Gate of God – ตอนที่ 390

มันเป็นการท้าทาย ฟาง เจิ้งจือ อย่างชัดเจน

แต่ ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพราะว่า…

เขามองเห็นแสงบางอย่าง

เมื่อเทียบกับแสงก่อนหน้านี้ แสงนี้มันออกเป็นสีแดง มันแดงราวกับสีเลือดพุ่งลงมาจากท้องฟ้า

ถ้ามีคนบอกว่าคมดาบของ ฟาง เจิ้งจือ ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่า ถ้าอย่างนั้นแสงสีแดงเลือดอันนี้มันให้ความรู้สึกหนาวเย็นเหมือนมาจากขุมนรก
ทันทีที่ เถิง ซือเซิง และทหารหมาป่าเขาเงินทั้ง 500 นายเห็นแสงนี้ พวกเขาถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่เห็น เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าแสงนี้ไม่ได้พุ่งหา ฟาง เจิ้งจือ

แต่มันกลับพุ่งตรงไปยังปีศาจทั้ง 6 ตน!

เขาคือใครกัน?!

นี้เป็นสิ่งที่ เถิง ซือเซิงและคนอื่นๆเริ่มคิด อย่างไรก็ตามนี้ไม่ใช่สิ่งที่ วู่ เฟิง ,เฉิน เฟยยู่ และเหล่านักปราชญ์คนอื่นคิดกัน เพราะเมื่อได้เห็นแสงนี้ส่องสว่างขึ้น พวกเขาก็รู้ทันทีว่ามันมากจากใคร!

ในขณะเดียวกัน เหล่าปีศาจทั้ง 6 ตนสังเกตุเห็นแสงสีแดงเลือดกำลังพุ่งมาหาพวกเขา
ตอนนี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของ ฟาง เจิ้งจือ อยู่ ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าทุกๆอย่างจบลงแล้ว อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น

“บัดซบ!
ไม่มีเสียงดังกระหึ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะเมื่อแสงสีแดงพุ่งลงบนร่างของเหล่าปีศาจทั้ง 6 ตนมันไม่ได้ระเบิดออก แต่มันกลับตัดผ่านบางส่วนของร่างกายพวกเขา
ดาบในมือแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย แขนของปีศาจบางตขาดออกเป็นสองส่วน

ที่สำคัญไปกว่านั้นมันมีรอยแตกเล็กๆน้อยๆปรากฎขึ้นบนผนังกำแพงของหุบเขาสายลม รอยแตกเหล่านี้ดูเหมือนจะอยู่บริเวณที่ปีศาจทั้งหกกำลังพยายามปีนขึ้นไปบนกำแพงอยู่
ดังนั้น …
ปีศาจทั้ง 6 ที่กำลังปีนข้ามกำแพงภูเขาจึงร่วงตกลงมา พวกเขาตกลงมาท่ามกลางทหารนับพัน

ในเวลาเดียวกัน ร่างๆหนึ่งค่อยๆปรากฎตัวขึ้นเหนือจุดที่พวกปีศาจยืนอยู่บนกำแพงหุบเขาสายลม
เขาสวมชุดคลุมสีดำและถือพัดอยู่ในมือขณะที่ใช้เขตแดนภูเขาและแม่น้ำ

ฟาง เจิ้งจือ อดที่จะถามไม่ได้จริงๆ
“เหยียน ซิว เจ้าไม่หนาวหรือ?

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของ เหยียน ซิว ดูแล้วไม่ได้ต้องการจะตอบคำถามนี้ เขามีท่าทีที่เยือกเย็นเช่นเคย อย่างไรก็ตามภายในความหนาวเย็นนี้ ก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
ฟาง เจิ้งจือ รู้ดีว่า เหยียน ซิว กำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งหมดที่เขาทำคือการมอบของขวัญให้เขาในโอกาสที่ได้พบกันอีกครั้ง

ป้องกันการหลบหนีของปีศาจเพียงไม่กี่ตัว มันจำเป็นด้วยหรือ?
ถ้าไม่ได้การโจมตีของเขาในตอนแรก เหยียน ซิว จะสามารถสอยร่างของพวกปีศาจให้ตกลงมาได้อย่างราบรื่นหรือไม่?
ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้พูดออกมา เพราะในหัวใจของเขาสิ่งที่เขาต้องการจะพูดมากที่สุดคือ “ข้ารู้ดีว่าเจ้าจะมาที่ถิ่นฐานวานรน้ำแข็งเพื่อรวมตัวกับข้าอย่างแน่นอน!

“เข้าไปเลย!
“ทุกคนเข้าไปจับพวกปีศาจไว้!
“พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกมันหนีไปได้!

เมื่อแม่ทัพเห็น เหยียน ซิว เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาไม่รู้สึกตกใจ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่าคือการจับกุมปีศาจทั้ง 6 ตนที่กำลังได้รับบาดเจ็บอบู่
นั้นคือสิ่งที่พวกเขาต้องทำ

“เหยียน ซิว!“วู่ เฟิง มองขึ้นไปที่ร่างบนกำแพงหุบเขาและลดขลุ่ยที่ปากลงไว้เพียงแค่ถือเอาไว้ ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นและความหดหู่ใจ
ในระหว่างการทดสอบด้านปัญญา เหยียน ซิว ได้ที่ 3 แล้วก้าวขึ้นไปอยู่เหนือตัวเขา
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกขมขื่นมาก ดังนั้นในการทดสอบการต่อสู้ เขาให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของ เหยียน ซิว เป็นอย่างมาก กองทัพ 6,000 นายเคลื่อนพลอยู่ตลอดเวลา พวกเขาไม่เคยหยุดเป็นหลักเป็นแหล่ง

วู่ เฟิง รู้เรื่องนั้นดี เพราะฉะนั้นเขาคิดว่าเขาเหนือกว่า เหยียน ซิว ในการทดสอบการต่อสู้ เพราะในตอนนั้นเขาเองได้ครอบครองถิ่นฐานหลักถึง 2 แห่งและมีทหารอีก 2 กองทัพ
แต่อย่างไรก็ตามในพริบตาเดียว
เมื่อพวกเขาได้พบกันอีกครั้ง เขากลับถูกตัดออกจากการแข่งขันเสียแล้ว นอกจากนี้ เขายังเกือบจะถูกเผ่าปีศาจลอบสังหารอีก นั้นเป็นสิ่งที่ทนรับไม่ได้
และเมื่อเขามองไปยัง เหยียน ซิว?

เขายืนอยู่บนกำแพงภูเขา โบกพัดประจำตระกูลอย่างช้าๆ กับการโจมตีเพียงครั้งเดียว ที่ทำให้ปีศาจ 6 ตนที่กำลังหลบหนีร่วงลงสู่พื้นได้ วู่ เฟิง จะทำใจให้เป็นสุขได้อย่างไร ในการพบกันอีเขาแต่ ตัวเขานั้นเองกลับด้อยกว่าทุกอย่าง?

เมื่อเทียบกับความไม่พอใจของ วู่ เฟิง เห็นได้ชัดเลยว่า เฉิน เฟยยู่ นั้น….
ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ฟาง เจิ้งจือ ถึงยิงศรไปทางเขา  อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ วู่ เฟิง เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนายน้อยหลี่ เฉิน เฟยยู่ ก็เข้าใจอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม …
เขาไม่ใช่ วู่ เฟิง  เขาไม่เข้าใจถึงเต๋าแห่งดนตรี ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำตัวเองให้เป็นประโยชน์ได้

อย่างไรก็ ในตอนนี้ตามทุกอย่างแตกต่างออกไป ปีศาจทั้ง 6 ตนถูกจับโดย เหยียน ซิว ดังนั้นถ้าเขาไม่ได้แก้แค้นตอนนี้เขาคงไม่ใช่ เฉิน เฟยยู่ อีกต่อไป
เฉิน เฟยยู่ กระโจนออกไป

เขารู้สึกว่านี้เป็นโอกาสที่แท้จริงแล้ว ที่จะทำให้เขาได้เป็นคนโด่งดัง เขาตัดสินใจจะสู้กับปีศาจทั้ง 6 ด้วยตัวคนเดียว และจะทำให้ทุกได้เห็นถึงพลังระดับอภินิหารที่แท้จริงของเขา เรื่องนี้จะทำให้พวกเขาเข้าใจได้อย่างนึง …
เฉิน เฟยยู่ เข้าถึงระดับอภินิหารแล้ว!

ฟาง เจิ้งจือ ไม่มีทีท่าจะเข้าไปหยุด เฉิน เฟยยู่ แม้แต่น้อย เขากลับเก็บดาบเขาไปในมิติพิเศษแล้วโบกมือให้ เหยียน ซิว ที่ยังยืนอยู่บนกำแพงหุบเขา
แน่นอนว่าคงไม่ต้องพูดถึงชะตาของปีศาจทั้ง 6 ตัวนี้
พวกเขาอยู่ในระดับอภินิหารจริงๆ อย่างไรก็ตามการที่จะหนีออกไปจากการรวมพลังของเหล่านักปราชญ์ที่อยู่บนพื้น อีกทั้งยังมีพลังของเหล่าทหารอีกหลายพันคนที่ยืนห้อมล้อมพวกเขาอยู่นั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอีกต่อไป

และยิ่งไปกว่านั้น เถิง ซือเซิง และพวกที่เหลือก็เข้าร่วมในการต่อสู้นี้ด้วย เพราะว่านักรบของดินแดนภูเขาทางใต้ต้องการแก้แค้นให้กับเพื่อนนักรบของพวกเขาเอง
เฉิน เฟยยู่ อยุ่ในระดับอภินิหาร เถิง ซือเซิง ก็อยู่ในระดับอภินิหาร  ผลของการต่อสู้ครั้งนี้ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

ปีศาจทั้ง 6 ตนได้ถูกจับกุมไว้แล้ว พวกเขาหันไปมอง ฟาง เจิ้งจือ อีกครั้ง ราวกับตัดสินใจบางอย่างได้
พวกเขาจะรักษความภูมิใจของตัวเองเอาไว้
ฆ่าตัวตาย!

เฉิน เฟยยู่ หัวเราะ เพราะเขารู้สึกว่าการแสดงความสามารถของเขานั้นค่อนข้างน่าประทับใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ฟังเสียงของนักปราชญ์ที่อยู่โดยรอบแม้แต่น้อย

“อะไรกัน?“เฉิน เฟยยู่ ค่อนข้างสับสน เขาอยากจะถามออกไปว่าทุกๆคนที่นี่ตาบอดหรือไงกัน? อย่าบอกนะว่าพวกเขาไม่ได้สังเกตุเห็นถึงพลังของข้าเลย ไม่ได้สังเกตุเลยหรือว่ามันต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง จริงๆแล้วไม่มีใครยกย่องเขาเลยสักคน
หรืออาจพูดได้ว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับเขาสักเท่าไรนัก
เหตุผลนั้นง่ายนิดเดียว เมื่อกลุ่มคนมากมายที่ยืนล้อมปีศาจทั้ง 6 และต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อสู้ ใครจะมัวมานั่งสนใจว่าใครใช้วิชาอะไร?
มีเพียงสิ่งเดียวในใจของทุกคน นั่นคือข้าควรจะใช้วิชาอะไรดี!

สายลมเริ่มพัดช้าลง
เพราะหลังจากร่างของปีศาจ 6 ตัวถูกย้ายออกไปแล้วทหารกว่า 40,000 คนได้ออกจากหุบเขาสายลมและเดินไปยังป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ตั้งฐานอยู่บนพื้นดิน

นั่นคือถิ่นฐานวานรน้ำแข็ง 1 ใน 6 ถิ่นฐานหลักของดินแดนภูเขาทางใต้
ก้อนหินสีขาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ห้อมล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามเช่นเดียวกับน้ำแข็งย้อยบนหน้าผาสองด้านของหุบเขาสายลม
ก้อนเมฆหนาสีดำค่อยๆเคลื่อนที่ปกคลุมเหนือถิ่นฐานวานรน้ำแข็ง
ด้านหน้าก้อนเมฆสีดำนั้นมีคนอยู่ 2 คน ทั้งสองคนเดินคู่กันไป คนนหึ่งสวมชุดคลุมลายเสือ ในขณะที่อีกคนสวมชุดคลุมสีดำที่ดูลึกลับ

ฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้ถาม เหยียน ซิว ว่าทำไมเขาถึงมา เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อมีข่าวว่า ฟาง เจิ้งจือ จะเข้าโจมตีถิ่นฐานวานรน้ำแข็งกระจายออกไป เหยียน ซิว จะมาแน่นอน
เพียงแต่ เขาไม่คาดคิดเลยว่า เหยียน ซิว จะโผล่มาในเวลาที่เหมาะเจาะแบบนี้
เวลาค่อยๆผ่านไป
เมฆสีดำค่อยๆจางหาย
เสียงแปลกๆดังขึ้นจาดทางประตูหลักของถิ่นฐานวานรน้ำแข็ง ประตูบานใหญ่ค่อยๆเปิดออกที่ละน้อย อย่างไรก็ตามหลังจากประตูถูกเปิดอย่างสมบูรณ์ ไม่มีทหารคนใดเดินออกมา

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะเมื่อต้องเผชิญกับพลังของกองทัพมันมีอยู่เพียงสองวิธี หนึ่งคือการป้องกัน ในขณะที่อีกฝ่ายโจมตี
ทำไมผู้ป้องกันถึงเปิดประตูหลัก? ตั้งแต่ที่ประตูหลักถูกเปิดออก นั้นก็หมายความว่าพวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับศัตรู ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะไม่มีทหารแม้แต่คนเดียวได้ยังไง?

นี่เป็นกลยุทธ์เมืองที่ว่างเปล่าอีกแล้วหรือ?
วู่ เฟิง จ้องไปที่ประตูที่ว่างเปล่า และจ้องไปทาง ฟาง เจิ้งจือ ผู้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเท่าไรนัก เพราะว่าในความทรงจำของเขาฉากนี้ดูชัดเจนมากจริงๆ

ต้องเผชิญกับกลยุทธ์เมืองร้างของ หนานกง เฮา แล้ว ฟาง เจิ้งจือ จะทำอะไร
นี่คือความคิดจากสัญชาตญาณของ วู่ เฟิง เพราะเขาอยากจะรู้ว่า ฟาง เจิ้งจือ จะทำยังไงเมื่อได้พบกับสถานการณ์ที่เหมือนกับของเขา
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง เมื่อ ฟาง เจิ้งจือ เห็นประตูหลักของถิ่นฐานวานรน้ำแข็งเปิดออกท่าทีของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาเฝ้าสังเกตูการณ์ที่ประตูหลักอย่างเงียบๆ

ในที่สุด …
เสียงเปิดประตูหลักหยุดลง

ในเวลาต่อมา ร่างๆหนึ่งค่อยๆปรากฎขึ้นที่ประตูหลัก

นักปราชญ์ที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวที่ไม่ได้มีท่าทางเยือกเย็นมากนัก อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้แสดงความลนลานใดๆ
เห็นได้ชัดว่าร่างที่ยืนอยู่นั้นคือ หนานกง เฮา

อย่างไรก็ตามเมื่อเหล่านักปราชญ์เห็น หนานกง เฮา ท่าทีของพวกเขาก็แข็งค้างไปชั่วครู่ เพราะในวันนี้ หนานกง เฮา ดูแปลกออกไป
ความไม่ชอบมาพากลนี้ไม่ได้มาจากการแสดงออกของสีหน้า หนานกง เฮา แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้ขี่ม้าอยู่ เขากลับยืนนิ่งอยู่บนพื้น

จากนั้น หนานกง เฮา ก็เริ่มเคลื่อนไหว
เขาค่อยๆก้าว เดินออกมาจากประตูหลักของถิ่นฐานวานรน้ำแข็ง ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง ราวกับสายน้ำในทะเลสาบหยก
อย่างไรก็ตามท่าทีของนักปราชญ์ไม่สามารถสงบนิ่งได้

เพราะพวกเขารู้สึกว่าถ้าตัวเองเป็น หนานกง เฮา พวกเขาคงจะไม่สงบนิ่งเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดเมื่อต้องเผชิญกับทหารเกือบ 50,000 พวกเขาก็ไม่สามารถทำใจให้นิ่งได้แม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยู่ด้านหลัง หนานกง เฮา เลย

ไม่มีแม้แต่คนเดียว

อย่างไรก็ตามหลังด้านหลังของ หนานกง เฮา มีดาบอยู่ด้วย ดาบที่ถูกสะพายขวางบนร่างของเขา ด้ามของดาบเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เป็นสีขาวราวกับสีของหิมะในฤดูหนาว

ตัวฝักดาบเองก็เป็นสีขาวโพลน

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับด้ามของดาบ ตัวฝักดาบดูโปร่งแสงกว่ามาก มันเป็นสีขาวราวกับน้ำแข็ง มันขาวโปร่งและแพรวพราวมากๆ

“ในที่สุด เราก็ได้พบกัน” หนานกง เฮา มองไปที่ ฟาง เจิ้งจือ ที่ยืนอยู่ด้านหน้ากองทัพ และมองไปยัง เหยียน ซิว ที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟาง เจิ้งจือ แล้วกล่าวทักทายอย่างใจเย็น

Gate of God

Gate of God

GoG, 神门
Score 7.2
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2015 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง Gate of Godเรื่องราวของฟางเจิ้งจือผู้ได้มาเกิดใหม่ในโลกที่ผู้คนสามารถใช้พลังจากธรรมชาติที่เรียกว่า’เต๋า’ได้ แต่ฟางเจิ้งจือผู้ที่เกิดมาในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาและต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกลับต้องพัวพันกับเหตุการณ์ต่างๆทั้งการทดสอบพลังและความรู้ของอาณาจักร ความขัดแย้งทางการเมืองรวมถึงเผ่าปีศาจที่คอยชักใยแผนการอยู่เบื้องหลัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset