ที่กลางสนามสอบ เป็นอาคารสูง
ที่นั่นมีทัศนวิสัยที่ดี สามารถมองเห็นบัณฑิตทุกคนได้
เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งที่สวมเสื้อปักลายนกวิญญาณยิ้ม “วันนี้พวกเรามีผู้สมัคร 3112 คน ซึ่งมากกว่าปีก่อนถึงสามส่วน แสดงถึงระดับการศึกษาของมณฑลของเรา
เขาเป็นข้าหลวงผู้ดูแลมณฑลนี้ เจ้าหน้าที่อีกสองคนเห็นเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางพื้นอารมณ์ดี พวกเขาก็ยินดีไปด้วย
แต่ว่า ยังมีนักพรตถือพัดขนนกผู้หนึ่งมองสนามสอบแล้วรู้สึกไม่สบายใจนัก
“นักพรตเฟยซยง เกิดอะไรขึ้นรึ?”
เมื่อข้าหลวงผู้นี้เห็นเข้า เขาก็เริ่มวิตก “หรือว่าค่ายกลสัตว์เนตรทิพย์จะมีปัญหา?”
สัตว์เนตรทิพย์นั้นมีไว้เพื่อตรวจจับผู้ทุจริต แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่
“ไม่มีอะไร!”
นักพรตเฟยซยงกลับไปยืนตำแหน่งเดิม ที่ตรงหน้าเขา มีค่ายกลเล็ก ๆ ติดตั้งเอาไว้ มีสัตว์เนตรทิพย์จำลองตัวเล็กที่ดูราวกับมีชีวิต ดวงตาเป็นประกาย
“พลังในค่ายกลนั้นปกติดีและยังสามารถกรองเอาผู้เข้าสอบ 32 คนออกไปได้ วางใจได้ คนพวกนั้นไม่มีทางเล็ดลอดไปได้เด็ดขาด!”
นักพรตเฟยซยงสัญญา
“ดีมาก!”
ข้าหลวงผู้นั้นถอนหายใจและไม่ได้สังเกตเห็นความสงสัยในสายตาของนักพรตเฟยซยง
“ที่แปลกก็คือเมื่อสักครู่นี้ ดวงตาของสัตว์เนตรทิพย์นั้นกระพริบอยู่ครู่หนึ่ง และมันบ่งบอกว่าถูกรบกวนโดยผู้ที่มีความสามารถสูง แต่ว่า หลังจากตรวจสอบทั้งสนามสอบแล้ว พวกเราไม่พบอะไร… มีที่น่าสงสัยเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
นักพรตเฟยซยงลูบเครา ในใจมีความคิดต่าง ๆ เต็มไปหมด “ดูเหมือนว่าท่ามกลางผู้เข้าสอบเหล่านี้ มีบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง!”
ด้วยเคล็ดวิญญาณของเขา ดวงตาของเขาเป็นสีแดงสว่าง ไม่ต่างไปจากดวงตาของสัตว์เนตรทิพย์
ตรงหน้าเขา มีประกายจาง ๆ ปรากฏขึ้นและลอยไปอยู่ตรงหน้าผู้เข้าสอบคนสุดท้าย
ผู้เข้าสอบคนนั้นผิวซีดเผือดและเข่าอ่อน จะเป็นใครไปได้นอกจากเซียวมู่?
…
ในสนามสอบ
ผู้เข้าสอบทุกคนถูกแยกออกจากกันด้วยคอกไม้และโต๊ะไม้ที่อยู่ตรงหน้า แค่จะแทรกตัวไประหว่างแต่ละคอกกั้นก็ยังทำได้ยากมาก ฟางหยวนมุ่งไปที่เก้าอี้ของเขาและยิ้มในใจ “เจ้ากล้าสร้างปัญหาให้ข้า ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีเวลาว่างเลยคอยดู!”
