“ไม่ แต่ … “
“แต่อะไร?“
“ข้าได้ข่าวว่า ฟาง เจิ้งจือ โผล่มาที่ประตูผ่านภูเขา เขาพยายามยืมกองกำลังจากทหารเพื่อจะเข้าร่วมการทดสอบอย่างไรก็ตามเขาถูกปฏิเสธ และดูเหมือนเขาจะกลับเมืองหลวงเพื่อขอยืมทหาร”
“กลับไปที่เมืองหลวง? ฮ่าฮ่า … ถ้าเจ้าเป็น ฟาง เจิ้งจือ จะทำยังไง?“
“ถ้าข้าเป็น ฟาง เจิ้งจือ ข้าจะโผล่หน้าไปที่ประตูผ่านภูเขา จากนั้นก็หลอกคนอื่นว่าข้าจะกลับไปที่เมืองหลวง และใช้โอกาสนั้นแฝงตัวเป็นผู้เข้าสอบคนอื่นๆเพื่อเข้าร่วมทดสอบ จากนั้นข้าก็จยึดดินแดนไปเรื่อยๆ”
“มีเหตุผล นั่นหมายความว่า ฟาง เจิ้งจือ น่าจะแฝงตัวเข้ามา?“
“ใช่”
“งั้นพวกเราก็ต้องรออย่างอดทนให้เขาแสดงตัวออกมาเอง แต่อย่าให้เขาพัฒนาไวเกินไป จับตาดูเขาให้ดี ถ้าผู้เข้าสอบคนอื่นๆทำได้ดีให้รายงานข้าด้วย “
“รับทราบแล้ว”
…
ในโรงเรียนหลวง ณ เมืองเหยียน
ซิง หยวนกัว กำลังยืนด้วยความเคารพ
“เจ้าหน้าที่ซิง อาการบาดเจ็บของ ฉิงมู่ เป็นยังไง?” องค์จักรพรรดิดวงตาเป็นประกายขณะถาม
“ฝ่าบาท เขาฟื้นตัวแล้วสามารถรับคำสั่งของท่านได้ตลอดเวลา”
“อืม มีการเคลื่อนไหวในดินแดนภูเขาทางใต้ ขาเชื่อว่าปีศาจต้องได้ลักลอบเข้ามาในกลุ่มของพวกเราแล้ว พวกเราจะดำเนินการตามแผนการของเจ้าต่อไป”
“รับทราบฝ่าบาท”
“โอ้ใช่มีข่าวว่า ฟาง เจิ้งจือ โผล่ไปที่ประตูผ่านภูเขา และเดินทางต่อไปยังดินแดนภูเขาทางใต้ ต่อให้เขาไม่มีกองทัพ ข้าก็เชื่อว่าเขาจะหาวิธีการได้ อย่างไรก็ตาม … ความจริงแล้วข้าค่อนข้างกังวล ฟาง เจิ้งจือ มีพรสวรรค์ แต่เขาไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใด เขาจะขัดขวางแผนการของเราหรือไม่?“่
“ฝ่าบาท แม้ข้าจะรู้จักเขาไม่มาก แต่เขาเป็นคนดี แม้ว่าเขาจะหน้าด้านแต่เขาก็รู้ว่าเรื่องไหนสำคัญ ข้าคิดว่าเขาอาจจะช่วยให้แผนการของเราเป็นได้ด้วยดีด้วยซ้ำ!“่
“เป็นไปได้ด้วยดี? ฮ่าฮ่า … เขาจะรู้แผนของพวกเราได้ยังไง? ช่างเถอะ เลิกพูดถึงเขาได้แล้ว ข้าไม่สามารถให้เจ้าถอยได้อีก ไปเตรียมการให้เรียบร้อยซะ” องค์จักรพรรดิยิ้มพร้อมส่ายหน้าเบาๆ เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ ซิง หยวนกัว พูด
“รับทราบฝ่าบาท งั้นข้าขอตัว!” ซิง หยวนกัว จากไป
…
ฟาง เจิ้งจือ สัมผัสได้ถึงดวงอาทิตย์ที่อบอุ่นในฤดูใบไม้ร่วง แม้ลมจะหนาวเล็กน้อยแต่ก็สามารถทนได้
“ม้าตัวนี้ … คงไม่โยนข้าลงจากหลังมันใช่ไหม่?” ฟาง เจิ้งจือ ค่อนข้างหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อเห็นม้าที่สูงเกือบ 2 เมตร เขารักษาระยะห่างจากมันเอาไว้
“หึ! พวเรามีม้าชั้นเยี่ยม แม้ม้าเกราะดำจะดุร้าย แต่พวกเราก็เลี้ยงมันให้เชื่องพอที่จะขี่ได้!” องค์หญิงพ่นลมออกทางจมูกเมื่อได้ยินสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ พูด จากนั้นนางก็เริ่มรู้สึกเสียใจ การแข่งขันกับชายคนนี้นั้นไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของนางเลยสักนิด
ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินเข้าไปหาม้าอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาหันไปมององค์หญิงเป็นระยะๆ
องค์หญิง ฉาน ยู่ ขี่ม้าสีแดงเข้ม
ขนสีแดงประกายของมันยาวตั้งแต่หัวจรดหาง ที่กีบของมันก็ราวกับจะมีเปลวเพลิงออกมา บนหัวของมันมีเขาอันแหลมคมอยู่คู่หนึ่ง
มังกร?
หรือกิเลน?
ฟาง เจิ้งจือ ไม่สามารถระบุได้ เขารู้ว่ามันเพียงมีพลังมาก เขาไม่รู้ว่าองค์หญิง ฉาน ยู่ ควบคุมมันได้ยังไง
“รีบขึ้นม้าเร็วสิ! อยากให้ข้าอุ้มเจ้าขึ้นไปไหม?” แม่ทัะไถ่ เยาะเย้ย
“ไม่จำเป็น ข้าทำเองได้ ” ฟาง เจิ้งจือ ตอบอย่างใสซื่อ
หน้าของแม่ทัพไถ่แดงก่ำทันที
ถ้าเป็นคนอื่นพูดเขาอาจจะชื่นชมในความพยายาม แต่กับ ฟาง เจิ้งจือ ที่พึ่งใช้ให้เขาเปิดประตูกระโจมแล้วนั้น…
ฟาง เจิ้งจือ เป็นคนสุดท้ายที่เขาคาดหวังจะได้ยิน
อย่างไรก็ตาม ฟาง เจิ้งจือ ขึ้นไปบนม้าได้สำเร็จ แม้จะกุกกักเล็กน้อย แต่เขาก็สามารถคลานขึ้นไปบนหลังม้าได้
แม่ทัพไถ่ ไม่มีทางเลือกนอกจากกลืนคำพูด “หัวของเจ้าคงไม่อยู่ดี หลังจากการแข่งขันจบลง!“่
แน่นอนว่า ฟาง เจิ้งจือ ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง
หลังจากที่เขาขึ้นม้า เขาก็มองไปไกล เขาเห็นว่าตัวเองถูกล้อมรอบด้วยทหาร จากที่ไกลๆเองก็มีอยู่เสียงหนึ่งเช่นกัน
มันคือหมาป่าเขาเงิน
“อืม … ข้าต้องรอโอกาส!” ฟาง เจิ้งจือ ปลอบตัวเอง ทุกอย่างเป็นไปตามแผน สิ่งที่เขาต้องทำคือรอ
จากนั้น …
ขณะที่ ฟาง เจิ้งจือ กำลังคิดอยู่ก็ได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นข้างๆ เขาหันไปมองมัน
ตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันที
“ลาย … ลายเมฆ?!” ความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในใจ ฟาง เจิ้งจือ ทำให้ ฟาง เจิ้งจือ ไม่สบายใจ
ทำไมถึงมีเมฆแบบนี้ที่นี่กัน?
ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมฆแบบนี้คือที่ผนังของกลืนกินโลก
ครั้งที่สองเขาเห็นมันอยู่บนขลุ่ยของ วู่ เฟิง แม้เขาจะอยากรู้อยากเห็นก็ตาม แต่เขาก็คิดว่ามันคงจะเป็นแค่ลายแกะสลัก
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นลายของเมฆในครั้งนี้
มันได้เปลี่ยนความคิดของ ฟาง เจิ้งจือ
เพราะลายเมฆนั้นอยู่บนขาขององค์หญิง แน่นอนไม่ใช่เพราะ ฟาง เจิ้งจือ มองไปที่ขาอันเรียวยาวขององค์หญิง
แต่นี่เพราะมันแปลกเกินไป
เมฆสีแดงเลือดปรากฎอยู่บนต้นขาของนาง นอกจากนี้ดูเหมือนมันกระจายไปทั่ว
จากต้นขาไปถึงท้อง ขึ้นไปที่ไหล่ของนาง มันเหมือนกับเลือดที่ไหลเวียน
บวกกับหนังสัตว์สีขาวที่องค์หญิงสวมใส่ ทำให้ภาพลักษณ์ของนางดูงดงามเกินใคร
ฟาง เจิ้งจือ เคยได้ยิน เหยียน ซิว พูดมาก่อน
ปีศาจนั้นขึ้นอยู่กับดวงตาปีศาจที่ใช้ในการบ่มเพาะพลัง พวกเขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการสื่อสารกับสวรรค์และโลกทันทีที่กำเนิดมา ในทางกลับกันคนปกตินั้นต้องศึกษาโลกและสวรรค์เพื่อเข้าใจกฎแห่งเต๋า ถึงจะควบคุมมันได้
แต่ดูไม่ใช่สำหรับดินแดนภูเขาทางใต้
ดินแดนภูเขาทางใต้บ่มเพาะพลังผ่านเลือด เลืดอของพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่นภูเขา แม่น้ำ หรือสัตว์ป่า
มันคล้ายกับของอาณาจักรเซี่ย การที่จะควบคุมได้ต้องเข้าใจมันก่อน
อย่างไรก็ตามวิธีค่อนข้างต่างกัน
อาณาจักรเซี่ย บ่มเพาะพลังที่หัวใจและจิตวิญญาน จากนั้นก็ใช้หัวใจเพื่อเข้าใจทุกสิ่งและสร้างมิติพิเศษขึ้นมาในร่างกาย
แต่ดินแดนภูเขาทางใต้นั้นยืมพลังมาจากทุกสิ่งและโคจรมันรอบร่างกาย ให้พวกมันเปลี่ยนแปลงความสามารถหรือร่างกายเพื่อให้ได้รับความแข็งแกร่ง
ฟาง เจิ้งจือ รู้เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม เขาไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นในรูปแบบของลายเมฆ
ทำไมต้องเป็นลายเมฆด้วย?
“โฮก!“่
ขณะที่ ฟาง เจิ้งจือ ยังไม่ได้เข้าใจอะไร สัตว์ที่องค์หญิง ฉาน ยู่ ขี่อยู่ก็ส่งเสียงร้องออกมา
จากนั้นองค์หญิงและสัตว์ตัวนั้นก็กลายเป็นแสงสีแดงพุ่งไปข้างหน้า
มันเร็วราวกับดาวตก
“ทำไม… เร็วขนาดนี้!” ฟาง เจิ้งจือ กระโดดขึ้นด้วยความตกใจ เทียบกับม้าของ ปิง หยาง แล้วนั้นมันเร็วกว่าหลายเท่า
จริงๆแล้วมันเป็นตัวอะไรกันแน่?
ได้ยินมาว่าม้าชั้นดีในอาณาจักรเซี่ยล้วนนำมาจากดินแดนภูเขาทางใต้
อย่างไรก็ตามบนโลกนี้ไม่คิดจะมีความยุติธรรมหน่อยรึ? เชี่ยเอ้ย เร็วขนาดนี้มันแกลงกันชัดๆ?
ฟาง เจิ้งจือ อยากพูดความคิดของเขาออกมา
อย่างไรก็ตาม องค์หญิง ไม่ให้โอกาสเขา สัตว์ตัวนั้นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว นางไม่ได้พูดกฎของการแข่งขันให้ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ
หากปราศจากกฎ จะตัดสินผลลัพธ์การแข่งขันได้ยังไง?
ฟาง เจิ้งจือ ไม่รู้ว่าตัวเองควรไล่ตามไปหรือไม่…
ทันใดนั้น องค์หญิง ฉาน ยู่ หันหัวไปรอบๆ ดวงตาของนางมองไปยัง ฟาง เจิ้งจือ ที่ทั้งตกตะลึงและสับสน นางยิ้มออกมาจางๆแต่เยือกเย็น
มันคงทำให้ชายบางคนหลงได้
เหมือนที่ ฟาง เจิ้งจือ เดา
นี่ไม่ใช่การแข่งขันที่เป็นธรรม กฎถูกกำหนดโดยนาง ม้าก็ถูกเลือกโดยนาง สถานที่นางเองก็กำหนด แล้วยังไงละ?
นางเป็นองค์หญิง
ในดินแดนของนาง แน่นอนคำพูดของนางถือเป็นที่สุด
มันทำให้นางนั้นเด็ดขาด เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับมัน
ถ้าบอกว่า ปิง หยาง นั้นเอาแต่ใจและดื้นรั้นแล้วนั้น องค์หญิง ฉาน ยู่ ก็หยิ่งยโส ไม่สนใจในศีลธรรมอันใดที่องค์หญิงควรจะสนใจแม้แต่น้อย
“เชี่ย!” ฟาง เจิ้งจือ ชูนิ้วกลางใส่องค์หญิงขณะนางไม่เห็น จากนั้นเขาก็เอาแส้ฟาดไปที่ก้นม้าของตัวเอง
ม้าเกล็ดเทาของเขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ทั้งความเร็วและคลื่นพลังรอบตัวนั้นเทียบกับสัตว์ที่องค์หญิง ฉาน ยู่ ขี่ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ขณะที่ ฟาง เจิ้งจือ พุ่งออกมา แม่ทัพไถ่และแม่ทัพมู่ก็ตามออกมาติดๆ แม้ว่าม้าที่ทั้งสองขี่จะเทีบไม่ได้กับขององค์หญิง แต่ก็เห็นได้ว่ามันดีกว่าม้าทั่วๆไป
พวกเขาตามหลัง ฟาง เจิ้งจือ มาได้อย่างง่ายดาย
“ข้าสามรถใช้อะไรแทรกแซงฝ่ายตรงข้ามได้ไหม?” ฟาง เจิ้งจือ ถามขึ้นมา
“หึ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?” แม่ทัพไถ่ถามอย่างเย็นชา
“อืม ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้” ฟาง เจิ้งจือ ยอมแพ้
ข้าจะเล่มเกมนี้ยังไงดี?
เขาไม่สามารถวิ่งได้เร็วกว่านาง ไม่สามารถโจมตีนางได้ มันไม่เหมือนกับบังคับให้เขาแพ้ตั้งแต่เริ่มงั้นรึ?