“นายท่าน ท่านต้องการเข้าพักแรมใช่หรือไม่?”
หลังจากเข้าเมืองมา ฟางหยวนก็นึกเส้นทางแล้วตรงไปโรงพักแรม
ที่ตั้งของโรงพักแรมค่อนข้างห่างไกลไปสักนิดและป้ายโรงพักแรมก็ค่อนข้างเก่า แต่ว่าด้านในนั้นสะอาดไม่มีฝุ่นให้เห็นบนโต๊ะและเก้าอี้ เครื่องเรือนแบบโบราณนำความรู้สึกเก่าแก่มาสู่บรรยากาศโดยรวม
แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็คือราคาห้องพักค่อนข้างถูก
พอเขาเข้าไป ก็มีเด็กรับใช้ท่าทางสุภาพมาต้อนรับ
“อืม ห้องชั้นบนยังว่างหรือไม่?”
“ว่างแน่นอนขอรับท่าน!”
เด็กรับใช้ยิ้มกว้าง
ฟางหยวนพยักหน้าและจองห้องพักสำหรับ 10 วัน เขาจ่ายเงินเป็นค่าเช่าล่วงหน้าสำหรับ 3 วัน อาหารคิดแยกต่างหาก
“ท่านจะสั่งอะไรก็ได้ที่ต้องการ หากครัวของเราเตรียมให้ไม่ได้ ข้าก็ยินดีจะไปหามาให้ท่านจากที่อื่น!”
ตอนที่ฟางหยวนเข้าห้องไป เด็กรับใช้ก็บอกเขา
เด็กรับใช้พบว่าแม้ว่าฟางหยวนจะแต่งตัวธรรมดา แต่รัศมีของเขาก็ดูจะต่างไปจากผู้อื่นเล็กน้อย ดังนั้นแขกเช่นฟางหยวนมักจะเป็นคนรวยที่ชอบเดินทางด้วยตัวเอง และดังนั้น ก็อาจจะมีสินน้ำใจให้มันอยู่บ้าง
“นั่นไม่จำเป็น ในครัวเจ้ามีอะไรบ้าง?”
“ท่านโชคดีมาก! วันนี้ครัวของเราเพิ่งได้รับเนื้อชิ้นใหญ่สองชิ้นและยังเนื้อแกะอีกชิ้น ไก่และเป็ดล้วนเตรียมไว้โดยพ่อครัวของเราเรียบร้อย พวกเรายังมีข้าวบัวเขียว ข้าววิญญาณชนิดหนึ่ง ทุกคนที่ได้กินล้วนสัมผัสถึงกลิ่นหอมรวยรินอยู่ในปากอีกเป็นเวลานาน เป็นหนึ่งในจานที่นิยมสั่งกันของที่นี่”
เด็กรับใช้พูดออกมารวดเดียว
“อืม งั้นข้าขอเนื้อจานหนึ่ง ผักสองจาน กับข้าวบัวเขียวถ้วยหนึ่ง!”
เขาไม่คิดว่าโรงพักแรมเล็ก ๆ จะสามารถจัดหาข้าววิญญาณมาได้
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เด็กรับใช้ก็แบกถาดใบหนึ่งเข้ามา กลิ่นของน้ำราดจากจานเนื้อน่ากินมาก และยังมีผัดผักจานหนึ่ง กับเห็ดผักกับเนื้อหั่นชิ้น และยังมีข้าวสีเขียวอีกถ้วยหนึ่งที่ทำให้อากาศกรุ่นไปด้วยกลิ่นดอกบัว “อาหารของท่านมาแล้วขอรับ!”
“อืม!”
ฟางหยวนส่งเงินก้อนเล็กให้เด็กรับใช้และทำท่าให้เขาออกไปได้ จากนั้นเขาก็เริ่มกินข้าวบัวเขียว
ข้าววิญญาณชนิดนี้หอมและนุ่ม แต่ไม่เหนียวติดฟัน กลิ่นดอกบัวกรุ่นเต็มปาก แม้ว่าพลังวิญญาณจากข้าวจะไม่เท่ากับข้าวหยกเพลิง มันก็ยังเทียบได้กับข้าวหยกแดง ในเมื่อโรงพักแรมก็เล็กเพียงนี้ นี่นับว่าดีมากแล้ว
“เพียงแต่… โลกแห่งความฝันนี้ มันเหมือนจริงเหลือเกิน!”
ฟางหยวนกินเนื้ออีกคำ และคิดถึงอย่างอื่น “ข้าหลงเพริดไปกับโลกแห่งความฝันนี้ได้โดยง่าย”
หลังจากถอนหายใจยาว เขาก็คิดถึงเรื่องอื่น
“ตอนนี้ ฮูหยินหวังคงจะรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ยากที่จะบอกได้ว่านางจะไม่ลงมือทำอะไรอีก ข้าควรจะมุ่งหน้าไปที่สำนักงานเมืองเพื่อลงชื่อเข้าสอบก่อนเป็นการเผื่อเอาไว้!”
สำนักงานเมืองแห่งอาณาจักรต้าเฉียนร่ำรวยกว่าที่ในประเทศเซี่ย
ตำนานบอกว่าผู้ก่อตั้งอาณาจักรนี้นั้นเก่งกาจมากและสามารถกดข่มทุกผู้คนเอาไว้ กระทั่งทุกวันนี้ ผู้นำที่มีความสามารถมากมายยังคงถือครองตำแหน่งสำคัญในราชสำนักของอาณาจักร ดังนั้น กลุ่มก้อนต่าง ๆ รวมถึงตระกูลเศรษฐีก็ยังต้องยอมปฏิบัติตามกฎของราชสำนัก
ก่อนหน้านี้ เมื่อหยางฟานต้องการสมัครสอบครั้งนี้ เขาน่าจะต้องการใช้ราชสำนักต่อกรกับตระกูลของเขา
แต่ว่า ฟางหยวนนั้นต้องการสอบให้ได้คะแนนดีเพียงเพราะต้องการหาวิธีการออกไปจากโลกแห่งความฝันนี้
หลังจากสรุปได้ เขาก็ออกจากโรงพักแรมเข้าไปในเมือง
สำนักงานเมืองนั้นตั้งอยู่ในกลางเมือง มีรูปสลักหินของสัตว์ร้ายสองตัววางอยู่ที่ทางเข้าด้านทิศใต้ หัวของมันคล้ายเสือหรือสิงโต ดวงตาของรูปแกะสลักราวกับเปล่งประกายได้ รูปสลักดูราวกับมีชีวิต
สัตว์ร้ายสองตัวนี้เรียกสัตว์เนตรทิพย์ ว่ากันว่าดวงตาของมันสามารถแยกแยะความดีความชั่วได้ ดังนั้น ราชสำนักจึงชอบใช้สัตว์ชนิดนี้รักษากฎในเมือง
ขณะที่ฟางหยวนเดินผ่านสัตว์สองตัวนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ต่างออกไป
“อาวุธวิเศษ?”
จากดวงตาของรูปสลัก เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคาถาเวทย์ที่ร่ายใส่เอาไว้และถอนหายใจ ราชสำนักต้าเฉียนนั้นลงแรงไปกับของเช่นนี้อย่างมากทีเดียว
“การสมัครสอบ ข้าต้องใช้นามจริง สถานที่เกิด ลักษณะรูปลักษณ์ภายนอก พื้นหลังทางครอบครัว และยังต้องเสนอชื่อบุคคลที่จะรับรองเพื่อที่จะได้เข้าสอบสำเร็จ… แน่นอนว่าข้ามาจากตระกูลหยางและมีข้อได้เปรียบที่มาจากตระกูลร่ำรวย แต่ว่าข้าก็ยังต้องจ่ายค่าสมัครสอบ!”
