ตอนที่ 82 ชี้แนะ
หลินเซวียนมาถึงสถานที่ฝึกสอนแต่เช้าตรู่ และนั่งรออาจารย์มู่หรงอยู่คนเดียว
ไม่นานหลังจากนั้น เย่ฉิงและหลัวซิงชาก็ตามมา พวกเขาเดินมาพร้อมเสียงสนทนาที่ฟังดูน่าเบื่อ
และอีกเพียงครึ่งก้านธูป มู่หรงเฉียนหลิงก็ปรากฏตัว
ชุดเกราะอ่อนสีเงินคาดเอวด้วยดาบสีคราม นางดูมีเสน่ห์เล็กน้อย
“วันนี้ข้าจะสอนวิชาดาบให้พวกเจ้า” มู่หรงเฉียนหลิงไม่ชักแม่น้ำทั้งห้า นางตรงเข้าประเด็นโดยทันที
“วิชาดาบนี้เรียกว่าวิชาดาบวายุสามวิถี มันเป็นวิชาดาบขั้นสีดำระดับกลาง ข้าจะแสดงมันก่อน จากนั้นพวกเจ้าก็ดูให้ดี”
หลังจากนั้นนางได้ดึงดาบออกมา
เพียงไม่นายสายลมได้พัดขึ้นมาจากใต้เท้า มันเป็นลมที่พัดขึ้นเบา ๆ และทำให้ผมนางปลิวไสว เย่ฉิงและหลัวซิงชานนั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไร มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นแบบนี้ แต่หลินเซวียนไม่ใช่
เขามองผมสีดำของมู่หรงเฉียนหลิงที่พริ้วไหว และดูเหมือนทั้งตัวนางจะกลายเป็นสายลมที่พัดแรงขึ้นทุกขณะ
เมื่อดาบถูกชูขึ้นและฟันลง มันราวกับสายลมที่เชี่ยวกราก สายตาพวกเขาเห็นกระแสลมที่ก่อตัวขึ้นอย่างน่าสะพรึง
หลินเซวียนรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปโดยไม่รู้ตัว เขากังวลว่าตนนั้นไม่มีวิชาดาบที่แข็งแกร่งเลย ตอนนี้เขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอย ถึงแม้การเคลื่อนไหวของมู่หรงเฉียนหลิงจะรวดเร็ว แต่หลินเซวียนก็มีจี้ดาบลึกลับอยู่ในตัว ความเข้าใจในวิชาดาบของเขาจึงน่าสะพรึงอย่างมาก
“ดาบวายุสามวิถี!” มู่หรงเฉียนหลิงแตะพื้นเล็กน้อย จากนั้นร่างของนางได้กลายเป็นลำแสง ดาบสีครามในมือได้กลายเป็นลมพายุสีเขียวตัดผ่านอากาศออกไป กระแสลมสีเขียวได้ฉีกมิติออกและเขียนเป็นตัวอักษร ‘จือ’
“พลังแห่งลมทั้งสามนั้นยืดหยุนและพลิกผันได้ตอลดเวลา พวกมันไม่เพียงแต่จะไล่ตามศัตรูได้แล้ว แต่ยังวิ่งผ่านสิ่งกัดกวางในสนามรบได้ด้วย” มู่หรงเฉียนหลิงอธิบายกลวิธีการใช้ดายวายุสามวิถี
มันมีกระบวนท่าพลิกแพลงไปมาในอากาศทั้งโจมตี ไล่ล่า หลบหลีก และอื่น ๆ
หลินเซวียนถึงกับเปล่งประกาย เมื่อเทียบกับวิชาดาบอัสนีของเขา ดูเหมือนของเขาจะมีเพียงแค่ความเร็วและการโจมตีเท่านั้น อีกทั้งยังดูจะมีข้อบกพร่องหลายอย่าง อย่างแรกคือ วิชาดาบอัสนีนั้นอยู่ขั้นที่ต่ำกว่าขั้นสีดำ อย่างที่สอง มันยังไม่สมบูรณ์ และเป็นเพียงฉบับปรับปรุงใหม่
‘หากฝึกวิชาดาบนี้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของเราจะต้องเพิ่มขึ้นอีกมากแน่นอน’หลินเซวียนเปรียบเทียบพลางครุ่นคิด
ขณะเดียวกัน มู่หรงเฉียนหลิงได้เปลี่ยนกระบวนท่าอีกครั้ง มันแตกต่างจากตอนแรกทั้งรวดเร็วและเฉียบคม ครั้งนี้พลังวิญญาณของนางได้พลุ้งพล่านราวกับกระแสลมในฤดูฝน
“วายุสะบั้นเมฆา!”
ดาบได้แยกออกจากกัน หินสีฟ้าบนพื้นได้แตกกระจายทันที จากนั้นยังมีพายุหมุนสูงสีเขียวกวาดออกไปตรงหน้าด้วย
ม่านตาหลินเซวียนจมลงเล็กน้อย เขารู้สึกตกใจและขนลุกจากลมพายุลูกนั้น
แกร๊ก!
จากนั้นต้นไม้รอบด้านได้ถูกดูดโดยลมนี้
ฟูม! ฟูม! ฟูม!
ต้นไม้ในระยะทางถูกดึงดูดเข้าไปในพายุหมุนตรงหน้า จากนั้นใบมีดสีเขียวภายในนั้นได้ตัดเฉือนต้นไม้จนขาดเป็นท่อน ๆ
หลังจากวิ่งไปได้หลายสิบก้าว พายุหมุนก็สงบลงและสลายหายไป แต่มู่หรงเฉียนหลิงยังไม่หยุด นางใช้ดาบในมือสร้างพายุหมุนขึ้นอีกครั้ง
พายุหมุนครั้งนี้พุ่งออกไปตรงหน้าได้ไม่นาน มันก็แยกออกเป็นสามทิศทาง และโจมตีในทิศทางของตนเอง ทุกที่ที่มันผ่าน ต้นไม้จะถูกสับเละพร้อมพื้นดินที่เป็นรอยยาว
“ประมาณนี้!” ครั้งนี้ไม่เพียงแค่หลินเซวียนที่ประหลาดใจ แม้แต่หลัวซิงชานและเย่ฉิงยังอุทานเสียงต่ำ
“มันยังมีอีกสองกระบวนท่า หนึ่งในนั้นเป็นกระบวนท่าป้องกัน เรียกว่าระบำดาบวายุจันทรา” มู่หรงเฉียนหลิงกล่าว “ซิงชาน โจมตีข้าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี”
หลัวซิงชานยืนขึ้นพร้อมโคจรพลังอย่างรุนแรง เขาชักดาบออกมาและกระโจนเข้าใส่มู่หรงเฉียนหลิงทันที
ก่อนที่การโจมตีจะถึงตัว อากาศด้านข้างของมู่หรงเฉียนหลิงได้ปั่นป่วนและเปลี่ยนรูปเป็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว จากนั้นได้กระแทกการโจมตีของหลัวซิงชานกลับ
หลังจากนั้นมู่หรงเฉียนหลิงก็เก็บดาบและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
จากนั้นไม่นาน เย่ฉิงได้ถามขึ้น “อาจารย์มู่หรง ท่านบอกว่ามันมีสามกระบวนท่าไม่ใช่หรือ? แล้วท่าสุดท้ายล่ะคะ?”
“กระบวนท่าชุดท้ายนั้นยากเกินไปสำหรับพวกเจ้า พวกเจ้าต้องบ่มเพาะพลังให้ถึงขั้นสมุทรวิญญาณก่อน”
มู่หรงเฉียนหลิงเผยท่าทีเย็นชา แต่เมื่อเห็นสายตาที่รบเร้าของทั้งสามคน นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“ข้าจะแสดงให้ดูครั้งหนึ่ง เด็ก ๆ อย่างเจ้าจะได้ยอมแพ้!”
นางสะบัดมือหยกก่อนจะแยกดาบออกกลางอากาศ ใบมีดสีเขียวอ่อนสามใบบินออกมาจากปลายดาบ ใบมีดลมแต่ละเล่มมีความยาวมากกว่าสองศอกและส่งเสียงหวีดหวิวเสียดหู
ฟิ้ง! ฟิ้ง! ฟิ้ง!
ใบมีดสายลมทั้งสามพัดไปยังเสาหินตรงหน้า มันตัดเสาหินออกเหมือนเต้าหู้ก่อนจะสลายหายไป
“ปราณดาบถูกปล่อยออกมา!” ม่านตาหลินเซวียนจมลงเล็กน้อย นี่คือวิชาระดับขั้นสมุทรวิญญาณ ในตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถทำได้แน่นอน
“เอาล่ะ ตอนนี้ข้าได้สาธิตกระบวนท่าของวิชาดาบวายุสามวิถีไปแล้ว ข้าจะสอนวิชานี้ให้กับพวกเจ้า” มู่หรงเฉียนหลิงเริ่มอธิบายอย่างจริงจัง
หลินเซวียนพบว่ามันเรื่องที่โชคดีอย่างมากที่มีผู้ชี้แนะ มันสามารถทำให้ลูกศิษย์ลดระยะเวลาในการฝึกฝนเอง และยังฝึกได้อย่างถูกวิธี
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและสบถในใจ ถ้าพูดถึงอาจารย์ เขาเองก็มีอยู่คนหนึ่งในตัว แต่อาจารย์คนนี้เอาแต่ดื่มสุราทุกวันจนเขาปวดหัว
อีกทั้งตอนนี้ยังหลับใหลไม่มีสัญญาณใด
‘ดูเหมือนเราจะต้องปลุกตาลุงขี้เมาให้เร็วที่สุดเสียแล้ว’ หลินเซวียนตัดสินใจ
ครึ่งวันผ่านไป มู่หรงเฉียนหลิงก็หยุดอธิบาย หลินเซวียนและศิษย์พี่อีกสองคนได้จดจำเคล็ดวิชาและแยกย้ากันไปพักผ่อน
หลังจากบอกลาเย่ฉิงและหลัวซิงชาน หลินเซวียนก็ได้แยกตัวออกมา แต่เขาไม่ได้กลับไปยังที่พัก เขาไปยังหอสมุนไพรของสำนัก เขาต้องการถามเกี่ยวกับวัตถุดิบสมุนไพรที่สามารถฟื้นฟูวิญญาณได้
เมื่อผ่านหอและเจดีย์มาหลายแห่ง หลินเซวียนก็พบกับสถานที่แห่งหนึ่ง
แม้จะอยู่ไกล เขาก็ยังได้กลิ่นของสมุนไพรลอยมา หลินเซวียนทราบว่ามันคือหอสมุนไพรวิญญาณของสำนักชั้นใน โอสถมากมายถูกกลั่นจากที่นี่
หลินเซวียนเดินเข้าไปข้างในพร้อมมองอย่างระมัดระวัง ศิษย์บางคนในหอสมุนไพรมองเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะออกไปโดยไม่แสดงท่าทีอันใด หลินเซวียนหาได้สนใจไม่ เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับหอสมุนไพรของที่นี่ ศิษย์ส่วนใหญ่ที่มาล้วนเป็นศิษย์ชั้นในทั้งนั้น
พวกเขามาเพื่อหาวัตถุดิบไปทำเม็ดยา แน่นอนว่าการมาของพวกเขามีความหมายแตกต่างกันไป
บางคนใช้เงินมากมายเพื่อซื้อ บางคนใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ บางคนก็รับภารกิจเพื่อแลกยา
หลินเซวียนไม่มีสัมพันธ์พิเศษกับผู้ใดในสำนักชั้นใน ดังนั้นเขาจึงมีเพียงสองวิธี
“ศิษย์พี่ครับ ข้ามีบางอย่างอยากจะขอคำแนะนำหน่อย” หลินเซวียนเดินเข้าไปหาศิษย์ห้องสมุนไพรพร้อมกล่าวอย่างเคารพ