ตอนนี้ ในห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยสัตว์ที่แอบซ่อนตัวอยู่
ชายหนุ่มอายุประมาณ30ปีกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้หนังขนาดใหญ่ ผิวของเขาเป็นสีดำ เขาสวมผ้าคลุมหนังสัตว์สีเงิน รองเท้าของเขาเป็นเกล็ดสีทอง บนหัวของเขามีขนนก 2อัน แต่ละอันมี 5 สีประดับอยู่ ตรงกลางระหว่างขนนกทั้ง2เป็นอัญมณีสีฟ้า
“ฝ่าบาท!”ชายสูงอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องด้วยความเคารพก่อนจะคุกเข่าลงมือทั้งสองข้างของเขายกขึ้นไปบนอากาศ
“มีอะไร?” ชายหนุ่มชำเลืองมองและหยิบผลไม้เข้าไปในปาก ดวงตาของเขาเป็นประกายสีฟ้าจางๆ
“องค์หญิงฉาน ยู่ ได้สั่งให้คนมาบอกว่าทุกสิ่งเตรียมการเรียบร้อยแล้ว แม่ทัพทั้ง2ก็พร้อมแล้วเช่นกัน นางจึงต้องการถามฝ่าบาทว่าเมื่อไรจะเริ่มการโจมตี?”
“ทำไมต้องเร่งรีบด้วย? กรงได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว สัตว์ที่อยู่ในนั้นจะหนีออกไปได้ยังไง? ทหารแสนคนยังไม่พอ ข้าเชื่อว่าต้องมีทหารจากอาณาจักรเซี่ยมาอีกจำนวนมาก พวกเราไม่ควรเร่งรีบเคลื่อนไหว”
“ฝ่าบาทคิดจะจัดการพวกเขาทั้งหมดในครั้งเดียวงั้นหรือ? แต่กรณีนี้พวกเราจะได้รับแรงกดดันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากมีผู้คนมากขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้คงไม่เป็นไปอย่างง่ายดาย “
“ไม่ต้องห่วง ข้าได้เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อาณาจักรเซี่ย … ฮ่าฮ่าพวกเขายึดอำนาจมานานเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ควรจะเปลี่ยนจุดยืนหน่อยหรือ?” ชายหนุ่มเหยียดยิ้ม
“ฝ่าบาท เรื่ององค์หญิง … “
“เจ้าพยายามจะพูดอะไร?”
“ข้ากังวลมาก องค์หญิงฉาน ยู่ มีหน่วยทหารที่ดีที่สุดในดินแดนภูเขาทางใต้ หรือว่าจะให้นาง … “
“นางจะไม่เด็ดขาด!”
“ข้ารู้แล้ว ขอตัวลาฝ่าบาท!”
…
ดวงอาทิตย์ค่อยๆลอยขึ้น
ในกระโจมทหารขนาดใหญ่ในดินแดนภูเขาทางใต้
ฟาง เจิ้งจือ ต้องเอาหนังสัตว์ออกและสวมชุดเกราะหวายของดินแดนภูเขาทางใต้แทน บนหัวของเขาเองก็สวมหมวกฟาง
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาผิวขาว คนที่เห็นเขาครั้งแรกคงไม่นึกว่าเขาเป็นผู้นำของสักหน่วยในดินแดนภูเขาทางใต้
มันไม่ได้เกี่ยวว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ของอาณาจักรเซี่ย แต่เป็นเพราะที่ไหล่ของ ฟาง เจิ้งจือ มีชิ้นส่วนหนังสัตว์เล็กๆประดับอยู่
ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตในกองทัพ
เขาต้องเป็นคนที่โดดเด่นพอสมควร
ฟาง เจิ้งจือ เข้าใจในจุดนี้
ที่ผ่านมาในอดีตของดินแดนภูเขาทางใต้ ไม่มีใครหาญกล้าอ้างตัวเองว่าเป็นผู้นำหน่วยในกระโจมขององค์หญิงฉาน ยู่
องค์หญิง ฉาน ยู่ นอนพิงเก้าอี้ขนสัตว์สีทองอยู่ อย่างไรก็ตามสายตาของนางกลับมองไปที่ ร่างกายของ ฟาง เจิ้งจือ รวมถึงชิ้นส่วนหนังสัตว์ที่อยู่บนไหล่ ฟาง เจิ้งจือ
“เจ้าช่างเลินเล่อจริงๆ เจ้ากล้าแอบอ้างเป็นหัวหน้าหน่วยต่อหน้าข้างั้นรึ? บอกข้ามาว่าเจ้าชื่ออะไร และจุดประสงค์ที่เข้ามาในกองทัพนี้ล่ะ? ไม่ต้องกังวลไม่กล้ามีใครเข้ามาในกระโจมของข้าก่อนได้รับอนุญาติ!”
“ชื่อของข้า? ฟาง เจิ้งจือ” ฟาง เจิ้งจือ ตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ฟาง เจิ้งจือ ?! เจ้าคือ ฟาง เจิ้งจือ ?!”
องค์หญิง ฉาน ยู่ ที่นอนพิงตัวอยู่ ลุกขึ้นมาทันที ความตกใจปรากฎบนใบหน้าของนางชัดเจน
“ถูกต้อง นับตั้งแต่เด็กๆ ข้าถูกเรียกด้วยชื่อนี้” ฟาง เจิ้งจือ ตอบกลับอย่างนิ่งสงบ เขาไม่เคยคิดจะปิดบังชื่อตัวเอง?
“ฮ่าฮ่า … ฟาง เจิ้งจือ ? ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้าบอกว่าตัวเองคือ ฟาง เจิ้งจือ ?” เมื่อองค์หญิงได้ยิน นางก็หัวเราะจนตัวสั่น “เจ้าเป็น ฟาง เจิ้งจือ จากอาณาจักรเซี่ย?”
“ถูกต้อง” ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้า เขาไม่เคยคิดว่าชื่อเสียงของเขาจะมาไกลขนาดนี้ แม้แต่องค์หญิงจากดินแดนภูเขาทางใต้ก็รู้จักเขา?
“เจ้าเป็นผู้ชนะทั้งสองด้านของการทดสอบระดับจักรพรรดิรวมถึงเสมอกับ หนานกง เฮา ในการทดสอบระดับสภาด้านปัญญาใช่ไหม?” นางยังถามต่อพร้อมกับหัวเราะไปด้วย
“ถูกต้อง” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินเช่นนี้เขาพยักหน้าอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า …เจ้ามันช่างไร้ยางอาจริงๆ!”องค์หญิงหัวเราะอย่างหนักจนใบหน้าของนางเริ่มเป็นตะคริว
“ขอบคุณองค์หญิงสำหรับคำชม” ใบหน้าของ ฟาง เจิ้งจือ ไม่รากฎความอายแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เลิกเล่นเถอะ บอกชื่อจริงๆของเจ้ามา” เสียงขององค์หญิงหยุดลงแทนที่ด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“ข้าคือ ฟาง เจิ้งจือ จริงๆ!”
“เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไงกัน?”
“องค์หญิงทรงฉลาดหาใครเทียบไม่ได้ในโลกนี้” ฟาง เจิ้งจือ กล่าวชื่นชมนางอีกครั้ง ด้านหน้าของเขาคือผู้ที่แข้งแกร่งอย่างแท้จริง เขาไม่กล้าเป็นศัตรูกับนาง
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมไม่บอกชื่อจริงของเจ้ามา?”
“ฟาง เจิ้งจือ ?!”
“เจ้าเชื่อว่าข้าจะตัดหัวเจ้าไหม?” องค์หญิงประหลาดใจเล็กน้อย
“ข้าเชื่อ!”
“งั้นข้าจะถามเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าชื่ออะไร ?”
“ฟาง เจิ้งจือ?!”
“ใครสักคนมาลากเขาไปตัดหัวที!” องค์หญิง ไม่คิดจะโต้เถียงกับ ฟาง เจิ้งจือ ต่อไป นางเรียกทหารเข้ามาทันที
“รับทราบ!” ทันใดนั้นประตูกระโจมถูกเปิดออก มีทหารสวมชุดหวายเดินเข้ามา 4 คน
“เดี๋ยวก่อน!” ฟาง เจิ้งจือ ตะโกนขึ้นมา
“มีอะไรอีก?” องค์หญิงยิ้มออกมาบางๆ
“ข้าเปลี่ยนชื่อของข้าแล้ว ข้าชื่อว่า ฟาง เจิ้งเจิ้ง!” ฟาง เจิ้งจือ เปลี่ยนชื่อตัวเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ฟาง เจิ้งเจิ้ง?”
“ใช่แล้ว” ฟาง เจิ้งจือ พูดอย่างอึมครึม
“ชื่อนี้ดูแปลกมาก เจ้ากำลังเล่นตลกกับข้าใช่ไหม?”
“องค์หญิงท่านต้องการอะไร? ข้าบอกว่าชื่อ ฟาง เจิ้งจือ แต่ท่านก็ต้องการจะตัดหัวข้า ตอนนี้ข้าเปลี่ยนชื่อเป็น ฟาง เจิ้งเจิ้ง แล้วท่านยังหาว่าข้าล้อเล่นอีก?” ฟาง เจิ้งจือ อยากจะร้องไห้ออกมา
“ข้าถามชื่อจริงของเจ้า”
“ฟาง เจิ้งจือ”
“เจ้าคือ ฟาง เจิ้งจือ จริงๆ?”
“ข้าคงไม่ใช้ชื่อปลอมเป็นชื่อนี้หรอก”
“คนเดียวกับ ฟาง เจิ้งจือ ที่เสมอกับ หนานกง เฮา งั้นรึ?” ริมฝีปากขององค์หญิงเหยียดยิ้มบางๆ
“ข้าควรจะบอกว่าใช่หรือไม่?” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ เห็นรอยยิ้มนั้น เขารู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง
“บอกความจริงมา”
“ไม่!”
“ดีแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็พูกความจริง จากที่ข้ารู้ ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบต่อสู้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขามาเข้าร่วมที่หลัง ตอนนี้เขาน่าจะอยู่แถวๆถิ่นฐานทั้ง4 ทำไมเข้าต้องวิ่งมาที่ค่ายทหารของข้าด้วยตัวคนเดียวกันละ?” องค์หญิงพยักหน้าด้วยความพอใจและไล่ทหารที่เข้ามาออกไป
พวกเขาออกจากกระโจมไปในทันที
“องค์หญิงนั้นฉลาดที่สุดในโลกนี้ ข้ารู้ว่าตัวข้าไม่มีทางโกหกท่านได้สำเร็จ” ฟาง เจิ้งจือ เร่มสรรเสริญนางอีกครั้ง แต่เขาได้สบถในใจ เจ้ามันตาบอดจริงๆ
“เอาล่ะ ข้าเห็นแล้วว่าความสามารถในการยิงธนูของเจ้าก็ไม่เลว ต่อให้จะดูอ่อนแอ แต่ความแม่นยำถือว่าผ่าน ข้าจะตอบสนองความต้องการของเจ้า เจ้าจะได้เป็นทหารคุ้มกันข้า นอกจากนี้ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้ฝึกสอนพลธนูของหน่วยขนนกที่13 “
“ขอบคุณ องค์หญิง! ข้าขอถามได้ไหมว่าที่หน่วยนั้นมีคนอยู่เท่าไร?” เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินเรื่องนี้เขาก็ถามอย่างรวดเร็ว
“3,000!”
“องค์หญิงฉลาดจริงๆที่ให้งานสำคัญกับข้าเช่นนี้ ข้าไม่ปล่อยให้องค์หญิงอยู่ในอันตรายแน่นอน งั้นข้าขอถามว่าตอนนี้ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยขนนกที่13แล้วใช่ไหม?”
“ฝันไปเถอะ เจ้าจะกลายเป็นหัวหน้าหน่วยง่ายๆได้ยังไงกัน? เจ้าเพียงรับผิดชอบด้านการซ้อมยิงธนูของพวกเขาเท่านั้น ส่วนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” องค์หญิงมองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ดว้ยความชิงชัง
“เชี่ยเอ้ย” ฟาง เจิ้งจือ สบถเบาๆ พร้อมยกนิ้วกลางขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้าพูดอะไรนะ?”
“ข้าบอกว่าองค์หญิงนั้นรู้วิธีใช้คนราวกับเกิดมาเพื่อเป็นแม่ทัพ!”
“อย่างน้อยเจ้าก็รู้ว่าควรพูดอะไร ไปรับจานผลไม้ให้ข้าที ข้าต้องการแบบสดๆนะ ถ้ามีเสียแม้แต่ลูกเดียวข้าจะหักฟันเจ้าทิ้งซีกหนึ่ง!”องค์หญิงพยักหน้าอย่างพอใจ
“จานเดียวไม่น้อยไปหรือ?”
“ทำไม? อย่าบอกนะว่าเจ้าก็อยากกินด้วย?”องค์หญิงเหลือบมอง ฟาง เจิ้งจือ ด้วยความดูถูก
“ข้าคิดเผื่อท่านต่างหาก มีคนพูดไว้ว่าสิ่งดีๆล้วนมาเป็นคู่ องค์หญิงลองคิดสิจะน่าเบื่อขนาดไหนถ้าต้องนั้งกินผลไม้คนเดียว ถ้ามีใครบางคนนั่งข้างๆแล้วเล่าเรื่องต่างๆขณะที่ท่านกินให้ฟัง คงน่าสนใจไม่น้อย ” ฟาง เจิ้งจือ แนะนำด้วยเจตนาดี
“โอ้? เจ้าสามารถเล่าเรื่องไดงั้นรึ?” องค์หญิงประหลาดใจเล็กน้อย
“แน่นอน ข้าเล่าได้หลายเรื่องเลย ตัวอย่างเช่นเรื่องการเดินทางไปตะวันตกหรือเรื่องเล่าต่างๆของหงอคง … ” ฟาง เจิ้งจือ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“เอาล่ะ ข้าอนุญาต!” องค์หญิงไม่คิดจะรอให้ ฟาง เจิ้งจือ พูดจบ นางตกลงอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณองค์หญิง”
…
ในเมื่อ ฟาง เจิ้งจือ คิดจะเป็นส่วนหนึ่งของค่ายทหารและเป็นทหารคุ่มกันขององค์หญิง เขาต้องเป็นทหารคุ่มกันที่”ซื่อสัตย์” และ “ทุ่มเท”
ฟาง เจิ้งจือ เดินออกจากกระโจมขององค์หญิงด้วยความภาคภูมิใจ ใบหน้าของเขามีท่าทีราวกับตัวเองนั้นยิ่งใหญ่กว่าใครในโลก ตอนนี้เขากำลังทำตามคำสั่งขององค์หญิงโดยการนำจานผลไม้ไปให้ จะมีใครในค่ายกล้าต่อต้านเขา?
“หึ เด็กน้อยเจ้ายังไม่ตายอีกงั้นรึ?” เสียงเย็นๆดังขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็เห็นแม่ทัพไถ่มองมาด้วยความดูถูก ในมือของเขาถือขวานขนาดใหญ่เดินนำหน้ากลุ่มทหารอยู่
ในใจของเขา เหตุผลที่องค์หญิงไม่ฆ่า ฟาง เจิ้งจือ เพราะนางคงต้องการอะไรที่น่าสนใจ หลังจากนางเบื่อหน่าย ไม่นานเจ้าเด็กนี่ต้องกลายเป็นเศษเนิ้อแน่นอน
ดังนั้น
ความตายของเขาขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
“คนที่ชื่อ ตาแก่ไถ่ ข้ากำลังพูดกับเจ้านั่นแหละ! องค์หญิงบอกว่านางกำลังหิวและสั่งให้เอาผลไม้ไปให้ 2 จาน ไปเร็วๆสิ!”ฟาง เจิ้งจือ หยิบใบหญ้าขึ้นมาตรงปาก ขณะที่ตะโกนสั่งแม่ทัพไถ่ด้วยท่าทีสบายๆ