ถ้าหากในโลกนี้แค่การนั่วยุจะทำให้เกิดการอาฆาตแค้นกันแล้วละก็ การกระทำของ ฟาง เจิ้งจือ ในตอนนี้คงหาใครเปรียบไม่ได้
จะทำไปเพื่อะไรกัน?
หรือเจ้าต้องการจะต่อสู้กับ วู่ เฟิง และ เฉิน เฟยยู่?
งั้นลองยิงธนูไปทาง วู่ เฟิง อีกสักดอก ดูสิว่าเจ้ายังทนไม่โกรธเกรี้ยวได้หรือไม่
นั่นเป็นความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของเหล่านักปราช์และแม่ทัพทั้งหมด และมันก็เป็นความคิดแรกที่เข้าไปในหัวของ วู่ เฟิง ที่กำลังรักษาอาการบาดเจ็บของนักปราชญ์อยู่เช่นกัน
“สรุปแล้วเจ้าจะเอาอย่างนี้ใช่ไหม? เจ้ายังพยายามยิงะนูใส่ข้าอีก?“ในตอนนี้ วู่ เฟิง รู้สึกโกรธอย่างแท้จริง
ถ้าเจ้ายิงข้าเพียงแค่ครั้งเดียว ข้ายังพอทนได้ ยังพอหยุดตัวเองไว้ได้ แต่ยังไงก็ตามเจ้าไม่ได้ยั่วโมโหข้าเพียงแค่ครั้งเดียวไม่มีใครสามารถทนกับเรื่องนี้ได้
วู่ เฟิง ยืนขึ้นและหันไปมอง เขามองไปยังธนูหยกเขียวที่ตกลงมาจากฟ้า ด้วยสัญชาตญาณเขาเอาขลุ่ยหยกไว้ที่ปากและพยายามจะป้องกันมัน
อย่างไรก็ตามในขณะนี้ความรู้สึกที่หนาวเหน็บลุกลามในหัวใจของเขา
มันหนาวเหน็บที่มาจากก้นเบื้องของหัวใจ อย่างไรก็ตามมันเป็นความรู้สึกที่มาจากด้านหลังของเขา มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
แน่นอนว่าลูกศรหยกเขียวที่พุ่งมานั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก ภายในพริบตามันพุ่งมาอยู่เหนือหัวของ วู่ เฟิง ด้วยพลังที่รุนแรง มันแทบจะฉีกกระชากทุกอย่างที่มันพุ่งผ่าน
วู่ เฟิง รู้ดีว่ามันทรงพลังมากแค่ไหน
แน่นอนว่าเขาสามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ แต่เขาก็ต้องใช้พละกำลังทั้งหมดที่มี อย่างน้อยที่สุดเขาต้องใช้สมาธิอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ เขาสามารถทำได้หรือไม่?
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้เลย!
ดังนั้น วู่ เฟิง จึงเลิกคิดเรื่องป้องกันไปอย่างสิ้นเชิง แต่เขากลับพุ่งไปด้านข้างในทันที การกระทำนี้ถือเป็นความเห็นแก่ตัวไม่มากก็น้อย
ยังไงก็ตามในความเป็นจริง วู่ เฟิง ก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีคุณธรรมอะไรนัก
เขาควรทำยังไงถ้าเขาไม่สามารถช่วยนายน้อยหลี่เอาไว้ได้?
