สิ้นสุดเดือนห้า
เพราะการตายของเจ้าเมืองเซี่ยหยางฝูและการหนีหายไปของเจ้าเมืองชิงฉวนฝู ทหารของอี้ซานฝูก็เข้าครอบครองทั้งเซี่ยหยางฝูและดูเหมือนจะมีเมืองหลวงเป็นเป้าหมายถัดไป
ไม่นาน อิทธิพลของหลิวเอี๋ยนก็เติบโตขึ้นหลายเท่าตัวและเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักกันไปทั้งประเทศ
“เซี่ยอวิ๋นชิงตาย? หลานเสี่ยวเฉิงหลบหนีไปพร้อมอาการบาดเจ็บ?”
ตอนที่เขากลับมาที่มณฑลชิงเหอ ฟางหยวนก็ได้รับข่าวและไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้! นี่จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อหลิวเอี๋ยนขึ้นถึงขอบเขตแยกธาตุเท่านั้น! ถ้าเขายังคงอยู่ในขอบเขตรวมพลังธาตุ เขาย่อมไม่ใช่คู่มือของศัตรูสองคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเขา… นอกเสียจากว่า…”
ฟางหยวนถอนหายและมองโจวเหวินอู่ “มีรายละเอียดอื่นอีกไหม?”
“มีขอรับ!”
โจวเหวินอู่โค้งคารวะ “จากแหล่งข่าวของเรา เจ้าเมืองทั้งสามต่อสู้กันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อหลิวเอี๋ยนออกกระบวนท่า เปลวเพลิงแผดเผาเมฆบนฟ้า ทำให้ทั้งท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงราวกับถูกเพลิงผลาญ…”
“หลังจากนั้น เจ้าเมืองหลิวก็เข้าครอบครองเซี่ยหยางฝูและรวบรวมอู่จงและนักรบศักดิ์สิทธิ์ในเมืองสาบานตนจงรักภักดีต่อเขา หากผู้ใดไม่ทำตาม ก็จะถูกจัดการอย่างสาหัส!”
ถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป “นายท่าน ข้าควรทำอย่างไร?”
“หมู่เมฆถูกเปลวเพลิงแผดเผา?”
ฟางหยวนขมวดคิ้ว “นี่ค่อนข้างน่าประหลาด…”
ตามที่เขารู้มา พลังธาตุไฟของหลิวเอี๋ยนนั้นเป็นสีเขียว
แน่นอนว่านี่เป็นแค่รายละเอียดเล็กน้อย สิ่งที่สำคัญคือหลิวเอี๋ยนผู้นั้นเอาชนะได้ เหตุใดเขาจึงไม่ไปต่อและเข้ายึดครองเมืองหลวงแล้วขึ้นเป็นราชา แต่กลับรวมผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายเอาไว้ในเซี่ยหยางฝู?
‘เป็นไปได้ไหมว่า… เขายังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตแยกธาตุ และชนะเพราะว่าเขาใช้วิธีอันไม่สมควร… แล้วตอนนี้ก็ผลาญพลังไปจนหมดสิ้นแล้ว…’
ฟางหยวนครุ่นคิด และขณะที่เหลือบมองคนของเขาที่ดูกังวลเขาก็ยักไหล่ “ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็ทำไปตามนั้น ในเมื่อท่านเจ้าเมืองเชิญข้ามา ข้าก็จะไป…”
อย่างไร การเข้ายึดครองเซี่ยหยางฝูได้ย่อมหมายความว่าหลิวเอี๋ยนยื่นมือเข้าไปในสมบัติและสิ่งของล้ำค่าของคนพวกนั้นแล้ว เขาไม่รู้ว่าหลิวเอี๋ยนสามารถทะลวงด่านได้จริงหรือไม่ และค่อนข้างอยากรู้เรื่องนั้น
‘แน่นอนว่า ก่อนอื่น ข้าต้องตั้งใจกับการฝึกตนของข้า!’
หลังจากให้คนของเขาออกไปแล้ว ฟางหยวนก็ไปที่ห้องฝึกวิชานั่งลงขัดสมาธิ เพียงพลิกฝ่ามือ ยาเม็ดพลังธาตุที่ได้มาจากที่พำนักลับของลู่เหรินเจียก็ปรากฏขึ้นมา
“คุณสมบัติทางยาของเม็ดยาวิญญาณนี้รุนแรงนัก แม้ไม่สามารถเทียบได้กับข้าววิญญาณที่กินได้ทุกวัน แต่ว่า ข้าก็ยังสามารถใช้มันเพิ่มระดับการฝึกตนของข้าได้เป็นครั้งคราว!”
