ทางเหนือ
เสียงครืนโครมดังมา ทรายฟุ้งอยู่กลางอากาศขณะพื้นดินสั่นสะเทือน
มีแถวของทหารม้าราวกับเมฆดำ พวกเขาแข็งแกร่งราวกับพายุหมุนและยังน่ากลัวราวสายน้ำหลาก ไม่มีใครสามารถต้านทานพวกเขาได้
ริมทะเลสาบจันทร์เสี้ยว ทหารจากประเทศเล็ก ๆ ล้วนตระหนก ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาจะดุด่าอย่างไร สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น และพวกมันทั้งหมดก็รู้สึกราวกับกำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
กระทั่งทหารหาญของประเทศอู่เองก็ยังดูวิตกขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ก่อนที่ทหารจากประเทศหยวนจะมาถึง นี่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกกลัวเล็กน้อย
ต่อหน้าทหารของประเทศหยวน แม้ว่าทหารของประเทศอู่จะเก่งกล้า ก็ยังนับว่าด้อยกว่าพวกเขา
ม้าควบมาด้วยความเร็วเต็มที่ และนับเป็นทหารกว่าหมื่น
เมื่อพวกเขามาถึงริมทะเลสาบ ทหารก็หยุดและเริ่มตั้งกระโจม ที่ใจกลางกลุ่มกระโจมทหาร เป็นกระโจมทองคำขนาดใหญ่ตั้งขึ้นก่อน ที่พื้นปูด้วยขนแกะคุณภาพเยี่ยม ที่ด้านนอก ตกแต่งด้วยแผ่นทองคำ อัญมณีและหยก กระโจมนี้ดูราวกับพระราชวังและกดข่มประเทศอื่นลงไป
“นี่เป็นธงของราชาหยวน!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นมองธงที่อยู่บนกระโจมทองคำและเข่นเขี้ยวขึ้นมา “เขาเป็นแค่เจ้าชายคนหนึ่ง แล้วคิดว่าตนเองนั้นเป็นตัวแทนของทั้งประเทศหรืออย่างไร? ช่างโอหังนัก!”
“พวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเรา แล้วเราจะทำอะไรได้?”
ฟางหยวนไม่สนใจเรื่องนั้น “ในเมื่อเจ้าภาพฝ่ายหนึ่งมาแล้ว พวกเราก็ควรไปได้แล้วเหมือนกัน!”
อันที่จริง ถ้าประเทศอื่นที่เหลือร่วมมือกัน ประเทศหยวนย่อมไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ว่า ประเทศอื่นที่เหลือก็ล้วนมีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ดังนั้นจะร่วมมือกันเอาชนะศัตรูได้อย่างไร?
“ไม่ต้องพูดถึงว่า ประเทศหยวนเองก็ต้องการโจมตีประเทศที่มีอำนาจอย่างเช่นประเทศเซี่ยและประเทศอู่อยู่ตลอดเวลา ราชาองค์อื่น ๆ ย่อมยินดียืนมองอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น!”
เพราะความเข้าใจเช่นนี้ ฟางหยวนจึงรู้สึกว่าประชุมอะไรนี่มันช่างไร้สาระ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก็เป็นเวลาพิธี ราชาจากแต่ละประเทศค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นที่ละคนและเข้าไปนั่งตำแหน่งของตน
เซี่ยหลิงอวิ๋นกัดริมผีปากและเข้าไปหาฟางหยวน “อาจารย์… ถ้าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ท่านก็รักษาตัวให้ปลอดภัยด้วย!”
“ข้ารู้!”
