เธอไม่คุ้นเคยกับคนอื่นๆ ที่นี่ แต่เขาไม่เหมือนกัน เขาเกิดที่นี่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก นับแต่ได้พบเธอก็ต้องจากหมู่บ้านไปเป็นเพื่อนเธอ เรียกได้ว่าแทบจะตัดขาดกับคนอื่นๆ เลยทีเดียว
แต่วันนี้ได้เห็นเขาพูดคุยกับคนอื่นๆ เธอถึงได้ค้นพบว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นของที่นี่
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ก้มลงมองเธอแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “เจ้าลอยขึ้นฟ้าไปเป็นเซียนแล้ว ข้าก็ต้องคุยกับคนพวกนั้นน่ะสิ ถ้ามีเจ้าอยู่ ข้าย่อมต้องปัดพวกเขาทิ้งโดยไม่ไยดีสักนิด”
เขาช่างปากหวานมากจนกู้จิ้งรู้สึกอบอุ่นอยู่ในหัวใจ เธอเอื้อมมือไปจูงมือเขาเอาไว้ “ฉันได้ยินว่าตอนกลางคืนจะมีงิ้วด้วย?”
เซียวเถี่ยเฟิงพยักหน้า “ใช่ พวกเขาจะสวมเสื้อตัวยาว มีแทบจะทุกสี ยืนอยู่บนเวที สะบัดแขนเสื้อไปๆ มาๆ แถมยังตีลังกาได้ด้วย”
กู้จิ้งตื่นเต้นมาก “จะเริ่มเมื่อไหร่หรือ?”
เซียวเถี่ยเฟิง “รอก่อน กินข้าวเย็นเสร็จเมื่อไหร่ก็มีแล้ว”
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นว่ายังมีเวลาจึงพากู้จิ้งกลับบ้านก่อน ทั้งสองขึ้นไปนอนกอดกันบนเตียง จนกระทั่งฟ้ามืดถึงได้ออกจากบ้านอีกครั้ง
ยังไม่ทันเข้าไปในหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงตีกลองดังกระหึ่มมาแต่ไกล คบไฟส่องแสงสว่างไปทั่ว เซียวเถี่ยเฟิงพากู้จิ้งไปยังบริเวณค่อนข้างเงียบสงบที่ทั้งสามารถมองดูความครึกครื้นในหมู่บ้าน ทั้งไม่ดึงดูดสายตาผู้คน
ผู้คนบนเวทีต่างก็สวมเสื้อผ้าสีสันสดใสซึ่งปกติจะไม่สวมใส่กัน พวกเขาต่างสะบัดแขนเสื้อไปมา ร้องเพลงไป กระโดดโลดเต้นไป ผู้คนที่ด้านล่างก็ส่งเสียงร้องตะโกนกันอย่างสนุกสนาน
ไม่นานนักเจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันนี้ก็ก้าวขึ้นไปบนเวที ทุกคนต่างพากันพูดจาหยอกล้อ ถามนั่นถามนี่ คล้ายกับการแกล้งคู่บ่าวสาวในสมัยปัจจุบัน
“เจ้าสาวไม่ใช่ต้องอยู่ในห้องหอหรอกหรือ?” นี่ไม่ค่อยเหมือนกับที่กู้จิ้งรู้สักเท่าไหร่
“แต่ละท้องที่มีประเพณีไม่เหมือนกัน ผู้คนบนภูเขาไม่ได้ยึดถือขนบธรรมเนียมอะไรมากนัก” เซียวเถี่ยเฟิงโอบร่างบอบบางสูงโปร่งของกู้จิ้งเอาไว้พลางมองไปยังบริเวณที่มีแสงไฟส่องสว่าง
กู้จิ้งคิดดูก็เห็นด้วยว่าแต่ละท้องที่ใช่จะมีธรรมเนียมเหมือนกันไปเสียหมด เธอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าท่ามกลางแสงไฟสว่างนั้น ผู้คนกำลังล้อมวงหยอกล้อเจ้าบ่าวเจ้าสาวอย่างสนุกสนาน บนใบหน้าของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะประสานกับเสียงประทัดดังสะท้อนไปทั่วหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขา
ชั่ววินาทีนี้ ไม่ว่าจะเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นในการล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงหรือการลอบวางเพลิงก็เหมือนจะเลือนหายไปจนหมดสิ้น
พวกเขาเพียงแค่อยากแสวงหาความสุขจากช่วงเวลานี้ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น
“ครอบครัวนี้แซ่อะไรหรือ?”
“จ้าว…จ้าวซานชิว”
“จ้าวซานชิว…” กู้จิ้งพึมพำ สมองกำลังพยายามนึกว่า ตระกูลจ้าวแห่งเขาเว่ยอวิ๋นมีบรรพบุรุษคนหนึ่งชื่อนี้หรือเปล่า?
ในอนาคต ตระกูลจ้าวก็เหมือนกับตระกูลเซียวซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่บนเขาเว่ยอวิ๋น
เธอกับพี่น้องตระกูลจ้าวหลายคนซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันเล่นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ เธอก็กำลังเป็นพยานในงานแต่งงานของบรรพบุรุษของเพื่อนในวัยเด็ก มองดูพวกเขามีลูกมีหลาน อีกหนึ่งพันปีข้างหน้าก็จะมีเพื่อนกลุ่มนั้นของเธอ?
พอคิดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปแวบหนึ่ง
หมู่บ้านเว่ยอวิ๋นในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยเสียงผู้คนดังครึกครื้น คบไฟไหววูบ เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทำให้เธอรู้สึกว่าภาพความครื้นเครงตรงหน้าเดี๋ยวก็ดูห่างไกลเหมือนภาพลวงตาเดี๋ยวก็อยู่ใกล้ราวกับเรื่องจริง
กู้จิ้งคิดว่าไม่ว่าเธอข้ามเวลามาเพราะอะไรก็ตาม ตอนนี้เธอก็เป็นส่วนหนึ่งของเขาเว่ยอวิ๋นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่า การดำรงคงอยู่ของเธอจะส่งผลกระทบอะไรต่อสายธารประวัติศาสตร์ของเขาเว่ยอวิ๋นหรือเปล่า?
เซียวเถี่ยเฟิงมองปีศาจน้อยข้างกาย เห็นใบหน้างดงามซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืดของเธอดูห่างไกลราวกับถูกขวางกั้นด้วยหมอก จู่ๆ หัวใจของเขาก็บีบตัวแน่น
เขากระชับแขนกอดเธอแน่นขึ้น
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ” เสียงแหบพร่าของเขาแฝงด้วยแววตึงเครียด สองแขนกอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง
“หืม?” สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านมาทำให้คบไฟไหววูบ กู้จิ้งตอบรับเสียงเบา แต่กลับกลบเสียงหัวเราะซึ่งดังมาจากบริเวณที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักได้
“เมื่อครู่เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ?” เมื่อครู่นี้มีอยู่ชั่วเสี้ยวขณะหนึ่งที่เขากลัวเหลือเกินว่า หากตัวเองไม่ระวังจะทำให้นางหายไป
“ฉัน…” แววตาของกู้จิ้งเหม่อลอยอยู่วูบหนึ่ง แต่จากนั้นเธอก็ยิ้ม “ฉันคิดว่าที่แท้งานแต่งงานในโลกนี้ก็ครึกครื้นเหลือเกิน”
“เจ้าชอบหรือ?” เซียวเถี่ยเฟิงไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิง แต่เห็นเธอชอบ เขาก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรามาแต่งงานกันบ้างดีไหม? เหมือนกับพวกเขาอย่างไรเล่า?”
กู้จิ้งฟังแล้วก็หัวเราะออกมา “ช่างเถิด ไม่ต้องๆ”
จริงๆ ตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เธอก็ไม่เคยคิดแต่งงานมาก่อน เธอมีลูกไม่ได้ ไม่ว่าอยู่ในยุคสมัยไหนก็มีผู้ชายที่ไม่สนใจเรื่องทายาทน้อยมาก หรือต่อให้หาคนแบบนี้เจอ กู้จิ้งก็ใช่ว่าจะยินดีแต่งงาน เธอไม่ใช่คนที่ต่อต้านการแต่งงาน มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่เชื่อนัก แต่พอจะถามอีก จู่ๆ กลับมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เร็วๆๆ เรียกต้าเซียนเร็ว!”
“เรียกท่านหมอเหลิ่งเร็ว!”
เสียงตะโกนเรียกต้าเซียนกับท่านหมอเหลิ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนแทบจะพร้อมกัน
เซียวเถี่ยเฟิงไม่มีเวลาพูดอะไรอีก เขารีบจูงมือกู้จิ้งเดินไปดูทันที
คนอื่นๆ เห็นกู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงมาถึงก็รีบเปิดทางให้
พอเดินเข้าไปใกล้กู้จิ้งก็เห็นชายวัยกลางคนสวมเสื้อเนื้อหยาบตัวสั้นกำลังกุมท้องเอาไว้ ลำตัวของเขาขดแน่น ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ หยาดเหงื่อเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วซึมออกมาจากหน้าผาก ปากส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
เธอกำลังจะตรวจดู ท่านหมอเหลิ่งก็พุ่งตรงเข้ามาตรวจชีพจรคนไข้เสียก่อน
กู้จิ้งคอยสังเกตอยู่ด้านข้าง เห็นผู้ชายคนนั้นกดบริเวณท้องด้านล่างขวาตรงตำแหน่งจุดแมคเบอร์เนย์[1]เธอก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจ
หันไปเห็นสตรีวัยกลางคนคนหนึ่งอยู่ด้านข้าง ถามดูถึงได้รู้ว่าเป็นภรรยาของคนไข้
สตรีนางนั้นร้อนใจจนพูดไม่เป็นประโยค “เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่แท้ๆ ทำไมจู่ๆ ถึงได้ปวดแบบนี้ ต้าเซียน ท่านหมอเหลิ่ง พวกท่านช่วยเขาด้วย! นี่ๆๆ เกิดอะไรกันแน่! ทำไมถึงได้ปวดขนาดนี้!”
กู้จิ้งรีบถามว่า “ปกติเขามีอาการป่วยอะไรบ้างหรือเปล่า”
สตรีนางนั้นขยี้เท้า “ไม่มี ไม่มี เขาสบายดีมาตลอด ไม่ว่าจะทำนาหรือล่าสัตว์ก็ทำได้ดีกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ!”
ท่านหมอเหลิ่งตรวจชีพจรเสร็จก็เหลือบตามองกู้จิ้งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ พลางขมวดคิ้วแน่น “นี่คืออาการไส้เป็นหนอง เพราะถูกพิษจากภายนอกแทรกซึม ความร้อนอุดตันในลำไส้ รับประทานอาหารไม่พอเหมาะ ม้ามและกระเพาะได้รับความเสียหาย ทานอาหารอิ่มแล้วออกไปวิ่งเร็วๆ หรือไม่ก็กังวลหรือโกรธมากเกินไป ฯลฯ ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ปกติ ชี่ติดขัดเลือดคั่ง ความชื้นและความร้อนสั่งสมอยู่ในลำไส้ ก่อให้เกิดหนองขึ้น”
คำพูดยาวยืดแถมเป็นภาษาโบราณ วกไปวนมา กู้จิ้งเกือบจะฟังไม่เข้าใจ
อาการไส้เป็นหนองในสมัยโบราณก็คืออาการไส้ติ่งอักเสบในยุคปัจจุบันนั่นเอง เห็นได้ชัดว่าฝีมือตรวจชีพจรของท่านหมอเหลิ่งยอดเยี่ยมมาก กู้จิ้งไม่จำเป็นต้องตรวจดูอีก นี่น่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันอย่างแน่นอน
เดิมสตรีวัยกลางคนผู้นั้นจ้องกู้จิ้งตาไม่กะพริบ แต่พอได้ยินท่านหมอเหลิ่งพูดเป็นการเป็นงานเช่นนี้ นางก็รีบหันไปขอร้องเขา “ท่านหมอเหลิ่ง มีวิธีรักษาหรือไม่ เขาเจ็บปวดขนาดนี้ อย่างน้อยก็ช่วยดูหน่อยเถิดว่าจะรักษาได้อย่างไรบ้าง!”
สามีใครคนนั้นก็รัก สตรีวัยกลางคนปวดใจจนน้ำตาแทบร่วง
“เรื่องนี้ง่ายมาก แค่ดื่มน้ำแกงต้าหวงโบตั๋นก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“น้ำแกงต้าหวงโบตั๋น?” สตรีวัยกลางคนตะลึงงัน
ท่านหมอเหลิ่งเห็นเช่นนี้ก็ให้คนไปหากระดาษกับพู่กันมา จากนั้นก็เริ่มเขียนเทียบยา “ไส้เป็นหนองเพราะมีพิษร้อนมากเกินไป ทำให้เนื้อเน่าจนกลายเป็นหนอง เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องระบายความร้อน กระจายการอุดตัน ลดอาการบวม”
กู้จิ้งเหลือบตามองเทียบยาที่เขาเขียนว่า ‘ต้าหวง, เปลือกต้นโบตั๋น, เมล็ดลูกท้อ, เมล็ดฟัก, หมั่งเซียว ฯลฯ’ ทันใดนั้นเธอก็ขมวดคิ้ว ใจคิดว่าแพทย์แผนจีนชอบรักษาต้นตอ แต่คนไข้คนนี้อาการกำเริบรุนแรงอย่างกะทันหัน หากชักช้าไปสักนิด เกรงว่าจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้
เธอมองผู้ชายที่ดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น แม้จะตระหนักดีว่าช่วยคนเหมือนดับไฟ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม
เพราะสำหรับเธอแล้ว วิธีรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันที่ได้ผลดีที่สุดคือตัดๆๆๆๆๆ!
แต่สำหรับคนในยุคสมัยนี้มันกลับเป็นวิธีที่น่าตื่นตระหนกมาก
ท่านหมอเหลิ่งเห็นกู้จิ้งมองเทียบยาของตน ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเธอบ้าง
“เรียนถาม ต้าเซียนเห็นว่าเทียบยานี้มีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่?”
กู้จิ้งมองท่านหมอเหลิ่ง เห็นแววตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจก็ตัดสินใจพูดออกไปตรงๆ
“อาการไส้เป็นหนองนี้แบ่งออกเป็นอาการเรื้อรังและเฉียบพลัน หากเป็นอาการไส้เป็นหนองเรื้อรังย่อมค่อยๆ รักษาได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำแกงต้าหวงโบตั๋นซึ่งบันทึกไว้ในตำรา ‘จินคุ่ยเย่าเลว่’ หรือวิธีรักษาเลือดเป็นหนองซึ่งบันทึกไว้ในตำรา ‘เป้ยจี๋เชียนจินเย่าจ้วน เล่มที่สิบสาม’ ต่างก็ใช้ได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ว่าวิธีไหนต่างก็เป็นการรักษาที่ต้นตอ ต้องดื่มยาทุกวัน ถึงจะรักษาให้หายขาดได้ แต่เสียดายที่อาการไส้เป็นหนองเฉียบพลันอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต มีเวลารอเสียที่ไหน?”