“ไม่มีความแตกต่างระหว่างโลกจริงและโลกแห่งความฝัน?”
กลับมาที่ยอดเขาชอุ่ม ฟางหยวนชงชาชำระจิตให้ตัวเองกาหนึ่ง สีหน้างุนงง
มันเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ตอนที่เข้าสู่โลกแห่งความฝันครั้งนี้
ถ้ายาเม็ดสงบใจไม่ออกฤทธิ์ช่วยกระตุ้นฟางหยวนเอาไว้ เขาน่าจะไม่สามารถรู้ตื่นขึ้นได้ด้วยตัวเอง
แม้ว่าเขาจะรู้ตัวตื่นได้ในโลกแห่งความฝันครั้งนี้ ฟางหยวนก็ยังคงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“โลกแห่งความฝันนั้นให้ผลอย่างอื่นด้วย!”
กลิ่นหอมของชาวิญญาณกรุ่นเข้าจมูกของเขา และฟางหยวนก็แตะนิ้วลงหว่างคิ้วของตัวเอง “ช่วงนี้ข้ารีบร้อนเพิ่มระดับการฝึกตนของข้า ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข้าจะรู้สึกว่าสภาพจิตใจของข้าไม่มั่นคง!”
แม้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้จะน่าตระหนก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บ มันเป็นการเตือนเขา
ตั้งแต่เขาได้มาเป็นจ้าวแห่งความฝัน ระดับการฝึกตนของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังคิดว่ามันไม่พอและตัดสินใจใช้ยาวิเศษเพื่อผลักดันตัวเองไปอีก ดังนั้น นี่ก็คือผลสะท้อนกลับ
ถ้าเขายังไม่ตระหนักถึงมันเร็ว ๆ นี้และไม่สามารถรู้ตนว่าควรจะฟื้นฟูตนเองก่อนด้วยชาวิญญาณและผลไม้วิเศษ เขาอาจจะจบลงที่การหลงอยู่ในโลกแห่งความฝัน และจะยากมากสำหรับเขาที่จะหาหนทางกลับมา!
ขณะที่เขาชงชา ฟางหยวนก็นึกถึงพิธีชงชาสมาธิของอาจารย์เวิ่นซิน เขาเพ่งความสนใจไปกับการจัดการกับจิตใจตัวเองให้ใสและบริสุทธิ์
“ข้าได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้!”
ฟางหยวนจิบชาและมองหน้าต่างสถานะของตัวเอง
“ชื่อ: ฟางหยวน
พลังกาย: 11.2
พลังลมปราณ: 11.5
พลังเวทย์: 10.0
สายวิชา: จ้าวแห่งฝัน
การฝึกตน: [ผู้สร้างฝัน (สำเร็จแล้ว)], อู่จง
วิทยายุทธ์: [กรงเล็บอินทรีเหล็ก (ระดับ 13) (???)], คาถาสะกด, ก้าวมายา
ทักษะ: [การรักษา (ระดับ 3)], [การดูแลพืช (ระดับ 5)]”
“ไม่เพียงแค่พลังกาย พลังลมปราณ และพลังเวทย์ของข้าจะเพิ่มขึ้น ข้ายังสำเร็จขอบเขตของผู้สร้างฝันจากการเข้าสู่ความฝันของอู่จงครั้งนี้!”
หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อเขาสำเร็จระดับผู้สร้างฝันแล้ว ก็เทียบเท่ากับนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับสูงสุดของขอบเขตรวมพลังธาตุ และยังแตะระดับต่ำสุดของขอบเขตแยกธาตุด้วย!
นี่ยังเป็นหลักฐานแสดงว่าหลิวเอี๋ยนและเซี่ยอวิ๋นชิงและหลานเซียวเฉิงนั้นมีความสามารถมากพอที่จะเป็นเจ้าเมืองได้!