ฟางหยวนครุ่นคิด “ข้าได้ทดสอบสองสามเม็ดกับผู้อื่นแล้ว และผลที่ได้ก็ยอดเยี่ยมมากจริง ไม่มีผลข้างเคียง และน่าจะปลอดภัยที่ข้าจะลอง… ใครจะคิดว่าในที่สุดแล้วข้าก็ยังต้องใช้ยาเม็ดวิญญาณเพื่อช่วยในการฝึกตน?”
โดยไม่ลังเล ดวงตาของเขาเป็นประกายวาบขึ้นขณะโยนยาเม็ดพลังธาตุเข้าไปในปาก เขาหลับตาลงขณะปล่อยให้ยาออกฤทธิ์
ฟางหยวนนั้นมีประสบการณ์ในการใช้ของวิเศษ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลองกินยาวิเศษ
ขณะที่ยาลงไปสู่กระเพาะอาหารของเขา มันก็ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป
สัมผัสได้ถึงพลังธาตุที่แข็งแกร่งและเข้มข้น เหมือนมังกรตื่นจากการหลับใหลว่ายวนอยู่ในร่างของเขา กล้ามเนื้อของเขาขยาย และรู้สึกเหมือนผิวของเขาถูกรั้งตึง
‘ยาเม็ดวิญญาณนี้ยังแข็งแกร่งกว่าข้าววิญญาณในแง่คุณสมบัติทางยา!’
ยาเม็ดวิญญาณนี้สร้างจากปราณพลังของของวิเศษหลายชนิด ดังนั้นพืชวิญญาณทั่วไปจึงเทียบไม่ได้
ตามการประเมินของฟางหยวน พลังธาตุจากหนึ่งเม็ดยาน่าจะเทียบเท่ากับการกินข้าววิญญาณถึง 66 ชั่ง! นี่เป็นความสามารถเฉพาะของจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฟางหยวนก็ลืมตาขึ้น
“พลังธาตุของอู่จงที่จุดตันเถียนของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ น่าเสียดายที่ยังคงไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้…”
เมื่อรู้สึกได้ถึงความก้าวหน้าของการฝึกตนของตนเอง เขาก็ขมวดคิ้ว “แต่ว่า พลังธาตุความฝันของข้าก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน นี่ก็ยังอยู่เท่า ๆ กับระดับก่อนหน้า และดูเหมือนว่าจะฝึกฝนได้ผ่านการแฝงฝันและการสร้างฝันเท่านั้น!”
เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้ เขาก็ใช้พลังเวทย์ตรวจสอบทั้งร่าง และสีหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง “แม้ว่ายาวิญญาณจะยอดเยี่ยม แต่ก็ยังเกรงจะมีผลเสียและอาจจะรุนแรงขึ้นตามปริมาณยาที่ได้รับ… แต่ว่า ข้าก็ยังไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะกินยาวิญญาณได้ถึงวันละเม็ด และจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุชั้นสูงพวกนั้นก็ใช้ยานี้กันเป็นกิจวัตร ซึ่งหมายความว่ามันน่าจะไม่มีความเป็นพิษ…”
…
ระดับขั้นต่อไปจากอู่จงนั้นไม่มี ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าพลังธาตุจะพัฒนาไปมากเพียงได
ฟางหยวนหยุดกินยาเม็ดพลังธาตุ และหันมาสนใจกับยาเม็ดสงบใจแทน
ทีแรกเขามองหลิงอิ๋นเอาไว้
แม่นางผู้นี้เป็นศิษย์วิญญาณและเทียบได้กับ [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 11)] อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ นางหมดสภาพเพราะฟางหยวนและสภาพจิตใจยังเกือบจะแตกสลายด้วย
ถ้าฟางหยวนต้องการ เขาสามารถเปลี่ยนความคิดของแม่นางผู้นี้และทำให้นางกลายเป็นคนรับใช้ผู้ภักดีได้
แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายและไม่ได้มีความประสงค์ไม่ดีใดถึงจะต้องเปลี่ยนความทรงจำของนางจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนั้น เขาเพียงต้องการแก้ไขความเกลียดชังที่มีต่อเขาในจิตใจใต้สำนึกของนาง และเขายังสามารถเปลี่ยนเป้าหมายความเกลียดชังของนางไปไว้ที่หลิวเอี๋ยน ก่อนที่จะค่อย ๆ ทำให้นางภักดีต่อเขา
ในคุก ภายในหมอกสะกด หลิงอิ๋นหลับใหลอย่างสงบและดูไร้พิษสง
“ฝันดีนะ!”
หลังจากเขาเปลี่ยนเปลงความทรงจำของนางเล็กน้อย ฟางหยวนก็ลุกขึ้นแล้วออกจากคุกไป
เปลี่ยนความทรงจำของผู้อื่นนั้นเป็นกระบวนการใหญ่โต แม้ว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่นาทีเดียว กระบวนการก็ยังต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองวัน
แต่ว่า เมื่อทำเสร็จแล้ว ความภักดีของนางก็เชื่อถือได้และนางก็เป็นส่วนหนึ่งในพวกเขาแล้วตอนนี้
“ถ้าพูดถึงเรื่องนี้…”
เดินผ่านห้องขังอีกหลายห้อง ฟางหยวนก็มองใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นและคิดกับตัวเอง “พวกเราสามารถทดลองวิธีนี้กับคนตระกูลหลินได้ โดยเฉพาะหลินเหลยเยว่และหลินเปิ่นชู และนั่นก็ช่วยโจวเหวินอู่จากปัญหาพวกนี้ด้วย…”
พูดถึงวันข้างหน้าของตระกูลหลินแล้ว แม้ว่าฟางหยวนจะปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของโจวเหวินอู่ แต่มันก็เพียงทำให้เขารู้สึกขัดแย้งมากขึ้น
เขาไม่สามารถปล่อยคนพวกนี้ไปได้ แต่ก็ฆ่าคนพวกนี้ไม่ได้เช่นกัน และได้แต่ขังพวกเขาเอาไว้ในคุก
ความลำบากที่ตระกูลหลินต้องเผชิญนั้นก็มากพอแล้ว ถ้าพวกเขาสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้อีกในวันข้างหน้า พวกเขาก็สามารถเป็นอิสระได้
ส่วนหลินเหลยเยว่ ในเมื่ออาจารย์เวิ่นซินมองเห็นความสามารถของนาง เช่นนั้นนางก็คงไม่เรียบง่ายเพียงแค่มีความสามารถในการฝึกตนใช่หรือไม่?
“ไป!”
หลังจากออกจากคุกแล้ว ฟางหยวนก็เรียกอินทรีดำหางเหล็กและบินไปสถานที่ที่ขังสืออวี้ถงเอาไว้
“เจ้ามาอีกแล้ว!”
ภายในถ้ำ สืออวี้ถงนั่งขัดสมาธิอยู่ สีหน้านิ่งเฉย
ตั้งแต่นางรู้ว่านางไม่สามารถล่อลวงฟางหยวนได้ด้วยสิ่งใด และยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ฟางหยวนปล่อยนางไปได้ นางก็กลายเป็นเช่นนี้มาตลอด
แต่ว่า วันนี้สืออวี้ถงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอันตรายและตึงเครียดขึ้น
‘เพื่อเพิ่มระดับการฝึกฝนและพลังธาตุฝันของข้า ข้าต้องเข้าสู่ความฝันมากมายและยังต้องสร้างฝัน แม้แต่ศิษย์วิญญาณก็ไม่สามารถต่อต้านความสามารถในการสร้างฝันของข้าได้อีกต่อไป เป้าหมายถัดไปที่ข้าควรจะลองก็คืออู่จง…’
ฟางหยวนตัดสินใจแล้วและโบกมือ หมอกสีขาวปรากฏขึ้น
“เจ้าจะทำอะไร?”
สืออวี้ถงตระหนก
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความไม่รุ้ พลังธาตุของเธอนั้นถูกผนึกเอาไว้โดยฟางหยวน และเขาก็สามารถทำอะไรกับนางก็ได้ และเขายังดูค่อนข้างจริงจัง และยังดูมีความหมายมาดอันลึกลับ— เท่าที่เห็น ในท้องของนางรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้
นางจนปัญญา ขณะที่ฟางหยวนนั้นควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้!
ขณะที่หมอกสะกดลอยมา สืออวี้ถงพยายามขัดขืนอย่างหนักแต่ก็ไร้ประโยชน์ ดวงตาของนางปิดลงเมื่อนางหมดสติไป
ฟางหยวนยังคงมีท่าทางจริงจัง
ถ้าเขาล้มเหลวในการเข้าสู่โลกแห่งความฝันของอู่จง ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรง
“หวังว่า ยาเม็ดสงบใจจะให้ผลดีอย่างที่บอกเอาไว้ และหวังว่ามันจะช่วยทำให้จิตใจของข้ากระจ่าง!”
ฟางหยวนรู้ว่าที่ระดับการฝึกตนของเขานี้ มันยังไม่พอที่จะเข้าสู่ความฝันของอู่จง นอกเสียจากเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากยาวิเศษ
ดังนั้น เขาจึงกลืนยาลงไปและแตะปลายนิ้วลงที่หน้าผากสืออวี้ถง “แฝงฝัน!”
…
มณฑลชิงเหอ สำนักกุยหลิง
ประตูทั้งสูงและสง่างาม
กลุ่มเด็กสวมชุดคลุมแบบนักยุทธ์เข้าแถวอยู่หน้าสำนักกุยหลิง
“จงฟัง สำนักกุยหลิงเป็นสำนักอันดับหนึ่งในมณฑลชิงเหอ เป็นเกียรติของพวกเจ้าที่ได้เข้าร่วมสำนัก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องสาบานตนจงรักภักดีและจะไม่ละเมิดกฎข้อบังคับของสำนัก มิเช่นนั้น…”
มีผู้ฝึกสอนวิทยายุทธิ์อยู่ด้านหน้าคอยบอกกลุ่มเด็ก ๆ และเมื่อเขาพูดใกล้จบ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเข้มงวด
“ตอนนี้ เราจะเริ่มแยกพวกเจ้าไปอยู่กับอาจารย์ ก้าวออกมาเมื่อข้าขานชื่อเจ้า!”
เสียงของผู้ดูแลดังมา “จ้าวหู่ หวังเอ้อ เฉียนซุน… พวกเจ้าอยู่กับอาจารย์กุ้ย! ก้าวออกมา!”
“อาจารย์!”
เด็กทั้งสามคนก้าวไปข้างหน้าและคารวะผู้ชายในชุดสีน้ำตาลขณะเรียกเขาเป็นอาจารย์
“อืม ตามข้ามา!”
ชายในชุดสีน้ำตาลดูจริงจังและดูไม่ยินยอมในเวลาเดียวกัน นำเด็กทั้งสามคนจากไป
“กลุ่มต่อไป โจวลั่วชิว เปาหงเอี่ยน อวี้ปี้เชิง พวกเจ้าอยู่กับอาจารย์จาง!”
เด็กซุกซนอีกสามคนก้าวออกมาแล้วคารวะอาจารย์หญิงวัยกลางคน
เสื้อผ้าของพวกเขาบ่งบอกว่าพวกเขาค่อนข้างฐานะดี อาจารย์หญิงดูใจดีและดูเก่งกาจกว่าอาจารย์ในชุดสีน้ำตาล และนางก็พยักหน้าก่อนจะพาเด็กทั้งสามคนไปกับนาง
“กลุ่มต่อไป…”
พร้อม ๆ กับเสียงนี้ จำนวนของเด็ก ๆ ก็ลดน้อยลงเรื่อย ๆ และในที่สุดก็เหลือเพียงไม่กี่คน
“นี่มันแปลกจัง… ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
เด็กคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าเก่าขาดราวกับขอทานน้อยมีสีหน้าสงสัย
ตอนนั้นเองที่หมอกสะกดหมุนวนอยู่ในหัวของเขา ทำให้เขาปวดหัว
“ข้า…เป็นใคร?”
“ฟางหยวน! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
ถึงตรงนี้ มีเด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่งเข้ามาหาเขาและถามเขาอย่างวิตก
“ฟางหยวน? ฟางหยวน! ข้าคือฟางหยวน!!”
ขอทานน้อยพึมพำกับตัวเองและยิ้มออกมา “ขอบคุณมาก น้องสาว!”
หลังจากรู้ตนตื่นแล้ว ฟางหยวนก็สัมผัสได้ว่าพลังของเขาเติบโตราวกับสัญชาตญาณสัตว์ป่าและกวาดตามองโดยรอบ “อืม… ที่นี่คือสำนักกุยหลิงจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณเม็ดยาวิเศษ ไม่อย่างนั้น ข้าก็คงหลงอยู่ในโลกแห่งความฝันนี้…”
ที่ข้าง ๆ เขา เด็กหญิงน้อยมองเขาอย่างไม่รู้เรื่องราว
“ลืมมันไปเถิด!”
ฟางหยวนรู้สึกรำคาญนิด ๆ และหยิกแก้มเด็กหญิง มันให้ความรู้สึกต่างไปจากหลานรั่วเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถาม “เจ้าชื่ออะไร?”
“สืออวี้ถง!”
เด็กหญิงยิ้มและส่งผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้เขา “เอ้า เช็ดหน้าเจ้าเสีย!”
“อืม?!”
ฟางหยวนรับผ้าเช็ดหน้ามาอย่างตกใจและสับสน
สวรรค์เล่นตลกอะไรกับเขาอยู่ใช่ไหม?