“เอ๋?” กู้จิ้งตื่นเต้น มือหยิกขาของเขาอีก “นายไปเอาเงินมากมายแบบนี้มาจากไหน นายไม่ใช่คนจนหรอกหรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิงมองหญิงสาวข้างกายด้วยความจนใจ จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบผมดำขลับของเธอ
“เด็กโง่ ตอนนี้ข้าดูเหมือนคนจน แต่เมื่อก่อนไม่ได้จนเสียหน่อย”
“เมื่อก่อน?” กู้จิ้งนึกขึ้นมาได้ ดูเหมือนทุกคนจะพูดว่า เมื่อก่อนเซียวเถี่ยเฟิงเคยออกจากภูเขาไปหลายปี หรือว่าจะได้มาตอนนั้น?
“อืม เมื่อก่อน” เซียวเถี่ยเฟิงพูดช้าๆ “เมื่อก่อนข้ารวยมาก ทั้งเสื้อผ้าสวยๆ, บ้านอิฐหลังใหญ่, ที่นาดีๆ, ข้าทาสบริวารเป็นกลุ่ม ยิ่งตับห่านหูฉลามอะไรนั่น จะเอาเท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา”
“พรืด!” กู้จิ้งอดหัวเราะไม่ได้ “นายรู้ไหมว่าตับห่านหูฉลามคืออะไร?”
เซียวเถี่ยเฟิงไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “สนใจไปทำไม มีเงินมีอำนาจเสียอย่าง มีอะไรที่ซื้อไม่ได้บ้าง?”
กู้จิ้งยิ่งขำกว่าเดิม “แล้วต่อมาทำไมถึงกลายเป็นคนจนได้ล่ะ?”
เอ่อ… ดูเหมือนก็ไม่จนนะ ยังมีทองอีกทั้งหีบ ในยุคสมัยนี้ ทองหีบนี้มากพอจะซื้อเขาเว่ยอวิ๋นทั้งลูกเสียด้วยซ้ำ
“อำนาจเปลี่ยนมือ ราชสำนักวุ่นวาย คนเราย่อมต้องมีเวลาที่โชคร้าย ตอนนั้นข้าสนับสนุนรุ่ยอ๋องขึ้นครองราชย์ คิดไม่ถึงว่ารุ่ยอ๋องกลับไร้วาสนา ล้มป่วยเสียชีวิตไปเสียก่อน”
“หลังจากนั้นนายก็กลับมา?”
“อืม คนที่ป่วยตายหมดหวังไปแล้ว คนอื่นๆ ก็เลยมาหาข้า ข้าจะเปลี่ยนไปช่วยสนับสนุนคนอื่น รอจนพวกเขาก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้นเมื่อไหร่ ข้าก็จะมีความชอบ สุขสบายไปชั่วลูกชั่วหลานก็ได้ แต่ข้ากลับรู้สึกเบื่อ สนับสนุนอีกคน สำเร็จแล้วก็อาจจะนกสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน หรือไม่ก็อาจจะเกิดความวุ่นวายในราชสำนักขึ้นมาอีก แค่คิดก็เหนื่อยใจ ข้าอายุมากแล้ว คิดแต่อยากจะกลับบ้าน แต่งภรรยาสักคน ข้าก็เลยแกล้งตายแล้วหนีมา คนพวกนั้นอยากทะเลาะกันยังไงก็ทะเลาะกันไปเถอะ ท่านเซียวอย่างข้าไม่สนใจแล้ว”
กู้จิ้งยิ่งฟังดวงตาก็ยิ่งเปล่งประกาย เธอกวาดตามองเซียวเถี่ยเฟิงขึ้นๆ ลงๆ ดูอย่างไรก็ไม่อยากเชื่อ
ผู้ชายบ้านนอกหยาบกร้านคนนี้มีอดีตที่รุ่งโรจน์ ซ้ำยังเคยกระทำการใหญ่เช่นนี้ด้วยหรือ?
“ฉันคงไม่ได้ฟังผิดไปหรอกนะ?” เธออยากจะแคะหูฟังใหม่อีกรอบ
เซียวเถี่ยเฟิงยิ้มพลางปรายตามองเธอ
“ส่วนจอกหยกมรกตหลิงหลงอะไรนั่น มีโอกาสเมื่อไหร่ ข้าจะหาโอกาสเอามาให้เจ้าเอง”
กู้จิ้งพูดไม่ออก ได้แต่มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากเชื่อแกมเคารพเลื่อมใส
หากเธอเข้าใจไม่ผิด ความหมายของเขาก็คือ เขาเป็นคนที่มีความสำคัญมากในยุคสมัยนี้ สามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน จะสนับสนุนอ๋องคนไหนขึ้นมาเป็นฮ่องเต้ก็ได้?
นั่นไม่ใช่ขุนนางใหญ่แม่ทัพใหญ่ผู้บุกเบิกแผ่นดินซึ่งจะมีชื่อเสียงขจรขจายไปอีกพันปีหรอกหรือ?
ทันใดนั้น กู้จิ้งก็โผเข้าไปหาเขา “จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นนายมาหลบอยู่ในภูเขาทำไม เร็ว! เอามาให้ฉัน ทั้งทรัพย์สินเงินทองผ้าไหมแพรพรรณบ้านอิฐหลังใหญ่ลาภยศสรรเสริญ ฉันจะเอาทั้งหมด!”
เซียวเถี่ยเฟิงกอดเธอไว้กับอก “ยัยงก!”
วันรุ่งขึ้น จ้าวฝูชางทำตามสัญญาที่ให้ไว้ เขาแข็งใจลากสังขารไปที่ศาลบรรพชนเพื่อโขกศีรษะขออภัยเซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้ง ทั้งยังประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะสร้างบ้านหลังหนึ่งให้พวกเขา
ชาวบ้านคนอื่นๆ ฟังแล้ว บ้างก็ช่วยบริจาคเงิน บ้างก็บอกว่าจะมาช่วยสร้าง
เมื่อมีคนช่วยสุมไฟ เปลวไฟก็ลุกโชนได้เร็ว ไม่นานนักก็ได้เงินครบ จากนั้นทุกคนก็ไปขอให้ท่านหมอเหลิ่งช่วยวัดขนาดบ้าน เลือกวันดี แล้วก็เริ่มลงมือ
สร้างบ้านให้กู้ต้าเซียน ทุกคนย่อมเต็มใจช่วย ดังนั้นจึงพากันทิ้งงานในนาไปช่วยกันสร้างบ้าน
ไม่กี่วันบ้านก็สร้างเสร็จ เครื่องเรือนในบ้านบางส่วนมีคนนำไปมอบให้ บางส่วนจ้าวฝูชางเป็นคนออกเงินซื้อ ในที่สุดก็ครบ
เซียวเถี่ยเฟิงกับกู้จิ้งย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่
ยังคงเป็นสถานที่เดิม แต่เปลี่ยนจากถ้ำมืดทึบเป็นบ้านหลังใหม่
กู้จิ้งเห็นแล้วย่อมรู้สึกแปลกใหม่ ในใจก็นึกชอบเหลือเกิน เธอลากเซียวเถี่ยเฟิงไปดูทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความตื่นเต้น
เมื่อมีบ้านหลังใหม่ เธอก็ออกกฎให้คนที่มากราบไหว้ต้าเซียนปฏิบัติตาม ที่นี่ห้ามจุดประทัด ที่นี่ห้ามจุดธูป แต่นำอาหารสุกและผลไม้มาเซ่นไหว้ได้
กฎใหม่นี้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว นับแต่นั้นมา หากมีคนมาขอให้ช่วยรักษา บ้างก็จะนำเงินมามอบให้ บ้างก็นำอาหารมาเซ่นไหว้ แต่ไม่มีใครกล้าจุดธูปหรือจุดประทัดอีกเลย
กู้จิ้งถอนใจด้วยความโล่งอก
อยู่ในบ้านใหม่ซึ่งมีแสงสว่างเช่นนี้ เธอก็เริ่มศึกษาน้ำมันอ้ายเฉ่ากับตำรับยาอื่นๆ ที่ตัวเองจำได้ต่อ