ฟางหยวนรู้อย่างชัดเจนว่าตั้งแต่ที่เขามีโอกาสที่จะทะลวงฝ่าสู่ขอบเขตแยกธาตได้ ประเทศเซี่ยก็ขึ้นอยู่กับเขาแล้ว นี่เป็นเหตุผลให้ความปลอดภัยของฟางหยวนนั้นมีความสำคัญสูงสุดสำหรับพวกเขา
แต่ว่า เขาบอกนางเช่นนั้นไม่ได้ดังนั้นจึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น องค์หญิงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วในเรื่องนี้
สิ่งเดียวที่นางทำได้ก็คือแนะนำผู้อื่นให้ฟางหยวนรู้จัก
“นั่นคือราชาของประเทศฉี ประเทศฉีนั้นร่ำรวยจากการค้าเกลือ และนี่ก็เป็นข้อได้เปรียบของเขา แม้ว่าประชาชนจะร่ำรวย แต่กลับมีนักรบศักดิ์สิทธิ์หรืออู่จงที่เก่งกาจจากที่นั่นไม่มากนัก…”
เซี่ยหลิงอวิ๋นแนะนำพวกเขาอย่างละเอียดให้ฟางหยวนรู้จักทีละคน “แล้วก็ ผู้ชายที่หน้าแดงมีเลือดฝาดทางนั้นคือราชาของประเทศคุน แม้ว่าประชาชนในประเทศคุนจะยากจนกว่า แต่กลับสามารถฝึกนักสู้ผู้แข็งแกร่งได้ คนของพวกเขานั้นกล้าหาญพอที่จะสู้กับทหารของประเทศอู่ได้ ในการต่อสู้ครั้งก่อนที่ทะเลสาบเหลือง ภายใต้การนำของแม่ทัพเฟยหลง ประเทศอู่ใช้เวลาเกือบ 5 ปีแต่แทบจะเรียกว่าชนะประเทศคุนไม่ได้ หลังจากสงคราม ประเทศอู่ใช้ทรัพยากรไปมหาศาล และตั้งแต่นั้น พวกเขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้ายึดครองประเทศคุน…”
ฟางหยวนเหลือบมองราชาประเทศคุนอย่างสนใจและพบว่าคนผู้นั้นมีความสามารถ องค์ราชาเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ และตอนนี้อยู่ที่ระดับสูงสุดของประตูทองที่ 12 เขาโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางองค์ราชาอื่น ๆ
ในตอนนั้นเอง ราชาร่างอวบอ้วนคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามก็มองฟางหยวน และทักทายเขาอย่างนอบน้อม
“นั่นใคร?”
มีคำกล่าวว่าคนเราไม่ควรปฏิบัติไม่ดีกับผู้อื่นที่ยิ้มให้เรา ฟางหยวนมองธงที่ด้านหลังราชาผู้นั้นแล้วถาม
“เป็นราชาของประเทศจู เขาเป็นชายชราที่ดีผู้หนึ่ง เขายังได้รับความเคารพจากคนของเขาและยังคล้ายคลึงกับราชาของประเทศเซี่ย!”
เซี่ยหลิงอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
ฟางหยวนรู้ว่านางหมายความว่าอย่างไรเมื่อได้ยินเช่นนั้น ราชาองค์นี้ก็เป็นหุ่นเชิดเช่นกัน ถูกวางเอาไว้ในตำแหน่งนี้เพื่อรักษาความสงบภายในประเทศ ดูเหมือนราชาแห่งประเทศจูนั้นก็เหมือนกับราชาจากประเทศเซี่ยนั่นเอง
แต่ว่า ฟางหยวนนั้นไปก่อความวุ่นวายในประเทศจู และยังจับราชาพิษ เจียอู๋หมิง เอาไว้ ดังนั้น ฟางหยวนจึงเรียกได้ว่าร้ายกาจและโหดเหี้ยม และนั่นเป็นเหตุผลให้ราชาองค์นั้นดูจะนับถือและหวาดกลัวฟางหยวน
ในการประชุมหยวนอู่นั้นก็มีธรรมเนียมปฏิบัติ
ที่บนยกพื้น มีเพียงราชาเท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่งลง ผู้อื่นที่มาด้วยนั้นต้องยืนอยู่ด้านข้าง
ทุกปี เจ้ามณฑลทั้งสามของประเทศเซี่ยนั้นทำได้เพียง ‘ดูแล’ ราชาของประเทศเซี่ยที่มาเข้าประชุม และคอยปกป้องเขาอยู่ด้านหลัง
ตอนนี้ ฟางหยวนและเซี่ยหลิงอวิ๋นเองก็ยืนอยู่ด้านหลังราชาแห่งประเทศเซี่ยเช่นกัน แต่ครั้งนี้ ตำแหน่งของประเทศเซี่ยนั้นขยับขึ้นมาทางด้านหน้าเล็กน้อย
‘งั้นนี่ก็เป็นตำแหน่งที่ประเทศเซี่ยไขว่คว้ามาได้หลังจากการประชุมครั้งก่อน?’
ฟางหยวนรู้ว่าถ้าเขาประกาศแยกอี้ซานฝูออกมาเป็นประเทศด้วยตัวเขาเองในการประชุมครั้งนี้ เขาย่อมมีตำแหน่งของตนเอง
แน่นอนว่า เขาต้องทำเช่นนั้นด้วยตนเองและยังต้องรับมือกับประเทศอื่น ๆ ก่อนเป็นลำดับแรก
‘ข้าไม่แน่ใจว่าประเทศหยวนและอู่เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้หรือไม่ ข้าจะรอดูไปก่อน!’
ฟางหยวนเห็นราชาหลายองค์นั่งลงและนักดนตรีที่อยู่รอบ ๆ ก็เริ่มเล่นเพลงเพื่อเป็นการต้อนรับพวกเขา แม้ว่าดนตรีจะฟังโบราณ ฟางหยวนก็ยังรื่นรมย์ไปกับบทเพลงได้
พิธีการเช่นนี้หาได้ยากเช่นกัน
ท่ามกลางเสียงกลอง ราชาแห่งประเทศอู่และองค์ชายจากประเทศหยวนก็ลงจากหลังม้า
“มีข่าวลือว่าอู่เฉียนคุน ราชาของประเทศอู่นั้นมีความสามารถในเชิงยุทธ์มาก พูดได้ว่า เขาเป็นราชาผู้โดดเด่นที่รวมประเทศเป็นปึกแผ่นขึ้นทีละน้อย… แน่นอนว่า ตั้งแต่การพ่ายแพ้ครั้งนั้น ชื่อเสียงของเขาก็สะเทือนไปด้วย เมื่อไม่นานนี้ ยังมีปัญหากับประเทศหยวน…”
ตอนที่เซี่ยหลิงอวิ๋นพูด เสียงของเธอก็เบาลงจนแทบไม่ได้ยิน
อย่างไรเสีย ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาก็จะกลายมาเป็นสามีของนาง
แต่ว่า ไม่มีใครควบคุมได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
“ไม่เลวเลย!”
ฟางหยวนมองอู่อู๋เต๋าที่ยืนอยู่ด้านหลังอู่เฉียนคุนและส่ายหน้า จากนั้นเขาก็มองกลุ่มคนจากประเทศหยวนและถาม “แล้วเด็กหนุ่มตรงนั้นล่ะ?”
“เขาคือองค์ชายแปดของราชาหยวนจากประเทศหยวน เขามีนามว่า เก่อรื่อถู ซึ่งหมายถึง ส่องแสงสว่างไสว! เพราะยังอายุน้อยและยังมีตระกูลที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง เขาจึงเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์”
เซี่ยหลิงอวิ๋นเลิกคิ้วสูง
ตอนที่องค์ชายแปดมาถึง นางดูไม่มั่นใจเลยและพบว่าว่าตัวนางเองเอาแต่มององค์ชายผู้นั้น ก่อนที่จะรู้สึกอับอายและโมโหตัวเอง
“เจ้ามีสายตาแหลมคมทีเดียว!”
ฟางหยวนพยักหน้าและส่ายหน้า “ประเทศหยวนนั้นมั่นคงแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดชนเผ่าดั้งเดิมออกไปได้ และยังมีความขัดแย้ง และข้าเกรงว่าจะเกิดเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว!”
ท่ามกลางประเทศต่าง ๆ ทุกคนเชื่อว่าบุตรชายคนโตของตระกูลจะเป็นผู้ได้ขึ้นครองบัลลังก์ต่อ ภายใต้อิทธิพลของประเทศอื่น ๆ ประเทศหยวนเองก็ต้องให้ความสนใจเรื่องนี้
นอกจากนี้ การมีหมอผีและความสามารถในการรักษาที่เหนือชั้น อายุขัยของประชาชนในประเทศหยวนก็ยาวขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมหมายถึงปัญหาที่จะตามมา
มันอาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างพี่น้องได้ในอนาคต
ดวงตาของเก่อรื่อถูกวาดผ่านราชาจากประเทศทางใต้และเห็นใบหน้าหลากแบบ ซีดเซียว เป็นมิตร และหวาดกลัว ‘จริงสินะ… คนทางใต้นั้นอ่อนแอและยังมีปัญหาภายในต่อกัน ต่อไป ข้าจะเข้าครอบครองดินแดนผืนนี้และดินแดนผืนนี้ก็จะเข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง!”
ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นแม่นางผู้หนึ่ง
ชุดสีขาวของนางนั้นขยับไหวและยังดูสง่างาม นางดูมีสง่าราศีแม้ว่าใบหน้าจะไร้ความรู้สึกใด และเขาก็รู้สึกหวั่นไหวไปกับภาพที่เห็นนั้น
‘ในเมื่อพี่ชายใหญ่นำองค์หญิงจากเผ่าตะวันดับไปถวายให้บิดา และทำให้บิดาพอใจมาก เช่นนั้นข้าก็ไม่ควรละเลยเช่นกัน’
จากนั้นเขาก็ชะงักและถามด้วยสำเนียงแบบคนทางใต้ “เจ้าคือ…”
“องค์ชายแปด นางคือบุตรีของราชาแห่งประเทศเซี่ย องค์หญิงหลิงอวิ๋น!”
เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอบ
“เจ้าไม่เลวเลย! ดีมาก!”
เก่อรื่อถูหัวเราะ ทำให้ฟางหยวนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“แล้วเจ้าล่ะ?”
เก่อรื่อถูกหันไปหาฟางหยวน
“องค์ชายแปด!”
จากนั้นอู่อู๋เต๋าก็แนะนำเขาด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก “นี่คือนักรบระดับสูงจากทางใต้ เขาคือเจ้าเมืองอี้ซานฝูจากประเทศเซี่ย และชื่อของเขาคือฟางหยวน! เขาอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น!”
“เจ้าก็คือฟางหยวน!”
องค์ชายแปดจ้องฟางหยวนและพูด “ลองประมือกับนักรบระดับสูงของประเทศหยวนดูเป็นอย่างไร? จ้าวลี่เก่อถู!”
องค์ชายแปดตะโกน และชายหน้าตาบูดบึ้งผู้หนึ่งก็เดินตรงเข้ามา
ชายผู้นั้นสูง 8 ฉื่อและรูปร่างล่ำสัน ดวงตาแคบเล็กมีประกาย และยังมีสันจมูกสูงเด่น ทำให้ดูเหมือนสุนัขป่าเหมือนอินทรีในเวลาเดียวกัน เขาสวมชุดคลุมเรียบ ๆ แต่เผยหน้าอกและยังมีรอยสักรูปสุนัขป่าสีเขียว
ชื่อของเขา จ้าวลี่เก่อถู นั้นหมายความว่าปราศจากความกลัวในภาษาของดินแดนทุ่งหญ้า
ชายผู้นั้นมีพลังลึกล้ำ จากเท่าที่ฟางหยวนเห็น เขาเป็นอู่จงผู้มีอำนาจผู้หนึ่ง และยังเหนือกว่าแม่ทัพเฟยหลงจากประเทศอู่
“ข้าจะพนันด้วยม้าศึก 100 ตัวและทอง 10 เหรียญ ว่านักรบของเจ้าสู้ของข้าไม่ได้!”
องค์ชายแปดเดินขึ้นหน้ามาและจ้องมองไปที่ราชาแห่งประเทศเซี่ย “ฟังดูเป็นอย่างไร?”
“แค่ก…”
ราชาของประเทศเซี่ยกระแอมไอ และใบหน้าก็ซีดลงไปกว่าเดิม
เซี่ยหลิงอวิ๋นทนดูไม่ได้ นางเหยียดตัวขึ้นและพูด “ได้โปรดให้ความเคารพกันด้วย องค์ชายแปด! การประชุมยังไม่ได้เริ่มและท่านก็ทำลายข้อตกลงของพวกเราแล้วงั้นรึ?”
เก่อรื่อถูอึ้งไปเมื่อได้ยิน
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองนั้นเป็นเพียงองค์ชาย ไม่ใช่ราชา นอกจากนี้ ตำแหน่งรัชทายาทของเขานั้นก็ยังใช่จะมั่นคงด้วย
ราชาหยวนนั้นไว้ใจให้เขาเป็นตัวแทนประเทศในการประชุมนี้ ถ้าเขาสร้างปัญหาขึ้นมาเพียงเพราะวู่วามเกินเหตุ พี่น้องของเขาย่อมไม่ปล่อยโอกาสทองในการกดข่มเขาหลุดมือไปเป็นแน่
เขาได้แย่ยิ้มเย็นและเดินห่างออกไปกลับไปสู่ที่นั่งของตน
เจ้าหน้าที่ผ่อนลมหายใจโล่งอกและตะโกนด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ “องค์ราชาทุกท่านรับความเคารพจากเหล่าทหาร!”
การประชุมหยวนอู่นั้นเป็นพื้นที่แสดงความแข็งแกร่งของทุกคนและเพื่อเลือกผู้นำในการประชุม!
ก่อนหน้านี้ โอกาสเช่นนี้นั้นมีให้แต่เพียงประเทศหยวนและอู่
ถ้าประเทศอู่ได้รับเลือก ทุ่งหญ้าก็จะสงบสุข และสามารถใช้โอกาสในฐานะผู้นำการประชุมเข้ายึดครองดินแดนมาเป็นของตน
ถ้าประเทศหยวนได้รับเลือก เมื่ออยู่แล้วว่าประเทศทางใต้นั้นอ่อนแอกว่าก็จะทำให้พวกเขาส่งกองโจรออกไปเพื่อปล้นชิงคนที่อาศัยทางใต้
‘ไม่ว่าอย่างไร… นี่ก็ไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป! ไม่! นี่ไม่เกี่ยวข้องกับประเทศเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ…’
ฟางหยวนเหลือบมองราชาของประเทศเล็ก ๆ และรู้สึกสงสารพวกเขา “เมื่อราชสำนักเรืองอำนาจ ประชาชนก็ลำบาก เมื่อเกิดสงคราม ประชาชนยิ่งทุกข์ร้อน! โชคดี นี่เป็นโลกที่พิเศษ และยังมีผู้ฝึกตนอย่างพวกเราอยู่!”
“หวู่! หว่อ!”
เสียงเป่าแตรดังมา เป็นสัญญาณให้เหล่ากองทัพกล้าของทุกประเทศออกมาจากค่าย พวกมันจัดกระบวนทัพอย่างระวัง ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา พวกมันเดินผ่านบริเวณยกพื้นไปอย่างสง่างาม
ภายในไม่กี่นาที ที่ด้านล่างยกพื้นก็เต็มไปด้วยทหารนับหมื่นแสน เกราะของพวกมันกระทบกันดังเปรื่อง ดาบกระบี่สะท้อนแสงอาทิตย์ ทั่วทั้งบริเวณดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากว่าเดิม
‘อืม ทหารระดับสูงส่วนมากแล้วเป็นผู้ฝึกยุทธ์ประตูทองที่ 4 ที่สามารถใช้พลังภายในได้ สภาพร่างกายโดยเฉลี่ยของทหารพวกนี้ค่อนข้างดี…’
ฟางหยวนมองกระบวนทัพต่าง ๆ อยู่ครู่หนึ่งและเข้าใจในที่สุดว่ากำลังจะเกิดอะไรต่อไป