ค่ายกลในสัตว์เนตรทิพย์นั้นไม่สามารถตรวจจับเขาได้ มันถูกหลอกให้คิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง
เซียวมู่นั้นไม่โชคดีเช่นนั้น
แม้ว่าเขาจะเก็บซ่อนพลังเวทย์เอาไว้ เล่ห์กลของฟางหยวนก็ยังเผยตัวเขาออกมา
และตอนนี้ เขากำลังถูกจับตามองจากเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด
ด้วยความสนุกจากการก่อกวนสำเร็จ ฟางหยวนเปิดข้อสอบขึ้นมาและเริ่มอ่านอย่างมีความสุข
แม้ว่าการทดสอบครั้งนี้จะยาวแค่วันเดียว แต่ก็มีการทดสอบในหลายอย่าง
คำถามแรกนั้นเกี่ยวกับการศึกษาแนวทางของลัทธิขงจื๊อ
มันเป็นการตอบแบบบรรยาย แต่ว่า ไม่ได้ทดสอบขงจื๊อดั้งเดิม แต่เป็น ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์กายภาพ และภูมิศาสตร์มนุษย์
นี่ไม่เพียงทดสอบประสบการณ์ของผู้เข้าสอบเท่านั้น แต่ยังทดสอบความรู้ทางภาษาและความคิดของผู้เข้าสอบด้วย
อย่างไรเสีย กระดาษคำตอบก็ไม่อนุญาตให้มีการแก้ไขหรือลบ และคาดหวังในตัวผู้เข้าสอบอย่างสูง
หลังจากคำสอนของลัทธิขงจื๊อแล้ว ก็เป็นการคำนวณ สำหรับการคัดเลือกเสมียนของอาณาจักรต้าเฉียน พวกเขาต้องการนักคำนวณที่มีความสามารถและยังเชี่ยวชาญในตำราคำนวณทั้งแปด
พวกเขายังต้องสามารถคำนวณพื้นที่ ปริมาตร และรูปทรงอันซับซ้อน ทำให้ฟางหยวนนึกถึงชีวิตอื่นของเขา
โชคดี การศึกษาลัทธิขงจื๊อนั้นเป็นพื้นฐานของหยางฟาน และเขาสามารถตอบได้ทั้งหมด
ส่วนปัญหาเรื่องการคำนวณ ด้วยระดับพลังเวทย์สูงส่งของเขา ทักษะโดยรวมของสมองของเขานั้นก็ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ เขายังได้เรียนพื้นฐานการคำนวณมาในชีวิตอื่น ๆ และดังนั้น จึงสามารถตอบคำถามที่ผ่านเข้ามาได้ทั้งหมด
หลังจากคำนวณแล้วและแน่ใจว่าเขาไม่ได้เผอเรอทำผิดพลาดที่ตรงไหน เขาก็เขียนคำตอบลงไป
การคัดลายมือนั้นไม่ใช่ความถนัดของฟางหยวน แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมแรง ทุกเส้นที่ตวัดออกมาของเขาแม้ไม่ใช่ลายมือที่งดงามสมบูรณ์ แต่ก็ดีพอให้อ่านเข้าใจได้
ในเมื่อเขาเข้าใจดีถึงธรรมชาติของการสอบ แล้วเหตุใดฟางหยวนจึงจะไม่รู้จุดสำคัญของมัน?
พวกเขาไม่ได้ต้องการลายมือที่สวยงามสมบูรณ์แบบ แค่อ่านเข้าใจก็พอแล้ว
โดยไม่รู้ตัว ครึ่งวันก็ผ่านไป ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว
เขาไม่จำเป็นต้องเงยหน้าขึ้นมา เสียงแกรกกรากที่ด้านข้างก็บอกเขาทั้งหมด
‘ตอนนี้พวกเขาส่วนมากกำลังทำส่วนคำนวณอยู่ แต่มีบางคนเพิ่งตอบส่วนขงจื๊อเสร็จ’
ฟางหยวนส่ายหน้า วางพู่กันลงและพักดื่มน้ำสองอึกใหญ่
“ส่วนของคำนวณนั้นทดสอบความอดทนของผู้เข้าสอบ หากไม่มีความอดทนเพียงพอ จะทนอยู่ได้นานเพียงใดเชียว? ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะกระอักเลือดจากความเหนื่อยล้าถึงขีดสุด!”
ขณะที่เขามัวแต่คิด ก็มีการเคลื่อนไหววุ่นวายอยู่ทางตะวันออก ทหารสองคนแบกผู้เข้าสอบคนหนึ่งออกไป เสื้อผ้าของคนผู้นั้นมีรอยเปื้อนเลือด
บัณฑิตที่สองข้างของฟางหยวนก็เห็นภาพนั้นและหมดคำจะพูด
ฟางหยวนนั้นตรงกันข้าม ไม่ได้สนใจเลยสักนิดและพลิกหน้าคำถามสุดท้าย
มันเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายและการใช้งานจริง คำถามอยู่ในรูปของคดีและต้องการให้ผู้เข้าสอบใช้กฏหมายพื้นฐานในการตัดสินคดี มันค่อนข้างต้องใช้ความคิดของตนเองและยังเป็นกับดักสำหรับผู้เข้าสอบส่วนมาก
ถ้าผู้เข้าสอบนั้นเพียงแค่ศึกษาจากในตำราเท่านั้น ย่อมถูกคำถามเช่นนี้ดักเอาไว้
โดยไม่ลังเล ฟางหยวนหยิบพู่กันและเริ่มเขียน
ต่อให้เขาไม่รู้หลักการกำหนดนโยบาย แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นเจ้าเมืองและมีประสบการณ์
เมื่อเขาทำข้อสอบเสร็จ เขาก็ยังมีเวลาเหลืออีกถึงสองชั่วยาม
แน่นอนว่าฟางหยวนไม่รอนานไปกว่านี้ เขาเรียกเจ้าหน้าที่และส่งกระดาษคำตอบก่อนที่จะออกไปที่ห้องรอเพื่อดื่มชา หลังจากมีบัณฑิตเข้ามาในห้องรอมากขึ้น ทหารก็นำเอาคนชุดแรกออกไป
“ถ้าไม่เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้น เช่นนั้นข้าก็น่าจะได้ตำแหน่งแล้ว!”
เมื่อเขาออกจากสนามสอบ ฟางหยวนก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“แล้วหลังจากนั้น ข้าก็จะรู้ว่าความปรารถนาที่แท้จริงของหยางฟานคืออะไร…”
“พี่หยาง!”
อีกด้านหนึ่ง ผู้เข้าสอบผิวซีดร้องออกมาอย่างดีใจและมาถึงตรงหน้าฟางหยวน “ใครจะคิดว่าพี่หยางก็ทำข้อสอบเสร็จแล้ว! ไปดื่มกันหน่อยไหม ข้าเลี้ยงเอง?”
“ได้!”
มองเซียวมู่ที่ผอมแห้งแล้วฟางหยวนก็พยักหน้า และมองที่คอของเขาโดยไม่รู้ตัว
‘แม้ว่าเจ้าจะมีตราประทับของจ้าวแห่งฝัน มาหาข้าก็เท่ากับมาหาความตายแล้วไหม?’
แน่นอนว่าเซียวมู่นั้นไม่สามารถตรวจพบอะไรที่ผิดปกติได้เลย
แม้กระทั่งตอนที่เขาอยู่ในสนามสอบและถูกตรวจโดยเจ้าหน้าที่ เขาก็คิดว่าเขานั้นเพียงปกปิดตัวตนได้ไม่ดีพอเท่านั้น เขาปฏิบัติกับฟางหยวนราวกับเป็นบิดาและดึงเขาไปที่ร้านอาหาร นั่งลงและเริ่มดื่มด้วยกัน
“พี่เซียวมาจากที่ไหนรึ? หรือว่าจะเป็นตระกูลเซียวในมณฑลนี้?”
ฟางหยวนถือถ้วยเหล้าเอาไว้ ใบหน้าแดงเรื่อ
“ข้าให้ท่านรู้ก็ได้ ข้าเป็นสมาชิกตระกูลเซียวจริง ๆ นั่นแหละ แต่บรรพบุรุษของข้าน่ะเป็นเจ้าคนไร้ประโยชน์ เพราะอย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็เป็นแค่ตระกูลธรรมดาตระกูลหนึ่ง…”
ถึงตอนนี้ เซียวมู่ก็ถอนหายใจและสัมผัสความเกลียดชังได้นิด ๆ
“มา สุรานี่ดีมาก ดื่มอีกสักหลาย ๆ ถ้วย!”
ขณะเล่าเรื่อง เขาก็สนับสนุนให้ฟางหยวนดื่มเหล้าให้มาก ฟางหยวนก็ยกถ้วยขึ้นดื่มและในที่สุดก็เมามายไป จากนั้นเขาก็ถูกพากลับไปที่โรงพักแรม
“มา… พี่เซียว ดื่มอีก!”
ฟางหยวนนอนลงบนเตียง เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า เขาพึมพำสองสามประโยคก่อนที่จะหลับลึกไป
“โอกาสดี!”
สีหน้าของเซียวมู่เปลี่ยนไปและไม่ได้ดูเมามายอีกต่อไป
เขามองฟางหยวนแล้วกล้ามเนื้อบนใบหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้น ทันใดนั้น เขาก็กระชากเสื้อตัวเองขาดออก เผยให้เห็นประทับวิญญาณที่บนคอ ก่อขึ้นมาเป็นรูปของกะโหลกผีสีเขียว
“เห็นหรือยัง? ที่คือผู้ที่รบกวนท่านอยู่!”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความล่อลวง ขณะพูดกับภูตผีนั่น “ไปหาเขา! ไม่ต้องมายุ่งกับข้าอีก! ไป!”
พร้อมกับเสียงของเขา รอยสักบนคอของเขาก็เริ่มเปล่งประกายและหมุนราวกับมันมีชีวิตขึ้นมา มันสั่นเบา ๆ และช้าลง
“เด็กดี ไป…ไปหาเขา อย่ามารบกวนข้าอีก!”
เซียวมู่ดูบ้าคลั่งขณะวางมือลงบนร่างฟางหยวน รอยสักค่อย ๆ ขยับมาที่ข้อศอกเขาช้า ๆ และในที่สุดก็หยุดอยู่ที่นั่น
“ไปสิ…ไป…ทำไมถึงหยุดล่ะ? ทำไมถึงอยากวุ่นวายกับข้านัก?”
หลังจากพยายามพูดให้มันไปอยู่หลายครั้ง เซียวมู่แทบจะเป็นบ้าไป เขาตะโกนออกมามีความเสียใจแทรกในน้ำเสียง “ไปซะ! ข้าหาเหยื่อให้เจ้าแล้ว เพราะงั้นก็เลิกยุ่งกับข้าได้แล้ว!”
“เคี้ยก เคี้ยก!”
เสียงหัวเราะของเจ้าผีนั่นล่องลอยอยู่ในห้องเงียบ ๆ
แม้ว่ามันไม่สามารถพูดได้ เซียวมู่ก็ดูจะเข้าใจมัน “เจ้าทำไม่ได้…ในตอนนี้? เจ้าต้องการเวลาสามคืนเพื่อ…แทรกซึมเข้าไป? อยู่ใกล้ ๆ… ห้ามไปไหน?”
“แปะ!”
เขาประกบมือ “ได้ ข้าจะดูว่าควรทำอย่างไร!”
มองฟางหยวน เขาก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่บ้างแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจ “พี่ฟาง อย่าโทษข้าเลย! ถ้าจะโทษ ก็โทษที่พวกเราเป็นคนแบบเดียวกัน และถูกเจ้าสิ่งงี่เง่านี่ข่มเอา!”
เซียวมู่ตัดสินใจแล้ว เขารีบลงไปข้างล่างและหาคนดูแลเพื่อจองห้อง
บนเตียง ฟางหยวนที่ควรจะเมาอยู่ก็ลืมตาขึ้น “รอยประทับนี่… ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาแล้ว…”
เขาทำท่าอ่อนแอเพื่อให้เซียวมู่ลดการระวังตัวลงและเผยธาตุแท้ออกมา
แต่ว่า รอยประทับของเจ้าแห่งฝันเช่นนี้ก็ยากที่จะพบได้ มันเหมือนมีชีวิต ทำให้ฟางหยวนรู้สึกงุนงง
“จากปฏิกิริยาของเซียวมู่ ดูเหมือนว่าเขาจะทรมานจากรอยประทับนี้มาก นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องพื้น ๆ เช่นจ้าวแห่งฝันมองหาคนรับใช้ก็เป็นได้…”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกายขึ้น
…
หลังจากหลายชั่วโมง
เขาก็แกล้งทำเป็นสร่างเมาและเห็นเซียวมู่ตอนที่เขาลงบันไดมา
“พี่หยาง ท่านตื่นแล้ว! ข้าขอให้ห้องครัวเตรียมน้ำแกงสร่างเมาให้ท่านเป็นพิเศษเลย!”
เขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เหมือนเป็นโรคติดต่อ “หลังจากได้คุยกับท่าน ข้ารู้สึกเหมือนได้เรียนรู้จากความรู้ในโลกนี้ของท่าน ข้าอยากจะอยู่เรียนรู้จากท่านให้ได้ทั้งวัน ข้าก็เลยย้ายมาอยู่ห้องติดกันกับท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่ว่าอะไร!”
“ในเมื่อที่นี่คือโรงพักแรม ทุกคนที่นี่ก็เป็นแขกผู้หนึ่ง! ท่านไม่ต้องคิดมากเกินไป!”
ฟางหยวนยิ้ม “ดีที่ข้าไม่มีธุระอะไรในช่วงหลายวันนี้และต้องรอให้ทางเมืองประกาศผลสอบ ข้ายังคิดอยู่ว่าจะใช้เวลาทำอะไรดี!”
“ถ้าพี่หยางไม่ว่าอะไร ข้าอยากจะพาท่านเดินดูรอบเมือง!”
เซียวมู่ยินดีมาก หมอกในดวงตาของเขาขยายกว้างขึ้น…
เที่ยงคืนแล้ว และทุกคนก็เหน็ดเหนื่อยและกำลังพักผ่อน
“มาสิ!”
ฟางหยวนจุดเทียนและนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง เขาพบหมอกสะกดสีเขียวจาง ๆ จากห้องติดกันกับเขาและหัวเราะออกมา “ข้าก็อยากจะเห็นว่าคือตัวอะไรกันแน่!”
เขาเพิ่งสมาธิและโบกมือ หมอกสะกดสีขาวปรากฏขึ้น ขวางหมอกสีเขียวเอาไว้ เขาแยกหมอกสีเขียวออกมาเล็กน้อยแล้วปล่อยให้มันล้อมอยู่รอบฝ่ามือของเขา ราวกับงูเขียวตัวเล็กเลื้อยวนไปรอบ ๆ นิ้วของเขา