลังจากทั่วประเทศเซี่ยแล้วจะยังไม่สามารถเอาชนะหลิวเอี๋ยนได้?”
“ข้าเอาชนะเขาได้แล้วอย่างไร? ประเทศข้างเคียงอย่างหยวนและอู่ล้วนจับตามองอยู่ เมื่อประเทศของเราตกอยู่ในความวุ่นวาย พวกมันย่อมส่งทหารมาโจมตีเรา…”
เซี่ยหลิงอวิ๋นเค้นหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ช่วยหลิวเอี๋ยนทะลวงจุดติดขัดในขอบเขตรวมธาตุเล่า? ถ้าเขาสามารถทำได้สำเร็จ เช่นนั้นประเทศข้างเคียงจะกล้าโจมตีเราเชียวหรือ?”
ฟางหยวนยังคงสงสัยและรอเซี่ยหลิงอวิ๋นตอบไม่ไหว “นั่นก็ถูกเช่นกัน… เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อในตัวหลิวเอี๋ยน? นี่ไม่ใช่ทางแก้ระยะยาว ถ้าเขายังคงละโมบไม่สิ้นสุด นั่นก็จะเป็นหายนะภัยแล้ว! ดังนั้น พวกเจ้าคงต้องหวังให้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว”
ยิ่งมีฐานะสูงส่ง ก็ยิ่งหวังให้ระดับล่างอยู่เฉยมากขึ้นเท่านั้นเพื่อให้ลำดับชั้นนั้นคงอยู่ไปตลอดกาล
ถึงตอนนี้ ก็ปรากฏ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ หรือ ‘กบฏ’ ขึ้นแล้ว การต่อต้านของพวกเขากลับไม่แข็งแกร่งพอ
แม้ว่าหลิวเอี๋ยนจะไม่สนใจทั้งสองสิ่งนั้น แต่เขาก็ยังดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ยกเว้นแต่จะมีการทะลวงด่านได้ มิเช่นนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงจะน่ากลัวมากทีเดียว