งั้นก็ปล่อยเขาตายไปก็สิ้นเรื่อง
วู่ เฟิง ไม่สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป
ดังนั้น
“ตูม!“
เสียงดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง วู่ เฟิง ไม่ทันตั้งตัวและรีบวิ่งไปด้านข้าง ดังนั้นผู้ที่รับการโจมตีครั้งนี้จริงๆแล้วก็คือนายน้อยหลี่
ในสายตาของเหล่านักปราชญ์และเหล่าแม่ทัพนั้นมีแต่ฉากที่เกิดขึ้นฉายวนไปมา
“เอาล่ะ คราวนี้คงตายจริงๆแล้ว!“
นี่เป็นความคิดแรกที่เกิดขึ้นกับทุกคนเมื่อเห็นพื้นที่โดยรอบที่ลูกศรสีเขียวหยกพุ่งใส่ ความคิดที่สองคือ ฟาง เจิ้งจือ กลายเป็นอาชญากรอย่างชัดเจน
ถ้าไม่มีคนตาย
ก็ยังมีทางที่จะหาข้อแก้ตัวได้ อย่างไรก็ตาม มีคนตายจริงๆดังนั้น ฟาง เจิ้งจือ ไม่สา่มารถหาข้อแก้ตัวอะไรและหลบหนีไปได้ อย่างน้อยที่สุดนี่คือสิ่งที่พวกเขาคิด
อย่างไรก็ตาม …
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดเปลี่ยนแปลงได้เสมอ อย่างน้อยๆก็มีอย่างหนึ่ง
ต่อให้มันเกิดขึ้นแล้วก็ยังทำให้คนอื่นสงสัยอยู่ดี
ในตอนนี้ นี้คือสิ่งที่ วู่ เฟิง คิด เฉิน เฟยยู่ และเหล่าแม่ทัพเองก็เช่นกัน เพราะว่าทันทีที่ลูกศรตกกระทบพื้น
แขนข้างหนึ่งปลิวขึ้นบนท้องฟ้า
นั่นคือแขนที่เต็มไปด้วยเลือด มันเป็นเลือดที่มาจากแผลของ นายน้อยหลี่ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นหลักคือแขนข้างนั้นยังคงถือกริซอยู่
กริชสีฟ้าที่เรืองแสงจางๆ
สีฟ้าเป็นตัวแทนของหลายๆสิ่งภายในเต๋าแห่งการสรรค์สร้าง ตัวอย่างเช่น ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ ท้องฟ้าที่ห่างไกล หรือแม้แต่ดอกไม้ที่งดงามและอีกมากมาย อย่างไรก็ตามมันมีความหมายอื่นอีกในเต๋าแห่งการสรรค์สร้าง
นั่นก็คือ…
พิษ!
พิษของต้นไม้ชนิดหนึ่ง!
ทำไมนายน้อยหลี่ที่ได้รับบาดเจ็บถึงมีกริชอาบพิษอยู่ในมือ นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ในเวลาอันสั้น
ในตอนแรกท่าทีของ วู่ เฟิง เต็มไปด้วยความโกรธค่อยๆหายไปกลายเป็นใบหน้าอันซีดขาว
ในตอนนี้เขารู้สึกว่าขาของเขาอ่อนลง เพราะถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็สัมผัสได้เล็กน้อยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ความกลัว!
ความกลัวที่ทำให้เขาสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลัง
ในตอนนั้นเอง สายตาของ วู่ เฟิง และแม่ทัพทั้งหมดจ้องไปยังแขนที่ลอยอยู่บนฟ้าอย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะคิดเหมือนกัน
ตัวอย่างเช่น นักปราชญ์ 4 คนที่เข้าโจมตี ฟาง เจิ้งจือ และ 2 คนที่ร้องตะโกนเสียงดังพยายามที่จะหยุดพวกที่วิ่งตรงไปทาง ฟาง เจิ้งจือ
อย่างน้อยที่สุด 6 คนนี้ไม่ได้มองไปยังแขนที่ลอยอยู่บนฟ้า
พวกเขายังคงทำในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสมควรจะทำอยู่
“ฟาง เจิ้งจือ ยอมจำนนซะ!” ในที่สุดนักปราชญ์ก็สามารถฝ่าแนวป้องกันที่อยู่หน้า ฟาง เจิ้งจือ มาได้
แสงที่ส่องออกมาจากดาบขยายาใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าต่างจากสิ่งที่มันเป็นก่อนหน้านี้ มันขยายออกไปยาวกว่าเดิมเกือบสามฟุต
ในเวลาเดียวกันกดูเหมือนท่าทีของนักปราชญ์อีกสามคนก็เปลี่ยนไป
ถ้ามีคนบอกว่าบรรยากาศรอบๆตัวของนักปราชญ์ก่อนหน้านี้นั้นเป็นแค่บรรยากาศที่เหมือนคนทั่วไป แต่ตอนนี้มันต่างจากไปเดิมอย่างสิ้นเชิง
รวดเร็วและรุนแรง!
และอันตรายเป็นอย่างมาก
“ระวัง!” ท่าทีของ เถิง ซือเซิง ต่างจากเดิมไปเล็กน้อยในตอนนี้ ทันใดนั้นแสงสีเขียวจางๆก็ค่อยส่องออกมาจากบนร่างกายของขา
มันเป็นแสงที่เกิดขึ้นจากภายในร่างกาย เมื่อมันสว่างขึ้นมา ผิวหนังของ เถิง ซือเซิง ก็แห้งลงอย่างเห็นได้ชัดทันที ราวกับความชุ่มชื้นบนผิวของเขาได้หายไป
มันเป็นฉากที่แปลกมาก
อย่างไรก็ตาม…
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
“ตึง!“
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นทันทีแสงของดาบที่พุ่งเข้ามา บิดเบี้ยวไปอย่างชัดเจนด้วยการต่อยเพียงครั้งเดียวของ เถิง ซือเซิง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเมื่อรังสีของดับตัดเข้ากับหมัดของ เถิง ซือเซิง
เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ เป็นฉากที่เกิดขึ้นมันเป้นไปไม่ได้ที่เขาจะรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้แม้เขาอาจจะไม่ได้แสดงความตกใจอะไรออกมาก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่รู้วิธีฝึกฝนนักรบของดินแดนภูเขาทางใต้
อย่างไรก็ตาม เขาสัมผัสได้ถึความเปลี่ยนแปลงในอากาศเล็กน้อย
เถิง ซือเซิง!
ผู้นำของหน่วยหมาป่าเขาเงิน
ในแง่ของพลังเพียงอย่างเดียว ฟาง เจิ้งจือ ไม่คิดว่า เถิง ซือเซิง จะแข็งแกร่งมาก ดังนั้น ฟาง เจิ้งจือ จึงคาดเดาไว้ว่า เถิง ซือเซิง อาจจะอยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์
หรืออย่างมาก…
ก็เป็นระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงสุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็น เถิง ซือเซิง ต่อยออกไป ความคิดของเขานั้นปลี่ยนไปทันที
ในค่ายทหารขององค์หญิง ฟาง เจิ้งจือ นั้นได้ต่อสู้กับแม่ทัพไถ่ ดังนั้นเขารู้อย่างชัดเจนว่าแม่ทัพไถ่ที่อยู่ในระดับอภินิหารนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
พลังของ เถิง ซือเซิง อาจจะไม่ได้มากเท่าแม่ทัพไถ่
ย่างไรก็ตามในแง่ของความเสถียรของพลัง
ไม่มีความต่างกันเลยแม้แต่น้อย
“เถิง ซือเซิง เองก็อยู่ในระดับอภินิหารเช่นกัน?!“ฟาง เจิ้งจือ ยืนยันความคิดของตัวเองได้ทันที อย่างไรก็ตามมีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเขาทันที
ถ้า เซิง ซือเซิง อยู่ในระดับอภินิหารจริงๆ
ทำไม เถิง ซือเซิง ต้องจงใจปกปิดพลังในการต่อสู้ก่อนหน้านี้?
ตั้งแต่ที่ เถิง ซือเซิง ปรากฎตัวขึ้นมา ความสามารถที่เขาแสดงให้ ฟาง เจิ้งจือ เห็นนั้นอยู่ในระดับที่ธรรมดามาก หรือแม้แต่ตอนที่พวกเขาไปล้อม วู่ เฟิง หรือ เฉิน เฟยยู่
ฝีมือของ เถิง ซือเซิง ที่แสดงให้เขาเห็นก็ไม่ได้น่าประทับใจเท่าไรนัก
ฟาง เจิ้งจือ ไม่มีคำตอบสำหรับเรื่องนี้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม เขาสัมผัสได้เล็กน้อยว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่งค์หญิง ฉาน ยู่ จะส่ง เถิง ซือเซิง มาอยู่ข้างๆ ฟาง เจิ้งจือ
แล้วจุดประสงค์ขององค์หญิง ฉาน ยู่ คืออะไรกัน?
ให้เหรียญตรากับเขาโดยไม่มีเหตุผล จากนั้นให้ทหารหมาป่าเขาเงินมากับเขาห้าร้อยนายรวมถึงส่ง เถิง ซือเซิง ผู้ปกปิดระดับพลังมาอยู่ข้าง ฟาง เจิ้งจือ ด้วย
ถ้าจะบอกว่าเพื่อมั่นใจว่า ฟาง เจิ้งจือ จะปลอดภัย ฟาง เจิ้งจือ ไม่มีทางเชื่อมันอย่างเด็ดขาด เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ใจดีเท่าไรนัก
ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีกต่อไป
เพราะตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำเช่นนั้น
ขณะที่ เถิง ซือเซิง ป้องกันการโจมตีจากดาบ ท่าทีของนักปราชญ์ทั้งสามคนต่างจากเดิมไปทันที พวกเขามองไปที่ เถิง ซือเซิง ด้วยดวงตาที่ตกตะลึงเล็กน้อย
พวกเขาเหลือบตามองกันอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนไม่ลังเลอีกต่อไป
พวกเขาก้าวไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
พวกเขาพยายามไปยืนอยู่ตรงกลางของกลุ่มทหารหมาป่าเขาเงน ก่อนที่จะใช้เขตแดนเพื่อบังคับให้เหล่าทหารถอยหลังออกไป
ทันใดนั้นท่าทีของทหารหมาป่าเขาเงินกลายเป็นซีดขาวทันที
ที่มาของพลังของพวกเขานั้นมาจากหมาป่าเขาเงิน อาศัยเพียงแค่พลังของพวกเขา พวกเขาไม่มีทางเข้าถึงระดับสะท้อนสวรรค์ได้
ในความเป็นจริงในทหารหมาป่าเขาเงินห้าร้อยนาย เจ็ดในสิบอยู่ในระดับผนวกดาราเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มันก็ได้หยุดพวกเขาจากการเป็นหนึ่งในกองทัพที่ยอดเยี่ยมของดินแดนภูเขาทางใต้ เพราะเมื่อรวมกับหมาป่าเขาเงินแล้วนั้น พวกเขาสามารถเทียบกับคนที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ได้เลย
อย่างไรก็ตาม…
มันเห็นได้ชัดเจนเมื่อต้องต่อสู้กับเหล่านักปราชญ์ที่อยู่ในระดับสะท้อนสวรรค์ขั้นสูงหรือมากกว่านั้น
พวกเขาไม่สามารถล้อมศัตรูเอาไว้ได้ รวมถึงหมาป่าเขาเงินไม่สามารถปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาได้ สำหรับทหารหมาป่าเขาเงิน ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่ยืนดูหรือรบกวนศัตรูเล็กน้อยเท่านั้น
หรือตะโกนเตือนให้ระวังทางซ้าย ระวังทางขวา หรือคอยช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี
นักปราชญ์ทั้งสี่คนเข้าใจในจุดนี้ดี พวกเขาไม่คิดจะให้โอกาสทหารหมาป่าเขาเงินแม้แต่น้อย หลังจากบังคับให้พวกเขาถอยไปแล้ว ดาบทั้งสี่เล่มในมือของนักปราชญ์ทั้งสี่คนก็ประสานกัน
“ค่ายกลดาบ?!“