ศพ – ตอนที่ 294 หยางเฉ่วร่วมด้วย

ตอนที่ 294 หยางเฉ่วร่วมด้วย

 

เมื่อเห็นผีตานีจ้องอย่างดุร้าย พวกเราก็อดไม่ได้ที่จะใจสั่น

โชคดีที่หลงอ่าวเทียนไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นถ้าผีตานีระเบิดอารมณ์ขึ้นมา หลงอ่าวเทียนต้องตายแน่ๆ

แต่ผ่านไปไม่ถึงสองวินาที อีกฝ่ายก็หยุดทํา

 

ลุกขึ้น พูดเสียงดุใส่หุ่นฟาง “ พี่เป็นอะไรไป? ยังไหวอยู่หรือเปล่าเนี่ย? ”

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ ผมก็ส่งสัญญาณให้หลงอ้าวเที่ยนทันที

 

หลงอ่าวเทียนกลืนน้ําลาย จากนั้นก็พูดว่า “ ไหวอยู่แล้ว ไหวอยู่แล้ว ฉันก็แค่ ก็แค่เหนื่อยเกินไป

พรุ่งนี้ พรุ่งนี้เราค่อยมาทํากันจนฟ้าสางเลยนะ !”

เมื่อผีตานีได้ยินคําพูดนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างโมโห เค้นเสียงดัง ฮี ใส่หุ่นฟาง จากนั้นก็พ่นควันสีเขียวใส่มันอีกครั้ง

 

หลังพ่นควันสีเขียวเสร็จ ผีตานีก็ยืนอยู่ที่เดิม จ้องหุ่นฟางตาไม่กระพริบ “ นี่สองวันแล้วนะ ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เห็นอยู่ชัดๆว่ายังมีพลังหยางให้ดูดอีก ”

หลังพูดจบ ผีตานีตนนั้นก็เลียหุ่นฟางอีกครั้ง แล้วทําปาก “ จ๊อบแจ๊บๆ ” จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า

 

“ รสชาติก็ไม่เหมือนเดิม ทําไมมันแปลกๆนะ ?”

เมื่อเห็นฉากนี้ ผมและเหล่าเฟิงก็เกร็งไปทั้งตัว ขออย่าให้ถูกจับได้เลย

แค่ผ่านคืนนี้ไปได้ ก็จะสามารถจัดการผีตนนี้ได้แล้ว !

ผมกําลังภาวนาในใจ ส่วนผีตานีตนนั้นแม้จะสงสัย แต่เธอก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอเลียเข้าไปคือผงชาด

ท้ายที่สุดหลังยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง เธอก็ถอยออกไปจากบ้าน

หลังจากผีตานีจากไปแล้ว พวกเราก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น ยังซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะเหมือนเดิม

 

ผ่านไปประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ หรือก็คือประมาณตีสาม เราถึงคลานออกมาจากใต้โต๊ะ

ตอนนี้ ผมและเหล่าเฟิงต่างอดไม่ได้ที่ถอนหายใจออกมา จากนั้นก็บอกให้หลงอ่าวเทียนออกมาจากข้างใต้

 

หลงอ่าวเทียนค่อนข้างตื่นเต้น “ ขอบคุณท่านนักพรตทั้งสองมาก ขอแค่ผ่านไปอีกคืนเดียว อีกแค่คืนเดียวผมก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว! ”

“อ๋อ ! พรุ่งนี้ทําต่อ อย่าพูดผิดละ ขอแค่หลอกยัยผีตานี้ให้ออกไปได้ ผ่านคืนพรุ่งนี้ไปได้ ผีตานีตนนั้นก็จะโดนผงชาดฆ่าตาย หลังจากนั้นนายก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว !” ผมพูดเบาๆ

 

หลงอ่าวเทียนก็มั่นใจมากกว่าเดิม เพราะเมื่อคืนและคืนนี้ เขาต้องเจอกับสถานการณ์อันตราย

แต่ตัวเองกลับไม่เป็นอะไรสักอย่าง แถมยังผ่านมาได้ด้วยการหลอกแบบสบายๆ

 

หลงอ่าวเทียนจึงเชื่อว่า คืนพรุ่งนี้ตัวเองต้องผ่านมันไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน

ต่อจากนั้น พวกเราก็นั่งพักที่ห้องรับแขก และไม่ได้ให้หลงอ้าวเทียนออกไปอยู่คนเดียวหรือกลับห้อง

ทุกคนต่างนั่งอยู่ในห้องรับแขก ผมและเหล่าเฟิงค่อนข้างเป็นห่วงอาจารย์และท่านนักพรตต์ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเขาจะเป็นยังไงบ้าง

แต่ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง พวกเราก็เลยยังติดต่อพวกเขาไม่ได้

แต่เมื่อคิดถึงพลังของพวกอาจารย์ เราก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร…

 

เราไม่อยากนอนเท่าไหร่ แถมยังไม่มีอะไรทํา ผมและเหล่าเฟิงเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม เพื่อฆ่าเวลา

ผลลัพธ์เพิ่งเข้ามาในเกม ก็ถูกคนเชิญเข้าทีมทันที

 

พอมองดูดีๆ ถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็คือหยางเฉ่ว

 

ดึกดื่นขนาดนี้ยัยนี่ก็ยังไม่นอน แถมยังเล่นเกมลุยเดี่ยวอยู่คนเดียว

 

เราเลยกดรับ เพิ่งเข้ามาในทีม เราก็ได้ยินหยางเฉ่วทันที “ ดึกขนาดนี้พวกนายสองคนไม่ไปหลับไปนอน

 

มัวทําอะไรกันอยู่ฮะ ? ”

 

ผมและเหล่าเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงผมพูดว่า “ จะยังทําอะไรได้อีกละ ก็ทํางานอย่างว่านั่นแหละ!”

 

เมื่อหยางเฉ่วได้ยินคําพูดนี้ ก็สงสัยขึ้นมาทันที เธอเลยถามว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมไม่ได้ตอบกลับด้วยเสียง แต่ใช้ข้อความส่งไปหาหยางเฉ่วแทน ผมอธิบายสั้นๆว่าเรากําลังจัดการกับผีตานีอยู่

ผลลัพธ์พอหยางเฉ่วรู้ว่าเรากําลังจัดการผีตานีอยู่ ก็เดือดขึ้นมาทันที

ด่าผมและเหล่าเฟิงว่าไม่ยุติธรรมเลย มีโอกาสดีๆได้จัดการปีศาจแบบนี้ก็ไม่เรียกเธอ จากนั้นก็ด่าพวกเราอีกยกหนึ่ง

ผมและเหล่าเพิ่งหนักใจขึ้นมาทันที ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หยางเฉ่วเป็นคนที่มีบทบาทสําคัญที่สุดในการปราบผี

 

และหยางเฉ่วยังบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะเข้ามาหาพวกเรา เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผีตานีมีหน้าตายังไง

 

หยางเฉ่วก็มีนิสัยแบบนี้แหละ ผมและเหล่าเฟิงเลยได้แต่จนปัญญา

แต่หยางเฉ่วก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย ฝีมือและพลังก็ไม่ได้แย่ ดังนั้นเรื่องที่เธอจะเข้ามาพรุ่งนี้ พวกเราก็เลยไม่ได้บอกปัดใดๆ

 

หลังเล่นเกมจบสองตา ทุกคนก็เริ่มเหนื่อยเลยปิดเกมนอนหลับ

เมื่อมาถึงเช้าวันรุ่งขึ้น คุณหลงและคุณนายหลงก็เข้ามาเป็นคนแรก

 

พอเห็นหลงอ่าวเทียนไม่ได้เป็นอะไร และยังดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม พวกเขาก็ดีใจกันสุดๆ

 

ในเวลาเดียวกัน หลงอ่าวเทียนก็เล่าเรื่องตอนผีเข้ามาเมื่อคืนให้ทั้งสองคนฟัง

คุณหลงและคุณนายหลงฟังไปอึ้งไป พวกเขาตกใจกันสุดