ฟาง เจิ้งจือ ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เขากำลังคิดหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะผ่านหุบเขาแห่งนี้ไป
เมื่อเหล่านักปราชญ์ที่ตามมาเห็นท่าทีของ ฟาง เจิ้งจือ รอยยิ้มแห่งความเยาะเย้ยปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าเขาทันที
เพราะสำหรับพวกเขาแล้วนั้น ฟาง เจิ้งจือ เพียงอาศัยกลอุบายอันไร้ยางอายเพื่อที่จะเอาชนะคนอื่นเท่านั้น ถ้าเกิดในเวลาที่ต้องใช้ความแข็งแกร่งแล้วละก็ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะขึ้นเรือลำเดียวกับ ฟาง เจิ้งจือ แต่พวกเขาก็หวังอยากจะให้ ฟาง เจิ้งจือ อ้อนวอนพวกเขาในเรื่องกลยุทธ์และแผนการ
ตัวอย่างเช่น
พวกเขารอ ฟาง เจิ้งจือ พูดออกมาด้วยความจริงใจว่า “ข้าไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ คงต้องพึ่งพวกเจ้าแล้วละ พวกเรามีเวลาไม่มาก “
นี่คือสิ่งที่พวกเขาหวังว่าจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นสายตาของเขามองไปรอบๆเพื่อวิเคราะห์ลักษณะของหุบเขาสายลม เขาคำนวณสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็วภายในใจ
เรื่องนี้ทำให้พวกนักปราชญ์กระวนกระวายใจเล็กน้อย
“การถามออกมาย่อมดีกว่าคิดมากอยู่คนเดียว ในฐานะผู้นำเจ้าต้องรู้จักวิธีการในการถ่อมตัวและขอคำแนะนำจากผู้อื่น ความภาคภูมิใจและหยิ่งยโสไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำควรจะมี” นักปราชญ์คนหนึ่งแนะนำขึ้นมาทันที
“ถูกต้อง เจ้าไม่เคยเข้าร่วมสงครามมาก่อนหยุดคิดมากได้แล้ว!“
“ถ้าเจ้าอยากจะรู้เรื่องกลยุทธ์ทางทหาร เจ้ายังมีนายน้อยวู่และนายน้อยเฉิน ให้ปรึกษาอยู่ นายน้อยเฉิน นั้น เป็นทายาทของ 13 กองตรวจการที่ยิ่งใหญ่และเขายังได้อ่านหนังสือพวกการทหารเป็นจำนวนมากตั้งแต่เด็ก
“ถูกต้อง ถ้าเจ้าต้องการข้ามหุบเขาสายลมไปละก็ เจ้าไม่สามารถเข้าไปมั่วๆได้ ข้าขอแนะนำให้ทุกคนนั่งลงและคุยกันก่อน”
เมื่อนักปราชญ์คนอื่นๆได้ยินก็ส่งเสียงสนับสนุนทันที พวกเขากำลังรอให้ ฟาง เจิ้งจือ เปลี่ยนใจและขอคำแนะนำจากพวกเขาอย่างถ่อมตัว
เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินเสียงเหล่านั้น รอยยิ้มจางๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขาทันที ก่อนที่จะหันไปมองเหล่านักปราชญ์ที่หิวกระายและไม่อดทน
แน่นอนว่าเขารู้ว่าคนพวกนี้คิดอะไรอยู่
เขาคงต้องทำให้พวกเขาเห็นว่าเขามีพลังและอำนาจมากกว่าแค่ไหน คนพวกนี้ถึงจะยอมแพ้อย่างสมบูรณ์
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเรามาช่วยกันคิดวิธีข้ามหุบเขานี้ได้ด้วยกัน” ฟาง เจิ้งจือ อยากรู้จริงๆว่าพวกเขาจะคิดอะไรออกมาได้
“ข้ามีแผน!” นักปราชญ์คนหนึ่งลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
นักปราชญ์เหล่านี้มีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะไดเข้าร่วมสงคราม การที่ได้เปิดเผยความสามารถของตัวเองออกมานั้นย่อมทำให้ผลลัพธ์การทดสอบด้านการต่อสู้ออกมาได้ดี
ที่สำคัญ ถ้าพวกเขาสามารถทำอะไรได้สำเร็จ เมื่อพวกเขามีโอกาสเข้าร่วมกองทัพในอนาคต มันจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่พวกเขาเอาไปปรับใช้และได้รับการเลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว
“ข้าเองก็มีความคิดดีๆ”
“ข้าด้วย!“
เมื่อพวกเขาเห็นคนอื่นมีคำแนะนำ คนอื่นๆก็ต้องการแสดงความคิดเห็นขึ้นมาทันที ราวกับกลัวว่าพวกเขาจะไม่ได้พูด
ในทางตรงกันข้าม เมื่อ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ เห็นฉากที่เกิดขึ้น ท่าทีของพวกเขายังคงสงบราวกับไม่มีใครที่หยั่งถึงความคิดของพวกเขาได้
“พูดทีละคน ไม่ต้องรีบร้อน” มันค่อนข้างหาได้ยากสำหรับ ฟาง เจิ้งจือ ที่จะเห็นผู้คนที่กระตือรือร้นเช่นนี้ เขาจึงไม่คิดจะรีบทำลายความหวังและความกระตือรืนร้นของพวกเขา
“นี่คือแผนของข้า ลมนั้นพัดจากภายในออกมาสู่ภายนอก ดังนั้น พวกเราสามารถให้ทหารส่วนหนึ่งป้องกันที่ด้านหน้า เมื่อพวกเขาปะทะกับลม มันก็ถือเป็นการลดความรุนแรงของลมด้วยเช่นกัน “
“ถูกต้อง ข้าเห็นด้วยกับความคิดของนายน้อยหลี่”
“แผนของนายน้อยหลี่ก็ไม่ได้แย่ อย่างไรก็ตาม พวกเรายังขาดความรู้เกี่ยวกับหุบเขานี้อยู่ มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่ที่จะวางทหารป้องกันไว้ด้านหน้า อย่างไรก็ตามถ้าลมจากหุบเขารุนแรงเกินกว่าที่จะต้านไว้ได้ล่ะ? ข้าขอแนะนำให้พวกเราสร้างโล่ขนาดใหญ่ให้พวกทหารค่อยๆดันมันไปด้านหน้า มันคงเป็นไปได้ยากที่ลมจะทะลุโล่นี้มา!” นักปราชญ์อีกคนแนะนำขึ้นมาทันที
“แผนการที่ดี!“
“ข้าเห็นด้วย ข้าคิดว่าควรสร้างโล่ไว้ 2 อัน เพื่อป้องกันเผื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน!“
“ใช่ ไม่เลวเลย ข้าคิดว่ามันต้องใช้การได้”
นักปราชญ์ต่างพยายามหาความคิดมาโต้แย้งกัน ส่วนผู้ที่แนะนำให้สร้างโล่นั้นยังคงยืนอยู่ด้วยความยโส เขากำลังรอให้ ฟาง เจิ้งจือ ชื่นชมและทำตามแผนของเขา
เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยิน เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับ
แต่เขากำลังจ้องไปที่ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ เพื่อรอให้ทั้ง 2 คนนี้แสดงความคิดเห็นออกมา
แน่นอนว่า วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ ย่อมมองเห็นสายตาของ ฟาง เจิ้งจือ พวกเขาเอียงหน้าไปด้านข้างราวกับกำลังรอให้ ฟาง เจิ้งจือ ร้องขอพวกเขา
ริมฝีปากของ ฟาง เจิ้งจือ โค้งงอเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง
เขาไม่หันไปมอง วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ อีก แต่เขากลับขี่ม้าเข้าไปใกล้หุบเขาสายลม
เมื่อ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ เห็น พวกเขาก็เริ่มสงสัย
“อย่าบอกนะว่า ฟาง เจิ้งจือ คิดจะสร้างโล่ขึ้นมา 2 อันจริงๆ?” วู่ เฟิง มองไปที่ เฉิน เฟยยู่
“ข้าคิดว่าอาจจะเป็นได้!” เฉิน เฟยยู่ พยักหน้า
“ถ้าเขาทำมันจริง พวกเราจะต้องแพ้แน่นอน ” วู่ เฟิง เริ่มกังวล เพราะตอนนี้ผลสอบของเขาขึ้นอยู่กับ ฟาง เจิ้งจือ
“เราจะให้เขาแพ้ไม่ได้!” เฉิน เฟยยู่ ก็นึกได้เช่นกัน ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเศร้าออกมาเป็นอย่างมาก
เขาเสียใจจริงๆ
ในฐานะคนที่อยู่ในระดับอภินิหาร เขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะได้เปิดเผยพลังที่แท้จริงออกมา ตอนนี้เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับหุบเขาสายลม เขาคิดจะเรียกความภูมิใจของตัวเองกลับคืนมา
แต่ในท้ายที่สุด
ฟาง เจิ้งจือ ก็เมินเขา
เขามีแผน แต่เขายังไม่ได้แม้แต่พูดออกมา ความเศร้าในใจค่อยๆก่อเกิดเป็นความอึดอัด มันเหมือนกับเขาได้คิดสิ่งที่ยอดเยี่ยมขึ้นมา แต่ไม่มีใครเอามันไปใช้ เขากังวลเป็นอย่างมาก!
“ฟาง เจิ้งจือ!” ในที่สุด เฉิน เฟยยู่ ก็พูดออกมา น้ำเสียงของเขาเจือด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามนอกจากความโกรธ เสียงของเขาก็ฟังดูไม่มีทางเลือกเช่นกัน
“ว่า?” ฟาง เจิ้งจือ ยังไม่ได้ไปไกลมากนัก ดังนั้นหลังจากได้ยิน เฉิน เฟยยู่ ตะโกน เขาจึงหันหัวมามอง เฉิน เฟยยู่ ด้วยท่าทีอันสับสน
“ข้ามีแผน แต่มีเงื่อนไข!” เฉิน เฟยยู่ พูดออกมาเหมือนมีคนบังคับ
“เงื่อนไข? โอ้ งั้นช่างมันเถอะ ” ฟาง เจิ้งจือ ยิ้มและหันกลับไปขี่ม้าต่อ
“ช่างมัน?!” เฉิน เฟยยู่ ไม่เคยคิดเลยว่า ‘ความหวังดี’ ของเขาต้องมาเจอกับคำว่า ‘ช่างมัน’
มันน่าอับอาย ราวกับถูกตบหน้าอย่างจัง
เฉิน เฟยยู่ โกรธมาก เขามองเห็นสีหน้าอันแปลกๆของทุกคนที่กำลังมองเขาอยู่ ใบหน้าของเขาพลันกลายเป็นสีแดงทันที
“ฟาง เจิ้งจือ การสร้างโล่จะเป็นการทำให้เหล่าทหารเคลื่อนที่ได้ช้าลงนอกจากนี้สายลมที่พัดผ่านในหุบเขาสายลมนั้น เจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่นอน ไม่มีโล่อันไหนที่สามารถป้องกันได้” ขณะนี้ เฉิน เฟยยู่ ไม่ใส่ใจกับพวกนักปราชญ์อีกต่อไป และตะโกนคัดค้านอย่างเต็มเสียงด้วยเหตุผลที่เขาเชื่อมั่น
“โอ้” ฟาง เจิ้งจือ ตอบธรรมดาๆ
“โอ้? เจ้าหมายความยังไง …โอ้?!” เฉิน เฟยยู่ ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
เขาอธิบายถึงข้อเสียของการใช้โล่แล้ว แต่คำตอบที่ได้รับคือ ‘โอ้’ มันหมายความว่าอะไรกัน?อะไรกัน!
“ฟาง เจิ้งจือ คำขอของข้าเป็นเรื่องที่ง่ายมากข้าแค่ขอให้หลังจากที่เจ้าผ่านหุบเขาสายลมนี้ไปได้ ให้เจ้าบอกว่ามันเป็นเพราะเป็นแผนการที่ข้าแนะนำ ถ้าเจ้ายอมข้าจะบอกเจ้าถึงวิธีที่ใช้ผ่านหุบเขาสายลม”วู่ เฟิง มอง เฉิน เฟยยู่ ที่มีท่าทีเจ็บแค้นใจ เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดกับ ฟาง เจิ้งจือ
เขารู้ดีถึงความไร้ยางอายของ ฟาง เจิ้งจือ
เจรจาต่อรองกับคนอย่าง ฟาง เจิ้งจือ?
มันเป็นเหมือนกับการเอาดาบไปจ่อคอ ฟาง เจิ้งจือ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฟาง เจิ้งจือ ไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน ดังนั้นเขาจึงใช้คำที่เบาลง ขอร้อง!
ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นคำขอที่ไม่จำเป็นเลยสักนิด
เป็นเพราะว่า…
หลังจากที่กองทัพผ่านหุบเขาสายลมไปได้ ทหารต้องรายงานอยู่แล้วว่าเป็นเพราะ วู่ เฟิง แนะนำ ดังนั้นที่ วู่ เฟิง พูดออกไปจึงเป็นข้ออ้างเท่านั้น
เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ ได้ยินคำพูดของ วู่ เฟิง เขาหยุดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หันกับมาและขี้ม้ากลับมาช้าๆ
เมื่อ วู่ เฟิง เห็น รอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เขารู้ว่า ฟาง เจิ้งจือ ยังไม่มีแผนที่จะใช้ผ่านหุบเขาสายลมไป อย่างไรก็ตาม ฟาง เจิ้งจือ นั้นหน้าด้านเกินไป ต่อให้เขาต้องการจะถาม แต่เขาก็ยังทำราวกับตัวเองได้เปรียบอยู่
ในหัวใจของเขา เขาชิงชังคนที่หน้าด้านไร้ยางอายแบบ ฟาง เจิ้งจือ เป็นที่สุด
อย่างไรก็ตาม
เขาไม่มีวิธีอื่น เขาต้องช่วยให้ ฟาง เจิ้งจือ ผ่านหุบเขาสายลมไปให้ได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีเหตุผลสำคัญอีกเรื่องหนึ่งซ่อนอยู่
นั่นคือเขารู้ว่า เฉิน เฟยยู่ ต้องคิดแผนแบบเดียวกับเขาแน่นอน
ถ้าเขาไม่พูดมันออกมา จะต้องกลายเป็นชื่อของ เฉิน เฟยยู่ แน่นอนที่โด่งดังไปทั่ว แทนที่จะเป็นชื่อเขา
มันไม่มีทางเลือกจริงๆ
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าความมั่นคงในด้านอารมณ์ของ วู่ เฟิง นั้นมีมากกว่า เฉิน เฟยยู่ อย่างเห็นได้ชัด
ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อต่อต้านไม่ได้ ทำไมไม่เพลิดเพลินไปกับการที่ ฟาง เจิ้งจือ ทำสิ่งต่างๆตามแผนของตัวเองล่ะ
มันก็เหมือนเขาเป็นผู้ที่ผ่านหุบเขาได้อย่างแท้จริงแทนที่จะเป็น ฟาง เจิ้งจือ ที่ทำตามเฉยๆ
วู่ เฟิง พบว่าอารมณ์ของตัวเองค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
“หมาป่าเขาเงินหน้าโง่ ฟาง เจิ้งจือ หน้าโง่!“
ในขณะที่ วู่ เฟิง สบถในใจ ฟาง เจิ้งจือ ก็กลับไปอยู่ที่เดิม อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มองมาที่ วู่ เฟิง อีก
แต่เขาหันไปหา เถิง ซือเซิง
“เถิง ซือเซิง!” ฟาง เจิ้งจือ เมินคำพูดของ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่ โดยสมบูรณ์และหันไปหา เถิง ซือเซิง แทน
“รับทราบ!” เถิง ซือเซิง ตอบรับทันที
“พาหมาป่าเขาเงิน 20 ตัวไปและจัดการหุบเขาสายลมนี้ซะ!“