“แน่นอนว่า… แม้ว่าระดับแยกธาตุนั้นจะยากเข้าถึง แต่ระดับสวรรค์นั้นยากกว่า! ทำให้ของจากโลกแห่งความฝันมาปรากฏขึ้นในโลกแห่งความจริง แม้ต่อให้เป็นหญ้าหนึ่งต้น ดอกไม้หนึ่งดอก ทรายสักเม็ดหรือหินเล็ก ๆ สักก้อน มันก็ยังยากที่จะทำได้!”
ระดับที่ให้จ้าวแห่งความฝันเข้าสู่โลกแห่งความฝันเพื่อสร้างฝันนั้นก็คล้ายกับนักรบศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในระดับรวมธาตุ ฟางหยวนเดาว่าขอบเขตแห่งสวรรค์นั้นเทียบเท่ากับขอบเขตแยกธาตุ!
ฟางหยวนรู้ว่านักรบศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับแยกธาตุนั้นจะมีพลังเวทย์แบบไหน แต่สำหรับจ้าวแห่งความฝันที่ระดับสวรรค์ จ้าวแห่งความฝันสามารถเปลี่ยนพลังที่สะสมเอาไว้ไปเป็นความสามารถในการต่อสู้ได้ และนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย!
“ถ้าข้าขึ้นไปอยู่ขอบเขตแห่งสวรรค์ ถ้าหลิวเอี๋ยนอยู่ที่ระดับแยกธาตุนั้นไม่ได้นำนักรบศักดิ์สิทธิ์คนอื่น ๆ ที่ระดับเดียวกันมาร่วมต่อสู้กับข้าด้วย ข้าก็ไม่กลัว! น่าเสียดาย…”
ฟางหยวนส่ายหน้าและถอนหายใจ
“ระดับสวรรค์นั้นมีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว คือต้องสามารถนำสิ่งของจากโลกแห่งความฝันมาที่โลกแห่งความจริงได้! อาจจะเป็นแค่ทรายสักเม็ด นั่นก็เพียงพอแล้ว!”
ขณะที่เขาคิดถึงเงื่อนไขของการทะลวงด่านแล้ว เขาก็บิดปากยิ้ม
จิตใจมีผลต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และสติสัมปชัญญะก็มีผลต่อความเป็นจริง ของเช่นนี้จะได้มาง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน?
ขอบเขตแห่งสวรรค์!
นี่เป็นระดับที่จ้าวแห่งความฝันทั้งปวงล้วนปรารถนาที่จะไปให้ถึง อาจจะพูดได้ว่าจ้าวแห่งความฝันส่วนมากที่ทะลวงผ่านมาได้สำเร็จล้วนติดอยู่ที่ขอบเขตนี้
ภูเขา พืชพรรณ แม่น้ำ ทะเลสาบ และสิ่งมีชีวิตทั้งปวง… ทั้งหมดนี้ ถึงที่สุดแล้วนั้นก็ก่อตัวขึ้นเป็นส่วนเล็ก ๆ ของของโลกจริง แล้วมันจะไปถึงง่าย ๆ ได้อย่างไร?
“โชคร้าย… ประเทศเซี่ยและประเทศข้างเคียงอย่างหยวนและอู่ล้วนไม่สนใจ ประเทศเหล่านี้ไม่มีอู่จงหรือจ้าวแห่งฝัน ไม่อย่างนั้น ข้าคงจะมีผู้อื่นให้ปรึกษาและไม่ต้องดิ้นรนเสาะหาหนทางด้วยตนเอง…”
ฟางหยวนรู้สึกเสียดาย เขาลุกขึ้นและเดินเข้าไปในสวน
เมื่อทักษะการดูแลพืชของเขามาถึงระดับ 5 เขาสามารถร่นระยะเวลาที่พืชใช้ในการเติบโตได้ ดังนั้นฟางหยวนจึงปลูกเมล็ดพืชทั้งหมดที่เขามี
ผลที่ชัดเจนที่สุดก็คือข้าวหยกเพลิง มันงอกและเติบโต และจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในไม่ช้า
เช่นเดียวกันกับพืชวิญญาณชนิดอื่น แม้แต่เมล็ดของผลหยกแดงที่ใช้เวลานานในการเติบโตก็มีการเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกหมดหวังไปแล้ว
“คงยากนักที่จะได้ผลหยกแดง แต่ข้ามีลูกไผ่อยู่ตั้งมาก…”
ฟางหยวนจัดการเก็บเกี่ยวลูกไผ่จากต้นไผ่วิญญาณเผื่อกรณีขัดสนและเป่าปากยาว ๆ ครั้งหนึ่ง
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
ที่บนฟ้า กลุ่มเมฆแยกออกและราชานกหงเอี่ยนป๋ายก็บินลงมา มันร่อนลงตรงหน้าฟางหยวนและถูไถหัวเข้ากับตัวเขา มันแสดงความใกล้ชิดกับฟางหยวน
“เสี่ยวป๋าย ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยแล้วคราวนี้!”
ฟางหยวนแตะขนของราชานกหงเอี่ยนป๋ายและยิ้มให้มัน
นกตัวนี้นั้นดีกว่าอินทรีดำหางเหล็กในด้านความสามารถ มันมีพลังเทียบเท่ากับ [ผู้ฝึกยุทธ์ (ประตูทองที่ 12)] และถ้าเกิดมันคลั่ง มันก็อาจจะสู้ได้สูสีกับอู่จง!
เพราะว่าเขาจะมุ่งหน้าไปเซี่ยหยางฝู มันจึงเป็นการเดินทางที่อันตรายดังนั้นฟางหยวนจึงต้องการพาตัวอื่นที่บินได้ไป
“อินทรีดำหางเหล็ก ฮวาหูเตียว พวกเจ้าช่วยดูแลพืชวิญญาณตอนที่ข้าไม่อยู่ด้วยนะ!”
ฟางหยวนตัดสินใจไปแล้ว และไม่สนใจว่าสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวจะคิดอย่างไร เขาขึ้นหลังเจ้านกและบินขึ้นฟ้าไปในทันที
…
“มีข่าวลือว่าตั้งแต่หลิวเอี๋ยนเข้าไปเซี่ยหยางฝู เขาไม่ได้โจมตีเมืองหวงสือ แต่กลับสั่งให้เผาทั้งเมืองและจำนวนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือตายก็เกือบถึงหมื่นคน จากวันนั้นเป็นต้นมา เมื่อไหร่ที่เขาพบเมืองที่ต่อต้าน เขาจะสั่งให้เผาเมือง และเซี่ยหยางฝูก็ดูจะกลายเป็นนรกบนดินไปแล้ว…”
“ฮู่! ฮู่!”
บนท้องฟ้า สายลมแรง
ฟางหยวนผ่านเมืองหวงสือและเห็นเงาดำ ๆ ไปตลอดทั้งกำแพงเมืองดูราวกับแผลเป็น จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
“แม้ว่าเขาจะสังหารคนไปจำนวนมาก ข้าก็ยังต้องยอมรับว่าวิธีของเขานั้นเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการแสดงอำนาจออกมา!”
“แล้วก็ เมื่อเจ้าเมืองเซี่ยหยางฝูถูกสังหารไป ทั้งเซี่ยหยางฝูก็ต้องฟังคำสั่งของหลิวเอี๋ยนด้วยความหวาดกลัวและไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังเขา หลิวเอี๋ยนกำลังจะเข้าครองเมืองนี้แล้ว…”
ฟางหยวนพูดไม่ออกเมื่อนึกถึงการกระทำของหลิวเอี๋ยน
หลิวเอี๋ยนยอมรับว่าเขาเหลือชีวิตอีกไม่มาก และอาจจะตายถ้าไม่สามารถทะลวงด่านได้ นี่อาจทำให้เขาบ้าคลั่งไปได้ก่อนที่เขาจะตายตกลง
“ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าต้องหาที่พักสักที่แล้วค่อยไปต่อวันพรุ่งนี้!”
เขามองไปที่หัวของเจ้านกและตบลงไปเบา ๆ
ราชานกหงเอี่ยนป๋ายร้องเสียงยาวออกมาและเริ่มร่อนลง
“เอ๋?”