สิ่งที่อยู่ในสมองของเธอเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมานับพันปีของจีน เธอพยายามย้อนคิดถึงตำรับยาต่างๆ ที่เคยถูกบังคับให้ท่องแล้วค่อยๆ เขียนออกมา จากนั้นก็ซื้อยาสมุนไพรมาเริ่มทำการศึกษาค้นคว้า เพื่อจะได้สกัดน้ำมันอ้ายเฉ่ารวมทั้งปรุงยาชนิดต่างๆ ออกมาได้
ส่วนยาเพนิซิลลินสองเม็ดที่หายไปไม่เคยกลับมาอีกเลย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เซียวเถี่ยเฟิงไปสืบข่าวมาแล้ว
“วันนั้นหลังจากเจ้าผ่าท้องคนตายเอาเด็กออกมา พ่อของเด็กคนนั้นป้อนยาให้เด็กตามที่เจ้าสั่ง คิดไม่ถึงว่าพอเหลือสองเม็ดสุดท้าย จู่ๆ มันกลับหายไป”
“แบบนี้ก็ได้ด้วยรึ ถูกขโมยงั้นหรือ?”
“ใช่ ข้าลองสืบดูแล้วว่าใครเป็นคนขโมยโอสถทิพย์นั่นไป แต่จนใจที่ตอนฝังศพแม่เด็กมีคนมาก ก็เลยสืบยาก”
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ทำใจ
“ช่างเถอะ คนที่ขโมยโอสถทิพย์ไปคงคิดว่ามันเป็นยาวิเศษ สามารถช่วยชีวิตในยามคับขันได้ ต้องมีสักวันที่ยาสองเม็ดนั้นถูกใช้ไป หลังจากใช้ไป โอสถทิพย์ที่ฉันปรุงขึ้นก็จะครบจำนวนไปเอง”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กล่าวกับกู้จิ้งว่า “ต่อไปเจ้าอย่าเอาโอสถทิพย์นี่ออกมาใช้พร่ำเพรื่ออีกเลย”
“อืม ฉันรู้แล้ว”
หลังจากบทเรียนในครั้งนี้ กู้จิ้งย่อมรู้ว่ายาเพนิซิลลินถือว่าเป็นยาวิเศษในยุคสมัยนี้ สำหรับเธอมันเป็นยาที่มีไว้รักษาคนป่วย คนอื่นรู้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่บางทีคนอื่นอาจไม่ได้คิดเช่นนี้
เอาไปหาผลประโยชน์ หรือไม่ก็ใช้เป็นเครื่องมือประจบประแจงผู้มีอำนาจ ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งสิ้น
คิดถึงตรงนี้ เธอก็กำกระเป๋าหนังสีดำในมือแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
กระเป๋าใบนี้เป็นสมบัติล้ำค่า จะให้ใครแย่งไปไม่ได้เด็ดขาด
เซียวเถี่ยเฟิงย่อมรู้จักกระเป๋าหนังสีดำใบนั้นของเธอ เขาเอื้อมมือไปคว้ามาพลางเอ่ยถามว่า “ข้าเห็นเจ้าควักนั่นควักนี่ออกมาจากถุงใบนี้บ่อยๆ เรื่องนี้จะให้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์คงไม่อาจคาดเดาได้เลย”
“อืม ตอนนี้ฉันมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ต้นไม้ใหญ่ต้านลม[1] สมควรต้องระวังให้มาก”
เซียวเถี่ยเฟิงมองถุงใบนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลองล้วงมือเข้าไป แต่เขากลับพบว่าด้านในมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรสักอย่าง
“ดูท่าเวทศาสตรานี้จะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ใช้ได้”
กู้จิ้งเห็นเช่นนี้ก็ประหลาดใจเหมือนกัน เธอลองล้วงมือเข้าไปบ้าง ไม่นานนักก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา พอล้วงเข้าไปอีกก็หยิบเก้าห่วงปริศนาออกมาอีก
“เอ๋ นายล้วงไม่เจออะไรสักอย่างเลยหรือ?”
“ใช่ ข้าคลำดูแล้ว ด้านในไม่มีอะไรสักอย่าง”
ระหว่างที่พูดเซียวเถี่ยเฟิงก็ล้วงมือเข้าไปอีก แต่ด้านในยังคงไม่มีอะไรสักอย่างเหมือนเดิม เขามองไม่ออกจริงๆ ว่าของในมือเธอมาจากไหน
กู้จิ้งรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก
“ที่แท้ถุงนี่ก็มีแต่ฉันที่ใช้ได้ ต่อให้คนอื่นแย่งไป มันก็เป็นแค่ถุงธรรมดาๆ ใบหนึ่งเท่านั้น”
“แน่นอนอยู่แล้ว ถุงใบนี้เป็นหนังของเจ้า ย่อมมีแต่เจ้าที่ใช้ได้”
“หนัง?”
หมายความว่ายังไง?
“เจ้ามุดออกมาจากถุงใบนี้ไม่ใช่หรือ?”
กู้จิ้งคิดดูก็ใช่ เธอมุดออกมาจากกระเป๋าใบนี้ เรียกหนังก็ดูเหมือนจะไม่ผิด แต่ว่า…ก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี
เซียวเถี่ยเฟิงหยิบกล่องที่กู้จิ้งควักออกมาขึ้นมาพลิกดู เห็นบนกล่องนั้นมีภาพของอะไรบางอย่างที่คล้ายกับแครอต ซ้ำยังมีหัวเอียงๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ “นี่คืออะไรหรือ?”
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องหัวเราะพรืดออกมา
นี่เป็นของที่ซุนโม่ลี่เพื่อนรักของเธอเอามา ต่อมาตอนที่จัดกระเป๋า เธอบังเอิญโยนมันลงไปด้วย คิดไม่ถึงว่าจะตามมายังยุคสมัยนี้ด้วย
กู้จิ้งเปิดกล่องแล้วหยิบออกมาชิ้นหนึ่ง
“นี่เป็นของใช้สำหรับผู้ชาย” เธอพูดเพ้อเจ้อด้วยท่าทางจริงจัง
“ของใช้สำหรับผู้ชาย?”
“ใช่” ระหว่างที่พูด กู้จิ้งก็แกะกล่องเล็กๆ ด้านในแล้วหยิบพลาสติกกลวงๆ ชิ้นหนึ่งออกมา “นายจะลองดูหน่อยไหม?”
เซียวเถี่ยเฟิงมองกู้จิ้งด้วยความงุนงง ใจอดคิดไม่ได้ว่ารอยยิ้มของเธอเหมือนจะแฝงด้วยเจตนาร้ายบางอย่าง
กู้จิ้งเห็นเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็กระแอมครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ผู้ชายใช้ไอ้นี่แล้วจะเปลี่ยนเป็นร้ายกาจมาก”
นึกถึงเรื่องดูดไอหยางที่เขาเคยพูด เธอก็ตัดสินใจเลยตามเลย
“จริงๆ แล้วในโลกของเรามีการดูดไอหยางจริงๆ แต่ปกติเวลาเราอยู่ด้วยกันจะดูดไอหยางไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยเวทศาสตราอย่างหนึ่ง”
“เวทศาสตรา?” ได้ยินว่านี่เป็นเวทศาสตรา แถมยังเป็นเวทศาสตราสำหรับดูดไอหยาง เซียวเถี่ยเฟิงก็เริ่มพิจารณามันด้วยความกระตือรือร้น
——————————————-
[1] เป็นสำนวนหมายถึงยิ่งมีชื่อเสียงก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตี