Chapter 207: หยั่งรู้
นอกไปจากเมืองซิงลั่ว จะทะเลทรายยิ่งใหญ่ หรือทางเดินมรณะแล้ว ล้วนไม่ใช่ที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้
พวกเขาจึงถูกบีบให้เกิดเป็นหมู่บ้านจํานวนมาก
บรรพบุรุษของทุกๆหมู่บ้านก็คือผู้ที่พ่ายแพ้ในการต่อสู้ในต้าเฉียน และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอพยพออกมา
เส้นทางจากต้าเฉียนมาถึงที่นี่นั้นเป็นไปได้เพราะการเสียสละตนเองจากบรรพบุรุษมากมาย ก่อนหน้าพวกเขาเท่านั้น
แต่ว่า ความจริงก็คือบรรพบุรุษของเมืองซิงลั่วนั้นก็เช่นเดียวกันกับคนที่เหลือติดอยู่ที่นี่ และปฏิเสธที่จะเดินทางผ่านสายลมเยือกแข็งและช่องเขาน้ําแข็ง
“นี่ไม่ถูก
ฟางหยวนมองเจ้าเมืองซิงลั่วและจู่ๆก็คิดถึงบางอย่างขึ้นมา
“มันดูเหมือนทุกอย่างนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างไรเสีย ไม่ว่าชาวเมืองหรือชาวหมู่บ้านจะต้องทนทุกข์เพียงไหน ผู้คนที่มีสถานะสูงส่งเหล่านี้ก็ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่ามีแรงบันดาลใจที่จะเสี่ยงชีวิตของตนมุ่งหน้าสู่ทางใต้ ถ้าจะเอาชีวิตของตัวเองไปเป็นเดิมพัน เสี่ยงเดินทางผ่านช่องเขาน้ําแข็งแล้ว เหตุใดจึงไม่มุ่งหน้ากลับสู่อาณาจักรต้าเฉียนเล่า!”
ขนาดประเทศหยวนและอู่ของดินแดนทางใต้ยังเป็นแค่สลัมเมื่อเทียบกับอาณาจักรต้าเฉียน
จากความทรงจําของหยางฟาน ฟางหยวนรู้เรื่องนี้ดี
นี่สามารถอธิบายได้ว่าทําไมคนจากประเทศที่ยากจนกว่าจึงต้องการเสี่ยงชีวิตอพยพไปสู่ประเทศที่มั่งคั่งกว่า และน้อยนักที่จะเห็นผู้คนเดินเส้นทางตรงข้าม
“นี่คือความจริง ใครจะรู้ว่าเขาเป็นเจ้าเมืองรุ่นที่เท่าไรไม่รู้ในเมื่อศัตรูที่พวกเขาก่อเอาไว้ในอาณาจักรต้าเฉียนไม่ได้ตามล่าพวกเขามาถึงที่นี่ มันน่าจะหมายความว่าคนพวกนั้นล้มเลิกไปแล้ว หากพวกเขาเปลี่ยนชื่อแซ่และแอบกลับไปต้าเฉียน พวกเขาย่อมมีโอกาสที่ดีที่จะอาศัยอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต แต่ว่า พวกเขาคงจะอยากเป็นราชาและปกครองเหนือเมืองนี้มากกว่า
ฟางหยวนคิดถึงบางอย่าง เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาเข้าใจคนเหล่านี้ที่ละทิ้งแผนการเดิมที่จะอพยพสู่ทางใต้ได้มากขึ้นกว่าเดิม
เขาพูดต่อพร้อมยิ้ม “มันสําคัญด้วยหรือว่าข้ามาจากทางใต้หรือไม่?”
“ก็จริง…”
เจ้าเมืองซิงลั่วลูบเคราโดยไม่พูดอะไรอีก ชัดเจนว่าเขาจะไม่เสี่ยงออกสํารวจดินแดนทางใต้ของช่องเขาน้ําแข็ง
“ท่านเจ้าเมือง ท่านมาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านหงเยี่ย?”
ฟางหยวนเปลี่ยนเรื่องคุย “ทุกคนในหมู่บ้านหายตัวไปโดยไม่ทิ้งข้อความเอาไว้ และทั้งหมู่บ้านก็นองไปด้วยเลือด ไม่มีศพ สถานการณ์ลึกลับนัก!”
“ท่านอาจจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เพราะว่าท่านไม่ได้มาจากดินแดนของพวกเรา แต่ว่า นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ…”
เจ้าเมืองถอนหายใจ “มันเป็นเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นเป็นประจํา หากเป็นเหตุการณ์เล็กๆ ก็จะกระทบกับคนเพียงสิบกว่าคน แต่หากมันกว้างขึ้นก็อาจจะกระทบกับคนเป็นหลายร้อย หรือกระทั่งทั้งหมู่บ้านก็ได้ ดังนั้น พวกเราก็ไม่พบว่ามันผิดปกติแต่อย่างใด”
“ท่านคิดว่าคําสาปพวกนั้นมาจากไหนหรือท่านเจ้าเมือง?”
ฟางหยวนลดสายตาลงเพื่อเลี่ยงการสบตา
“ตามการคาดเดาของข้า… มันมาจากสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่า!”
เจ้าเมืองเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น “การคงอยู่ของพวกเรานั้นเป็นปาฏิหาริย์ คําอธิบายเดียวที่ฟังมีเหตุผลก็คือการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งขึ้นไป…”
“ถึงแม้สิ่งมีชีวิตระดับสูงพวกนั้นจะถูกทําลายไป ความเกลียดชังและความโกรธเกรี้ยวจากพวกเขาก็ยังคงล่องลอยอยู่ไปจนชั่วนิรันดร์ เมื่อเจอกับพายุ มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นมังกรพิษได้”
“วิญญาณของพวกเขาไม่เคยตาย…”
ดวงตาของฟางหยวนเป็นประกาย “ ท่านเจ้าเมือง ท่านเดาว่านั่นเป็นวิญญาณแค้นที่ล่องลอยอยู่ทั่วไปงั้นรึ?”
“สําคัญด้วยหรือว่ามันมีอยู่หรือไม่มีอยู่?”
เจ้าเมืองหัวเราะ “ด้วยค่ายกลเวทย์สี่ธาตุ จะวิญญาณแค้นหรือคําสาปก็ไม่สามารถเข้าใกล้พวกเราได้”
แล้วหมู่บ้านเหล่านั้นล่ะ?
ชาวบ้านพวกนั้นจัดเป็นชนชั้นต่ํา เขาต้องสนใจด้วยหรือ?
“ก็จริง”
ฟางหยวนถอนหายใจยาว
ในโลกซึ่งพลังคืออํานาจ มันก็คงจะใสซื่อเกินไปที่จะคาดหวังกับผู้มีพลังอํานาจ
“เช่นนั้นท่านมาเยือนที่นี่มีจุดประสงค์ใด ท่านเจ้าเมือง?”
“ข้าได้ยินข่าวการมาถึงของอู่จงผู้หนึ่งและพบว่ามันน่าสนใจ ดังนั้นข้าจึงมาขอพบ!”
เจ้าเมืองมองฟางหยวนอย่างสนใจเป็นอย่างมาก “ท่านต้องการเข้าร่วมกับเมืองซิงลั่วหรือไม่? หากท่านตกลง ข้าจะปฏิบัติกับท่านแบบเดียวกับพระคุณเจ้าคงหมิง!”
“พระคุณเจ้าคงหมิงเป็นจ้าวแห่งกลไก!”
ฟางหยวนตกใจ “ท่านเจ้าเมือง เหตุใดท่านจึงคิดว่าอู่จงน้อยคนหนึ่งจะเทียบกับจ้าวแห่งกลไกที่มีพลังได้?”
“ข้ามีแผนการของข้า!”
เจ้าเมืองยิ้ม เต็มไปด้วยความมั่นใจ “ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า?”
“ข้าต้องขออภัย!”
ฟางหยวนปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเล “ความฝันของข้าอยู่ที่ต้าเฉียน…”
“น่าเสียดาย…”
เจ้าเมืองไม่ได้รู้สึกผิดหวังนัก เขาเพียงออกปากด้วยความปรารถนาดีเท่านั้น “ทะเลทรายรกร้าง นรกพันปีศาจ และทางเดินมรณะนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่ได้เดินทางผ่านไปได้โดยง่าย มีเพียงดินแดนผืนเล็กๆแห่งนี้เท่านั้นที่เหมาะจะดํารงชีวิตอยู่ และดินแดนส่วนอื่นที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าเมื่อใดที่ท่านรู้สึกเสียใจ ก็กลับมาที่นี่ได้เสมอ ประตูเมืองซิงลั่วจะเปิดต้อนรับท่านตลอด…”
“ขอบคุณท่าน!”
ฟางหยวนกล่าวขอบคุณและจบการพบปะสั้นๆลง
“เจ้าเมืองผู้นี้ดูเกื้อกูลมากเกินไป ข้าแน่ใจว่าเขาต้องมีความคิดแอบแฝง!”
มันน่าสงสัยที่เขาเสนอตําแหน่งสูงส่งให้ฟางหยวนแม้ความจริงแล้วฟางหยวนนั้นไม่เคยช่วยเหลืออะไรพวกเขาเลย!
ธรรมชาติของมนุษย์ ที่ไหนๆก็เหมือนกัน
วันต่อมา เจ้าเมืองสั่งคนรับใช้ส่งแผนที่หนังสัตว์แผ่นหนึ่งมาให้ แม้ว่าลายเส้นบนแผนที่จะหนาและไม่ละเอียดนัก มันก็ยังสามารถวาดรูปร่างของเมืองซิงลั่ว ทะเลทรายรกร้าง ทางเดินมรณะ และอื่นๆ ออกมาได้อย่างแม่นยํา เป็นการแสดงความจริงใจของเจ้าเมือง
“ช่วยขอบคุณท่านเจ้าเมืองแทนข้าด้วย!”
หลังจากได้แผนที่ ฟางหยวนก็ไม่เสียเวลาอีก เขาบอกลาพระคุณเจ้าคงหมิงและออกจากอารามสัมโภคกาย
“อาจารย์?”
พระคุณเจ้าคงหมิงส่งฟางหยวนออกไปเป็นหลายลี้ด้วยตัวเอง เขานับลูกประคําในมือและสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในศิษย์ของเขานั้นอดรนทนไม่ไหว “เหตุใดจึงไม่”
“วาสนามีจุดเริ่มและจุดจบ ชะตามีขึ้นมีลง ทั้งหมดล้วนขึ้นกับบาปกรรม!”
พระคุณเจ้าคงหมิงถอนหายใจ โดยไม่อธิบายอะไรเพิ่ม เขาสะบัดแขนเสื้อ “พวกเรากลับอารามสัมโภคกาย พวกเจ้าทั้งหมด จําเอาไว้ หากไม่มีเรื่องจําเป็น ห้ามออกจากอาราม”
เดินไปตามถนนในเมืองซิงลั่วอีกครั้ง ฟางหยวนก็ประทับใจในชาวบ้านหลายคนและรู้สึกว่านี่ค่อนข้างน่าสนใจ
โดยไม่รู้ตัว เขาเดินไปถึงสุดเขตประตูตะวันออก
“หากเขาจะลงมือทําสิ่งใด เขาย่อมทํามันที่นี่”
ฟางหยวนถอนหายใจ
“ฝูบ!”
ครูต่อมา รอบตัวเขาก็ปั่นป่วนและสะเทือน ขณะที่พยายามทรงตัว เขาก็พบว่าคนที่รอบๆถนน และตลาดอันจอแจรวมทั้งกําแพงสูงล้วนหายวับไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือจัตุรัสกว้างใหญ่ และฟางหยวนยืนอยู่ที่ตรงกลาง
“ค่ายกลเวทย์? การเปลี่ยนแปรของค่ายกล?”
ฟางหยวนมองไปรอบๆ ด้วยสายตานับถือ “นี่น่าประทับใจจริงๆ”
“นี่คือเคล็ดมังกรเขียวทะยานฟ้าจากค่ายกลสี่ธาตุ เป็นเกียรติของข้าที่ท่านชื่นชอบค่ายกลนี้!”
ในจัตุรัสว่างเปล่า มีเสียงดังมาให้ได้ยิน
เขาร่างหนึ่งตรงเข้ามาหาเขาช้าๆ เป็นเจ้าเมืองซิงลั่ว
“เป็นท่านจริง ๆ!”
ฟางหยวนถอนหายใจอีกครั้ง “ข้าพบเห็นความลับของท่านโดยไม่ตั้งใจ แต่ข้าก็เตรียมตัวออกจากเมืองแล้ว เหตุใดจึงต้องบีบคั้นให้ข้าจนมุมด้วย?”
“นี่เป็นความผิดของข้าจริงๆ!”
เจ้าเมืองเงียบไปนาน จู่ๆเขาก็ถอนหายใจและพูดต่อ “เพื่อเป็นการชดเชย ข้าจะอธิบายทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกให้ท่านฟัง!”
หมู่บ้านหงเยี่ยและเหตุ
“ต่อให้ท่านไม่อธิบายต่อข้า ข้าก็สามารถเดาได้โดยคร่าวแล้ว การณ์ครั้งก่อนๆ ล้วนเป็นเพราะท่าน ข้าพูดถูกหรือไม่?”
ฟางหยวนส่ายหน้าและถอนหายใจ “ความตั้งใจของท่าน ก็คงเพื่อจะใช้พวกเขาเป็นเครื่องบูชายัญหรือแลกเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา เพื่อให้ท่านได้รับพลังอํานาจนี้!”
“ถูกต้อง เพื่อที่จะรักษาค่ายกลสี่ธาตุเอาไว้จนถึงตอนนี้ ท่านคิดว่าข้าต้องการทรัพยากรเท่าใด? ต่อให้พวกเราฝังแกนอุกกาบาตไว้ที่ใจกลางค่ายกล มันก็ยังไม่เพียงพอ! ข้าจําต้องคอยรักษาสภาพมันเอาไว้อย่างสม่ําเสมอ…”
“นี่แทบจะเหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้ว”
ฟางหยวนพยักหน้า “เช่นนั้นเหตุใดจึงมาหาข้า?”
“เพื่อที่จะรับมือกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บตลอดหลายปีมานี้ ค่ายกลสี่ธาตุนั้นเสียหาย แม้ว่าข้าจะพยายามซ่อมแซม แต่ข้าก็ยังขาดส่วนประกอบสําคัญ หลังจากคิดอยู่นาน ข้าก็คิดถึงการใช้เลือดเนื้อของอู่จงและส่วนประกอบอื่นๆที่ข้ามีอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะสามารถใช้วิธีนี้ทดแทนการบูชายัญคนจํานวนมากเป็นประจํา…”
“ในเมืองนี้ อู่จงทั้งหมดล้วนเป็นคนของท่าน ยกเว้นข้า ซึ่งเดินเข้าสู่กับดักของท่านอย่างมงาย…”
ฟางหยวนถอนหายใจ
“ถูกต้อง!”
เจ้าเมืองคารวะลงอย่างนอบน้อม “กรุณาพักผ่อนอย่างสงบ ทั้งเมืองซิงลั่วจะสํานึกในการเสียสละของท่านไปตลอดกาล…”
เมื่อเขาพูดจบ ร่างของเขาก็เปล่งประกายของ “ความยุติธรรม”
จากสีหน้าของเขา ฟางหยวนรู้ว่าเจ้าเมืองรู้สึกว่าทุกอย่างที่เขาทําอยู่นั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและภายใต้คําสั่งของเขา เขารู้สึกแม้ว่าฟางหยวน ผู้ซึ่งเป็นอู่จงคนหนึ่ง ก็ควรเสียสละตัว เองอย่างเชื่อฟังเพื่อสร้างรากฐานให้แก่ค่ายกลสี่ธาตุ!
“ความคิดนี้ของท่าน… ช่างน่าหงุดหงิด!”
ฟางหยวนส่ายหน้าโดยไม่มีความตั้งใจจะปิดบังความต้องการสังหารของตน
“ท่านคิดว่าท่านจะหนีได้?”
เจ้าเมืองซิงลั่วดูเต็มไปด้วยความมั่นใจและมีท่าทางผ่อนคลาย
เป็นที่เข้าใจได้ที่เขารู้สึกเช่นนั้น
อย่างไรฟางหยวนก็อยู่ที่ใจกลางค่ายกลสี่ธาตุของเขา
แต่ละรุ่นของจ้าวแห่งกลไกนั้นได้เปลี่ยนดินแดนพื้นนี้ไปเป็นกับดักอันสมบูรณ์แบบที่ไม่มีใครจะสามารถหนีรอดไปได้
เมื่อเขาปรบมือ อู่จงสองคนก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขามีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และตรงเข้าไปหาฟางหยวนช้าๆ
ด้วยความได้เปรียบในฐานะเจ้าเมือง อู่จงธรรมดาผู้หนึ่งก็ได้แต่ต้องเชื่อฟังเขาแล้ว
“จริงๆเลย”
หลังจากฟางหยวนรู้เหตุผลเบื้องหลังการตายของคนทั้งหมู่บ้านหงเยี่ย เขาก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขามีสีหน้าเยือกเย็น
“ข้าไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ท่าน แต่ท่านก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไป?”
ถึงอย่างนั้น ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลสี่ธาตุก็ทําให้ฟางหยวนตกใจ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
“ลืมมันไปซะ ข้าจะให้เจ้ารู้ว่านี่คือความผิดพลาดร้ายแรงของเจ้าแล้ว!”
ฟางหยวนสูดลมหายใจลึกขณะที่รัศมีพลังรอบตัวของเขาเปลี่ยนไป
“ไม่ถูกต้องแล้ว!”
ถึงตอนนี้ เจ้าเมืองก็อ้าปากค้าง “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าการเผาผลาญพลังของคนผู้นี้มากกว่าอู่จงธรรมดาทั่วไปถึงกว่าสิบเท่า! เขาไม่ใช่อู่จงธรรมดา แต่เป็นอู่จงในขอบเขตเปิดชีพจร!”
“ถูกต้อง! เสียใจด้วยนะ มันสายไปเสียแล้ว!”
ฟางหยวนหัวเราะขําขณะชีพจรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามปรากฏขึ้นบนร่างของเขา เกิดเป็นเกราะพลังเวทย์ โดยไม่ยั้งมือเอาไว้ เขาเหวี่ยงหมัดเข้าใส่เจ้าเมือง!