“เมื่อใจมีสมาธิ พื้นฐานก็แข็งแกร่ง…”
ที่สูงไปกลางอากาศ นกสีดำหน้าตาประหลาดกางปีกของมันออกและร่อนเข้าไปในน่านฟ้าเหนืออี้ซานฝู บนหลังของมันมีนักพรตผู้หนึ่งอยู่
มองเมืองอี้ซานฝูอันกว้างใหญ่จากบนอากาศนั้นให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม กำแพงเมืองที่ปรากฏลาง ๆ ถนนหนทางเป็นระเบียบและจุดดำ ๆ ที่เคลื่อนไปตามถนน… ทุกอย่างบ่งบอกว่าเมืองแห่งนี้เพิ่งพ้นภัยสงครามมา ขวัญและกำลังใจของผู้คนกำลังดีขึ้นและมั่นคงขึ้น
ผู้คนส่วนใหญ่นั้นยินดีที่จะเป็นเพียงผู้ตาม ไม่ว่าจะเป็นหลิวเอี๋ยนก่อนหน้านี้ หรือฟางหยวนในตอนนี้ หรือกระทั่งเป็นประเทศอู่ พวกเขาไปทำไร่ทำนาเมื่อต้องทำ จ่ายภาษีเมื่อถึงเวลาจ่าย
หากผู้ใดสามารถแก้ไขปัญหาของดินแดนได้และปกครองด้วยความเมตตากรุณามากขึ้น ผู้คนย่อมสรรเสริญคนผู้นั้นจนเทียมฟ้าเป็นแน่
ตอนนี้ ฟางหยวนแสดงความสามารถป้องกันการรุกรานของประเทศอู่ นำมาซึ่งความนิยมในหมู่คนทั่วไป ในฐานะเจ้าเมืองคนใหม่แห่งอี้ซานฝู ชื่อเสียงและอำนาจของเขาเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน
นักบวชผู้นั้นถอนหายใจ เขารู้ว่าแผนการของเจ้านายของเขานั้นดูจะไร้ผลเสียแล้ว นอกจากนี้ อีกฝ่ายยังอายุน้อยอย่างน่าประหลาดใจและยังมีวิธีการที่คาดเดาไม่ถูก เขาอดจะรู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ถึงตอนนี้ ที่บนพื้นดินดูวุ่นวายขึ้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงการมาของนักบวชผู้นี้แล้ว
*พรึ่บ*
ตอนที่นักบวชเริ่มรู้สึกกังวลนั่นเอง เงาสีขาวก็พุ่งออกมาจากคฤหาสน์เจ้าเมือง ส่งเสียงร้องดังและหยุดตัวเองไว้ตรงหน้านกสีดำ
“นกอะไรกันนี่!”
นั่งอยู่บนหลังนกสีดำ นักบวชผู้นี้สามารถสัมผัสได้ถึงความลนลานของพาหนะของเขาและเขาก็ได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ
“มีนกเช่นนี้ น่านฟ้าแห่งอี้ซานฝูย่อมไม่สามารถผ่านไปได้ แผนการในอนาคตของข้าคงจะสูญเปล่าแล้ว”
“ไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นเพื่อนกับเจ้านายของเจ้า และข้าไม่ได้มาที่นี่ด้วยเรื่องสงครามเช่นกัน เจ้าไปได้แล้ว!”
นักบวชผู้นั้นพูดกับราชานกหงเอี่ยนป๋ายก่อนจะตบเบา ๆ ที่บนหัวนกสีดำ จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ลงมาช้า ๆ ภายใต้การจับตามองของราชานก
“ฮ่าฮ่า… มิตรจากแดนไกล เรื่องประหลาดใจอันน่ายินดี! พี่มู่หลี่ พี่ไม่จริงใจกับข้าเอาเสียเลย!”
ฟางหยวนก้าวออกมาจากคฤหาสน์เจ้าเมือง แขนของเขากางออกเป็นท่าทางยินดีต้อนรับ เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมปังมังกรอย่างงดงาม และบนศีรษะยังมีมงกุฎ เขาดูยิ่งใหญ่มาก
“ท่านล้อข้าแล้ว ท่านเจ้าเมือง! ท่านก็ไม่ได้ซื่อตรงกับข้าเช่นกัน!”
เห็นฟางหยวน ความขมขื่นของนักบวชผู้นี้ก็ยิ่งชัดเจน
นักบวชผู้นี้เคยเป็นมิตรที่ดีของหลิวเอี๋ยน และอันที่จริงยังเป็นไส้ศึกของราชวงศ์เซี่ย เขาก็คือนักพรตมู่หลี่
“ด้วยทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พวกเราทั้งคู่ล้วนมีความลำบากใจของตัวเอง ดังนั้น สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยไปเถิด ท่านเป็นแขกผู้มีเกียรติ เชิญท่านเข้าพักในที่พำนักอันต่ำต้อยของข้าและทำตัวตามสบายเถิด!”
ฟางหยวนโบกมือพร้อมหัวเราะครั้งหนึ่ง
นักพรตมู่หลี่เองก็มีส่วนรับผิดชอบในการตายของหลิวเอี๋ยนที่ดำรงตำแหน่งก่อนหน้าฟางหยวน ในอีกด้านหนึ่ง ฟางหยวนรู้จักหลิวเอี๋ยนเพียงผิวเผิน และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเขา
และมู่หลี่ยังมาที่นี่ในฐานะทูตของราชวงศ์เซี่ย ดังนั้น ฟางหยวนจึงส่งคนที่อาจจะทำให้เรื่องเลวร้ายลง อย่างเช่นหนิวติ้งเทียน ออกไปก่อน ดังนั้นทุกอย่างจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
“เช่นนั้นข้าก็ไม่มากพิธีแล้ว!”
นักพรตมู่หลี่คารวะอีกครั้ง และมองราชานกอย่างยอมรับ
“นกตัวนี้มีความเป็นราชาอันไร้พ่าย มันจะช่วยท่านได้มาก ท่านเจ้าเมือง!”
แม้ว่ามู่หลี่จะปิดบังตัวตนของเขาเอาไว้และยังเป็นไส้ศึก แต่ความชื่นชมของเขาต่อเจ้านกยักษ์นั้นเป็นของจริง
มันน่าเสียดายที่เหยี่ยวฉุยเฟิงนั้นตายไปที่เซี่ยหยางฝู ด้วยความช่วยเหลือของราชวงศ์เซี่ย มู่หลี่จึงได้นกสีดำหายากตัวนี้ซึ่งเป็นการชดเชยที่เท่าเทียมกันมา ตอนนี้เขาได้เห็นราชานกหงเอี่ยนป๋าย ซึ่งเหนือกว่าอินทรีดำหางเหล็กเสียอีก เขาก็จำต้องยอมรับว่าพาหนะของเขานั้นด้อยกว่าราชานกจริง ๆ
“เป็นเพราะโชคชะตาน่ะ!”
ฟางหยวนยิ้มและเดินเคียงนักพรตมู่หลี่เข้าไปในห้องโถง หญิงรับใช้สองคนยกน้ำชามาให้และถอยออกไปอย่างมีมารยาท
“เฮ่ย…”
นักพรตมู่หลี่ถือถ้วยชาเอาไว้ในมือและมองลึกเข้าไปในน้ำชาวิญญาณ เขาถูกคลื่นความเศร้าโศกเข้าครอบคลุม
“พี่มู่หลี่ ท่านย่อมมาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนราชวงศ์เซี่ย ข้าต้องขอโทษที่รบกวนท่านแล้ว!”
ฟางหยวนประสานหมัดคารวะ
ก่อนหน้านี้ฟางหยวนติดต่อกับราชวงศ์เซี่ยผ่านจดหมาย ดังนั้นเซี่ยหลิงอวิ๋นและหลานเซียวเฉิงจึงไม่เข้ามาวุ่นวายกับอี้ซานฝู ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ลงมือต่อกัน ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดี
สำหรับพวกเขาแล้ว อี้ซานฝูนั้นไม่มีโอกาสเลยในการรับมือกองทัพอู่ และอย่างไรก็ต้องล่มสลายลงไม่ช้าก็เร็ว
ทว่า การต่อสู้ในเมืองซางชานกลับเป็นหายนะของประเทศอู่ ฟางหยวนใช้ทหารเพียงสองหมื่นรับมือทหารกล้านับแสนของกองทัพอู่และเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด ฟางหยวนนั้นได้ชื่อเสียงอันน่าเกรงขามมาเป็นสิ่งตอบแทน และยังได้พันธสัญญาร้อยปีมาเป็นสิ่งรักษาอำนาจเอาไว้ หลังจากนั้น ประเทศเซี่ยก็หมั่นส่งทูตมาเพื่อคงความสัมพันธ์อันดีกับฟางหยวนเอาไว้
ส่วนตอนนี้ การพ่ายแพ้ของประเทศอู่ยังสดใหม่อยู่ในใจของทุกคน ไม่มีใครกล้าท้าทายอี้ซานฝู อันที่จริง พวกเขาล้วนกังวลเป็นที่สุดว่าฟางหยวนจะลงมือต่อเซี่ยหยางฝูและชิงฉวนฝู หรือกระทั่งทำลายราชวงศ์เซี่ย
“พวกเราล้วนเป็นมิตรกัน ไม่ต้องกังวล!”
นักพรตมู่หลี่เปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อการพูดคุยเปลี่ยนเป็นเรื่องสำคัญ
“เช่นนั้น ท่านมาวันนี้มีจุดประสงค์ใดหรือ?”
ฟางหยวนถามตรง ๆ
ด้วยข้อตกลงที่มีกับประเทศอู่ ต่อให้ฟางหยวนจะยินยอมออกจากการปกครองของประเทศเซี่ยเอง เซี่ยหลิงอวิ๋นก็มิอาจจะยอมรับได้ เพราะชื่อเสียงของนางในฐานะผู้ปกครองจะเสียหายอย่างกู่ไม่กลับ
ดังนั้น เมื่อเห็นประเทศอู่ไม่สามารถยึดครองอี้ซานฝูได้จึงเป็นข่าวดีที่สุดต่อเซี่ยหลิงอวิ๋นเช่นกัน
“องค์หญิงของพวกเรายินดีที่อี้ซานฝูสามารถดูแลตนเองได้ ดังนั้น ต่อให้อี้ซานฝูตั้งใจจะตั้งตนเป็นอิสระ ประเทศเซี่ยก็ยินดีให้การสนับสนุน…”
นักพรตมู่หลี่ยิ้ม
“โอ้!”
ฟางหยวนหัวเราะเย็นชา
“ดังนั้นท่านตั้งใจจะผลักอี้ซานฝูออกไปให้พวกเรากลายเป็นผู้รับแรงปะทะระหว่างประเทศเซี่ยและประเทศอู่? พวกเรายังต้องช่วยพวกท่านสืบข่าวและป้องกันท่านจากประเทศอู่ด้วย?”
หัวใจของนักพรตมู่หลี่จมวูบลงไป
นี่เป็นความตั้งใจอันแท้จริงขององค์หญิงของเขา
ให้อี้ซานฝูรับหน้าประเทศอู่ขณะที่ประเทศเซี่ยจะเป็นกำลังเสริมให้ถ้าจำเป็น นี่ย่อมเป็นสถานะที่นางต้องการ
อย่างไรเสีย ราชวงศ์ก็อ้างสิทธิ์เหนือเซี่ยหยางฝูได้ถึงกึ่งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว และถ้าพวกเขาได้พักและฟื้นฟูแล้ว พวกเขาย่อมแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับชิงฉวนฝู
เมื่อคิดว่าเจ้าเมืองวัยเยาว์ผู้นี้สามารถมีความคิดเฉียบคมและระบุแรงจูงใจซ่อนแร้นของพวกเขาออกมาได้
“ท่านเจ้าเมืองช่างตรงไปตรงมา แผนการเป็นเช่นนั้นจริง!”
นักพรตมู่หลี่พยักหน้า อย่างไรเขาก็เป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เมื่อเห็นว่าฟางหยวนทำท่าเหมือนล้อเล่น เขาก็ทำเช่นนั้นตาม
“เพื่อแสดงความยินดีกับการรับตำแหน่งของท่าน องค์หญิงของเราเตรียมของขวัญเอาไว้ ตอนนี้ใกล้จะมาถึงแล้ว!”
‘ไร้สาระ!’
การยอมรับของนักพรตมู่หลี่นั้นเป็นเรื่องที่น่าขบขันที่สุดสำหรับฟางหยวน ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเซี่ยหลิงอวิ๋นกลัวว่าเขาจะบุกรุกเซี่ยหยางฝูและทำลายทุกอย่างที่นางทำลงไปเพื่อตรึงอาณาเขตของนางเอาไว้
และไม่ใช่แค่เขา เจ้าเมืองชิงฉวนฝู หลานเซียวเฉิง ก็อาจจะคิดแบบเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน
‘ถ้าข้าเลือกที่จะลงมือยุ่งเกี่ยว เซี่ยหลิงอวิ๋นและหลานเซียวเฉิงก็จะร่วมมือกันตอบโต้ข้า และอาจจะดึงเอาประเทศอู่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าข้ายอมประนีประนอม ก็จะเป็นโอกาสดีให้หลานเซียวเฉิงตกไปอยู่ในมือของราชวงศ์เซี่ย…’
เกมการเมืองเช่นนี้มีบันทึกเอาไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ และฟางหยวนก็ได้อ่านมามากพอที่จะเฉลียว
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณในความปรารถนาดีขององค์หญิงด้วย… อี้ซานฝูในตอนนี้นั้นย่ำแย่นัก และคงยังไม่เข้าไปวุ่นวายเรื่องทางการทหารในช่วงนี้ วันเวลานี้พวกเราคงต้องพึ่งพาพวกท่านแล้ว!”
“ได้เลย! ได้เลย!”
นักพรตมู่หลี่รู้สึกยินดี แต่ทว่าก็ตระหนักว่าฟางหยวนนั้นพูดถึงอี้ซานฝูในลักษณะที่มีฐานะเทียบเท่ากับประเทศเซี่ย ความโอหังของฟางหยวนนั้นกดข่มมู่หลี่ลงไป
…
“เวลาที่ข้ามีกำลังจะหมดลงแล้ว…”
จัดการสลัดนักพรตมู่หลี่ไปได้ ฟางหยวนก็หรี่ตาครึ่ง ๆ จมอยู่ในภวังค์
ความวุ่นวายในอี้ซานฝูนั้นจบลงด้วยชัยชนะยิ่งใหญ่และไม่ได้ทรยศความสามารถแท้จริงของเขา นั่นน่าจะเพียงพอให้ศัตรูเก่งกาจต้องหยุดคิดก่อน
เมื่อสถานการณ์มั่นคงดีแล้ว การเมืองและการแทรกแซงก็จะกลับมาอย่างแน่นอน ความวุ่นวายที่จะเกิดตามมาเพียงแค่คิดถึงก็ไม่สบอารมณ์เสียแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อศัตรูของเขาคิดว่าเขาเป็นหลิวเอี๋ยนคนที่สอง พวกมันอาจจะร่วมมือกันพยายามลอบลงมือต่อเขา
ฟางหยวนไม่ได้เกรงกลัวการท้าทายเช่นนี้ แต่เขาเบื่อที่จะต้องคอยรับมือกับคนพวกนี้
“เหตุใดข้าจึงไม่ทิ้งชื่อเสียงของตัวเองไปเสียแล้วก็อยู่อย่างอิสระภายในเมือง?”
ตำแหน่งเจ้าเมืองอี้ซานฝูของเขานั้นมีอำนาจก็จริง แต่มันก็ทำให้เขากลายเป็นเป้านิ่งอันใหญ่
ฟางหยวนวางแผนจะกลับไปเก็บตัวสันโดษและฝึกวิชาสักระยะ เขาชอบเป็นฝ่ายลงมือมากกว่า
แต่เขาจะยอมสละอำนาจนี้ได้จริงหรือ?
ฟางหยวนไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เขาเชื่อในความสามารถของตัวเอง ในความคิดของเขา อำนาจและอิทธิพลนั้นย่อมตามมาหากคนผู้นั้นมีความสามารถอย่างแท้จริง
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยต่อให้เขาส่งต่ออำนาจไปให้ผู้ใต้บัญชาของเขา ไม่มีใครนำความแข็งแกร่งของเขาไปจากตัวเขาได้ เขายังมีชื่อเสียงดีงาม และไม่มีใครที่จะข่มขู่เขาได้อย่างจริงจัง
ต่อให้เขาออกจากการเก็บตัวมาและกลับสู่โลกอันวุ่นวายอีกครั้ง ด้วยการฝึกตนของเขาและทักษะการดูแลพืชอันมหัศจรรย์ ก็ไม่มีอะไรยากเกินกว่าที่เขาจะควบคุมได้
สำหรับฟางหยวน ฐานะเจ้าเมืองอี้ซานฝูของเขานั้นก็เป็นแค่ตำแหน่งที่ไม่สลักสำคัญอะไร
เขาเตรียมตัวที่จะไปเจรจาแล้ว!
แต่ว่า ก่อนที่จะเขาจะจากไป เขาต้องเตรียมการบางอย่าง
“นายท่าน! ข้ามีข้อราชการที่ต้องปรึกษากับท่าน!”
อวี้ซินโหลวและหวงฝูเหรินเหอแบกม้วนหนังสือกองโตรออย่างอดทนอยู่ด้านนอก
“เข้ามา!”
ฟางหยวนส่ายหน้าอย่างสุขุม
ตั้งแต่เขาขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ คนพวกนี้ก็ยิ่งกายเป็นสุภาพจนถึงจุดที่แทบจะกราบกรานเขาแล้ว นี่ทำให้เกิดระยะห่างและบางครั้งฟางหยวนก็รู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาจริง ๆ
“นายท่าน พวกเราทำตามคำสั่งของท่านและจัดเรียงหนังสือในคฤหาสน์ พวกเรายังรวบรวมแผนที่ของประเทศเซี่ย อู่ และจู… รวมถึงดินแดนหยวนหรง พวกเรานำมาให้ท่านดูด้วยแล้ว!”
“อืม!”
ฟางหยวนเลือกหยิบม้วนหนึ่งขึ้นมาสุ่ม ๆ แผนที่ทำจากหนังแพะชั้นดีและฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการผุเปื่อย แต่ว่าตามขอบก็ยังมีคราบเชื้อราเป็นรอย
แม้ว่าแผนที่นี่จะสร้างมาหลายสิบปีแล้ว แต่ส่วนมากแล้วก็ยังนับว่าแม่นยำ
ฟางหยวนเปิดแผนที่รวม ซึ่งมีรายละเอียดของดินแดนรูปสามเหลี่ยม
บนทวีปนี้ อาณาเขตของประเทศเซี่ยนั้นทำสัญลักษณ์เอาไว้ชัดเจนและอยู่กลางทวีป ที่ติดกันนั้นเป็นแผ่นดินประเทศอู่ สองประเทศนี้กินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของทั้งทวีป และที่ด้านข้างนั้นก็เป็นประเทศที่เล็กลงมา จู หยวน ฉี และอื่น ๆ นอกจาประเทศจูแล้ว ประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าอี้ซานฝูเลย เป็นเพียงตัวหมากเล็ก ๆ บนกระดาน
“มหาสมุทรทั้งสามด้านของทวีปนั้น ในตำนานเรียกเป็น ‘ห้วงอเวจี’ บอกว่ามันไร้ที่สิ้นสุด มีสิ่งมีชีวิตเพียงไม่กี่ชนิดและอยู่ห่างไกลกัน”
สายตาของฟางหยวนกวาดไปทั่วทั้งทวีปจากทางเหนือของแผนที่ เป็นทุ่งหญ้า
“นี่คือทุ่งหญ้าหยวนหรง ระบุเขตแดนประเทศหยวน เป็นประเทศที่ผู้คนปกครองเหนือดินแดนด้วยม้าและธนู ใช้ชีวิตแบบคนเร่ร่อน…”
“การจะไปอาณาจักรต้าเฉียน มีเพียงหนทางเดียวคือต้องเดินทางผ่านทุ่งหญ้านี้เท่านั้น!”
ฟางหยวนจ้องแผนที่ ประกายในดวงตาวูบผ่านไป