ทันใดนั้น ฟางหยวนมองเห็นแสงสว่างจากปลายหางตา แสงนั่นมาจากเมืองหวงสือและมันก็สั่นไหวไปมา
…
“ปีศาจ! ปิศาจ!”
ทัพทหารจากเซี่ยหยางฝูร้องออกมาเสียงดังและวิ่งแตกกระเจิงไปในทุกทิศทาง
ที่ด้านหลังพวกเขา มีแสงสีแดงสว่างกะพริบและเกิดเป็นรูปร่างของงูโลหิต งูนั่นเลือกเป้าหมายของมันและกัดเข้าที่เป้าหมาย!
อันที่จริง มันกินเสร็จไปแล้ว
“ฟ่อออ….”
งูยักษ์ดูเหมือนจริงและเกล็ดบนร่างเห็นได้ชัดมาก มันแลบลิ้นสีแดงสดออกมาและทหารคนหนึ่งที่วิ่งหนีช้าที่สุดก็ถูกกลืนลงไป เลือดของทหารคนนั้นถูกดูดซับและมันก็พ่นศพแห้ง ๆ ออกมา
มันเหมือนกำลังเล่นกับเหยื่อ มันไม่ฆ่าทหารทั้งหมดในครั้งเดียว แต่ทำให้ทหารแตกกระเจิงและวิ่งหนี จากนั้น มันก็จับพวกเขามาดื่มเลือดทีละคน ราวกับปิศาจในตำนาน
“เจี่ยเจีย… พลังหยางในเลือดของทหารพวกนี้ดีมากรสชาติก็ดีเยี่ยม นี่เป็นประโยชน์กับข้าแล้ว!”
มีคนผู้หนึ่งอยู่บนงูโลหิต คนผู้นั้นวมชุดสีแดงเลือดและดูชั่วร้าย
“เจ้ากล้าดีอย่างไร เจ้าปิศาจ!”
นายทหารจากเซี่ยหยางฝูตะโกนใส่เจ้าปิศาจ เขาเป็นจอมยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ จากนั้นเขาก็ส่งเสียงมาจากที่ไกล ๆ “ในเมื่อเจ้าก็เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดจึงไม่รู้ระเบียบของประเทศเซี่ย? ผู้ฝึกยุทธ์ผู้ใช้พลังธาตุไม่สามารถโจมตีคนธรรมดาทั่วไปได้! หรือว่าเจ้าต้องการท้าทาย 3 เจ้าเมือง?”
“เหอเหอ… สามเจ้าเมือง?”
คนผู้นั้นแสยะยิ้มชั่วร้าย
“ฟ่อ!”
งูโลหิตคำราม และวินาทีต่อมา นายทหารผู้นั้นก็ไม่มีเวลากระทั่งป้องกันตัวเองและถูกลิ้นของงูโลหิตม้วนเอาไว้
“หลิวเอี๋ยนจากอี้ซานฝูทำผิดกฎ เขาสังหารผู้คนเผาเมืองทั้งเมือง ส่วนเจ้าเมืองเซี่ยหยางฝู เซี่ยอวิ๋นชิงก็ถูกฆ่า และเจ้าเมืองชิงฉวนฝู หลานเซียวเฉิงก็หนีไปพร้อมบาดแผลสาหัส… ตอนนี้ ทั้งอี้ซานฝูจะยังมีใครกล้าต่อกรกับข้ากัน?”
นักรบศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและรู้สึกผิดหวัง
“โอกาสที่จะได้เลือดมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้หายากนัก โชคร้าย เจ้าเมืองถูกหลิวเอี๋ยนจัดการไปแล้ว และข้าก็สงสารเขานัก… เหอเหอ เลือดของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นของคนนับพัน ถ้าข้าได้เลือดของพวกเขามา ข้าเกรงว่าข้าจะสามารถขึ้นถึงระดับสูงสุดของขอบเขตรวมธาตุได้ในทันทีและข้าก็จะพยายามทะลวงด่านสู่ขอบเขตแยกธาตุ…”
“เจ้าคนชั่วช้า!”
จอมยุทธ์ระดับ 4 ประตูสวรรค์ไม่สามารถรับมือนักรบศักดิ์สิทธิ์ได้
ทหารผู้นั้นไม่มีทางเลือดนอกจากมองเลือดของตนถูกสูบออกไปและไม่ช้าก็กลายเป็นซากศพแห้ง ๆ ซากหนึ่ง
“เจ้าจะต้องถูกลงโทษ…เพราะบาปของเจ้า!”
ก่อนเขาตาย เสียงแหบห้าวของทหารผู้นั้นสาปแช่ง
“เจี่ยเจีย… ข้าจะถูกลงโทษเหรอ?”
นักรบศักดิ์สิทธิ์โบกมือและซากศพก็ถูกพ่นออกมา ศพนั่นปลิวไปไกลก่อนที่จะหล่นสู่พื้น “ข้าจะยังกลัวถูกลงโทษเพราะบาปของข้าอีกหรือ? ในประเทศนี้ ใครกันที่จะสามารถลงโทษข้าได้? ฮ่าฮ่า… ฮ่าฮ่า…”
เขาหัวเราะเสียงดังและเต็มไปด้วยความโอหัง
แต่ว่า เสียงหัวเราะก็หยุดลงทันทีราวกับเป็ดถูกบีบคอ
ทหารคนอื่นที่เหลือรอดชีวิตไปได้มองไปเห็นเงาสีขาวขนาดยักษ์บินตรงมาเร็วราวสายฟ้าฟาด ภายในวินาทีเดียว มันก็มาถึงที่เหนือหัวของงูโลหิต
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
เงาสีขาวขยับและมันก็ปรากฏเป็นราชานกหงเอี่ยนป๋าย มันยื่นกรงเล็บออกมาและร่อนลงบนร่างงูโลหิตอย่างแรง
“ฟ่อ!”
งูโลหิตร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและกลิ้งออกไปกว่า 30 หลา หมอกโลหิตสีแดงฟุ้งออกมาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่า
“ปิศาจโลหิต ไม่เจอกันนาน!”
บนหลังของนก มีชายหนุ่มนั่งอยู่ดูราวกับเขาลงมาจากสวรรค์ เขาหัวเราะ
“เจ้า…ฟางหยวน?!”
ปิศาจโลหิตจำได้ว่าคนผู้นี้คือฟางหยวน
เมื่อลู่เหรินเจียถูกล้อมไว้ เขาเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปถึงบริเวณต่อสู้ และพบฟางหยวนในตอนนั้น เขากลัวมากในตอนแรกและดังนั้นจึงเลือกที่จะหนี
“ข้าเพียงต้องการหาที่พักผ่อน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบศัตรูของข้า วันนี้อย่าได้คิดหนีอีกเลย!”
ฟางหยวนมองซากศพแห้ง ๆ ที่นอนอยู่บนพื้นและถอนหายใจ
“ฮึ่ม! หยุดพูดจาโอ้อวดได้แล้ว!”
ใบหน้าของปิศาจโลหิตดูจริงจัง
เขาตัดสินใจที่จะหนีในวันนั้นเพราะมีแรงกดดันจากหลิวเอี๋ยนและเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถรับมือนักรบศักดิ์สิทธิ์ 2 คนกับอู่จงอีก 3 คนได้ในเวลาเดียวกัน!
แต่ว่า เขาเพียงต้องรับมือคนผู้เดียวเท่านั้นในตอนนี้!
“ต่อให้พลังของเจ้าจะเทียบเท่าอู่จง 2 คน เจ้าก็โอหังเกินไปแล้ว!”
ปิศาจโลหิตมองไปรอบ ๆ ให้แน่ใจว่าฟางหยวนนั้นมาผู้เดียวจริง ๆ จากนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ “ข้ายินดีที่จะรับเลือดของเจ้าเอาไว้!”