ตอนที่เขาเข้าประตูเล็กมาพร้อมกับบัณฑิตคนอื่น ๆ ฟางหยวนก็มีท่าทีเย็นชา เขาคุ้นเคยกับกระบวนการสมัครดี แต่ว่าในใจเขาก็บ่น “ถ้าราชสำนักเก็บค่าสอบทุก ๆ การสอบตั้งแต่ครั้งโบราณ ข้าเกรงว่าทุกคนคงจะไม่พอใจเรื่องนี้นัก…”
เมื่อถึงคราวของเขา เขาก็เขียนแซ่และชื่อลงไป ลงลายมือชื่อและประทับรอยนิ้วมือ หลังจากจ่ายเงินแล้ว เขาก็ได้รับป้ายไม้มา
บนป้ายไม้ มีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเขาเขียนเอาไว้ รวมถึงรูปร่างใบหน้า เขาได้รับป้ายไม้สองอัน และป้ายไม้นี้จะใช้เป็นหลักฐานในการเข้าสู่ห้องสอบ
“ข้าได้ยินมาว่ากฏที่ตั้งขึ้นโดยผู้ก่อตั้งอาณาจักรต้าเฉียนนั้นไม่สะดวกนักและยังมีคนมากมายที่ไม่พอใจในกฎเหล่านี้!”
หลังจากเขาออกจากสำนักงานเมืองมา ฟางหยวนก็ลูบป้ายไม้ใบหน้านิ่งเฉย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ที่เหล่าบัณฑิตยังยากจน บางคนคงต้องทนทุกข์ทรมานหรืออาจจะตายตกไปก่อนมีความก้าวหน้า
แต่ว่า โลกนี้นั้นต่างออกไป!
มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งจึงจะมีอำนาจ มันคงจะแปลกถ้าได้เห็นบัณฑิตมีอำนาจเหนือผู้อื่นและมีเป็นตัวตนที่มีอำนาจเช่นอู่จงหรือนักรบศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง
ถ้าไม่เพราะมีบัณฑิตบางคนเป็นผู้ฝึกตน เหล่าบัณฑิตก็คงไม่มีอำนาจใดไปแล้ว
“คุณชายผู้นั้น กรุณาหยุดก่อน!”
ตอนที่ฟางหยวนกำลังจะเดินออกไป บัณฑิตผู้หนึ่งในชุดสีเขียวเดินตรงมาหา “ข้าชื่อเซียวมู่ ท่านเองก็มาเข้าสอบครั้งนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
“ข้าหยางฟาน!”
ฟางหยวนทักทายตอบ แต่รู้สึกว่าสีหน้าของเซียวมู่นั้นค่อนข้างแปลก
ก่อนหน้านี้ ฟางหยวนไม่พบอะไรผิดตาบนตัวเขา แต่ตอนนี้ เขาสามารถสัมผัสพลังธาตุฝันจาง ๆ ได้จากร่างของเขา และมันอยู่ในรูปของรอยประทับ
ตราประทับนั้นหมายความว่าเขาอยู่ภายใต้การดูแลจากจ้าวแห่งฝันสักคน และคนนอกไม่สามารถก้าวก่ายได้
เมื่อฟางหยวนเห็นรอยประทับ เขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“เขาสะดุดความสนใจของจ้าวแห่งฝันผู้นั้น…”
ฟางหยวนปล่อยพลังเวทย์ของตนออกไปเล็กน้อยและคิดกับตัวเอง “ความสามารถของเขายอดเยี่ยมมาก เขามีความสามารถมากกว่าจะเป็นนักรบศักดิ์สิทธิ์หรือจ้าวแห่งการเล่นแร่แปรธาตุ เขาอยู่ห่างจากการเป็นจ้าวแห่งฝันเพียงไม่กี่ก้าว แต่ว่า เขาดูไม่เหมือนว่ากำลังมองหาลูกศิษย์ แต่มีความมุ่งหมายร้ายกาจอื่น!”
นักรบศักดิ์สิทธิ์สามารถมีข้ารับใช้ศักดิ์สิทธิ์ได้ เช่นเดียวกัน จ้าวแห่งฝันก็สามารถมีได้ โดยใช้งานผ่านตราประทับเช่นนี้
ขณะที่ฟางหยวนมองเซียวมู่ เขาก็รู้สึกสงสาร
ใบหน้าของเซียวมู่นั้นซีด เขามีใต้ตาดำคล้ำและถุงใต้ตาบวมโต ดูเหมือนเขาจะไม่ได้นอนหลับเพียงพอมาระยะหนึ่ง
“เช่นนั้นท่านก็คือพี่หยาง!”
เซียวมู่คารวะเขาและพูดต่อ “ข้าชื่นชมท่าทางอันดีของท่านและอยากผูกมิตร…”
“มิตร?”
ฟางหยวนหัวเราะและพูด “ความสนใจของข้าตอนนี้คือทำคะแนนการสอบครั้งนี้ให้ดี และข้าก็ชอบอ่านหนังสือโดยไม่ถูกรบกวน ถ้าท่านมีความตั้งใจอยากคบหาผู้ใดเป็นมิตร ข้าขอแนะนำให้ท่านผูกมิตรกับผู้อื่นหลังจากการสอบสิ้นสุดแล้ว!”
“ข้าขออภัยด้วย!”
เซียวมู่หน้าแดงและโค้งกายลงเป็นเชิงขอโทษ เขาต้องการรู้ว่าฟางหยวนพักอยู่ที่ไหน
แต่ว่า ฟางหยวนมีสีหน้าไม่ชอบใจนักและเดินจากมา
“เฮ้ พี่หยาง… รอข้าด้วย!”
เซียวมู่พยายามไล่ตามเขาแต่เพราะร่างกายอ่อนแอเกินไปที่จะทำเช่นนั้น หลังจากผ่านไปหลายถนน เขาก็คลาดกับฟางหยวนและมีสีหน้าจนปัญญา
ทันใดนั้น เขาก็ดูเจ็บปวดและแตะมือที่คอของตน จากนั้นเขาก็เดินไปที่ตรอกเล็ก ๆ และลมหายใจก็กลายเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ
“ฟู่… ฟู่…”
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนเห็นได้ชัดเจน ขณะหอบ เขาก็คำรามออกมา “ไม่… หยุดทรมานข้าได้แล้ว.. ชายผู้นั้น! ท่านก็สัมผัสได้ด้วยตัวเองแล้ว ชายผู้นั้น! เขาทำให้ท่านพึงพอใจได้อย่างแน่นอน ไปหาเขา และปล่อยข้าได้แล้ว!”
ดวงตาของเขาแดงก่ำ สิ่งที่ลึกลับที่สุดก็คือมีหัวกะโหลกสีเขียวปรากฏขึ้นบนลำคอที่เคยว่างเปล่าของเขา ราวกับรอยสัก!
…
“ผู้ชายคนนั้นจะก่อปัญหาใหญ่ให้ข้า!”
ขณะที่ฟางหยวนกลับไปที่โรงพักแรม เขานึกถึงความรู้สึกประหลาดที่ได้รับจากเซียวมู่แล้วก็เกร็งเครียดขึ้น
ถ้าเป็นคนอื่น เขาคงทุบตีคนผู้นั้นจนหมดสติแล้วก็เข้าสู่ความฝันของเขาเพื่อค้นหา แต่ว่า เซียวมู่นั้นมีประทับของจ้าวแห่งฝัน และเขาน่าจะสามารถต่อต้านเจ้าแห่งฝันผู้อื่นได้ ดังนั้น ถ้าฟางหยวนเข้าสู่ความฝันของเซียวมู่ เขาอาจจะกลายเป็นเดินตรงเข้าสู่กับดักและต้องสู้กับจ้าวแห่งฝันคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะก่อปัญหาโดยการสร้างศัตรูคนใหม่
นอกจากนี้ เขายังมาที่นี่เพื่อการสอบเข้าราชสำนัก ไม่ใช่เรื่องพวกนี้
“ชายคนนั้นมีปัญหาและกำลังจะเข้าสอบห้องเดียวกับข้า ต่อให้ข้าเลี่ยงเขาได้ตอนนี้ มันก็ยากที่ข้าจะเลี่ยงเขาได้หลังการสอบ… เอาเถิด ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนกับเขาสักครั้งหลังสอบเสร็จ!”
ฟางหยวนหาวและเปิดหนังสือขึ้น
ความมุ่งมั่นในการสอบนี้เป็นสถานการณ์ของโลกจริงนี้ ในเมื่อเขามีความรู้ 6 ปีจากหยางฟานและมีประสบการณ์ของเขาเอง เขาไม่กลัวการสอบครั้งนี้
สิ่งเดียวที่เขาต้องจดจำก็คือรายละเอียดของการศึกษาและการยกตัวอย่างภายใต้อาณาจักรต้าเฉียน ซึ่งเขาจะต้องทบทวนเพิ่งอีกสักรอบ
…
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและก็ถึงวันสอบ
การจะเป็นข้าราชสำนัก ต้องเริ่มจากเสมียนก่อนเป็นอันดับแรก และเสมียนนั้นก็ยังแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับสูงที่สุดก็คือหัวหน้า ตามมาด้วยผู้ช่วย และสุดท้ายก็คือเจ้าหน้าที่ทั่วไป มีระดับขั้นของมัน
หากคนผู้หนึ่งทำคะแนนในการสอบได้ดี ก็จะสามารถเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าได้โดยตรง ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ก็จะได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ จากนั้น ก็จะมีราชสำนักคอยสนับสนุนและเรียกได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับฝ่ายบริหารงานเมือง ด้วยการปกป้องและสนับสนุนเช่นนี้ การได้เป็นเจ้าหน้าที่ของทางการจึงเป็นเรื่องดี เป็นเหตุผลให้บัณฑิตมากมายเข้าสอบรับราชการนี้
หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น บัณฑิตหลายคนก็มารออยู่นอกห้องสอบแล้ว บางคนถือตะเกียงและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนมาเอง ที่ร่ำรวยกว่าก็มีคนรับใช้อยู่ข้างกาย
ฟางหยวนพบเซียวมู่ได้อย่างง่ายดาย
เซียวมู่นั้นอยู่กลางกลุ่มคนและมีกริยาน่าสงสัย เขาคอยมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังมองหาอะไรสักอย่าง
‘เป็นคนละโมบอะไรเช่นนี้!’
ฟางหยวนหัวเราะเสียงเย็น
ในตอนนี้เอง เซียวมู่เห็นฟางหยวนและมีใบหน้าดีใจ เขาอยากจะมาหาและพูดคุยกับฟางหยวน
“ตง! ตง!”
ทันใดนั้น พร้อมกับเสียงฆ้องตี ประตูสนามสอบก็เปิดออก ทหารสองแถวเดินออกมาอย่างเป็นระเบียบ “ได้เวลาแล้ว บัณฑิตทุกท่านกรุณาเข้าไปในห้อง! สิ่งของต้องห้ามนั้นย่อมห้ามนำเข้าไป หากใครถูกจับได้จะถูกโบย 50 ไม้และขับไล่ออกจากเมือง!”
“พรึ่บ!”
บัณฑิตมากมายเข้าไปจนเต็มภายในเวลาอันสั้น
ที่นั่งนั้นระบุเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่บัณฑิตเหล่านี้ก็ยังคงรีบร้อนเข้าไปในสนามสอบราวกับกลัวว่าจะพ่ายแพ้หากเข้าไปเป็นคนสุดท้าย
ท่ามกลางกลุ่มคน เซียวมู่ถูกผลักอย่างแรกจากฝูงชนให้เข้าไปในห้องสอบขณะที่เขายิ้มอย่างจนปัญญาให้ฟางหยวน
ฟางหยวนคิดกับตัวเองว่าใครที่เป็นเพื่อนกับคนผู้นี้คงจะโชคร้ายไปทั้งชีวิตที่เหลือแล้ว
“มีการตรวจร่างกาย หนังสือหรือกระดาษทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาการสอบนั้นไม่อนุญาตให้นำเข้า!”
ที่ทางเข้า มีกระบวนการตรวจร่างกายอย่างเหมาะสม แต่ว่า บัณฑิตทั้งหลายนั้นไม่ได้รับการตรวจสอบจากมนุษย์ แต่เป็นสัตว์เนตรทิพย์ที่ตรวจสอบพวกเขาราวกับเป็นกระจกส่องมาร บัณฑิตทั้งปวงนั้นถูกสั่งให้เดินผ่านไปทีละคนและคนไหนที่มีเจตนาชั่วร้ายก็ถูกตรวจพบอย่างง่ายดาย การถูกจับเช่นนี้นั้นจะถูกลงโทษอย่างสาหัสและก็สายเกินไปที่จะรู้สึกสำนึกเสียใจแล้ว
“นี่เป็นการสอบระดับมณฑลเท่านั้นแต่กลับมีนักรบศักดิ์สิทธิ์มาเป็นผู้ควบคุมการสอบ?”
ฟางหยวนรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย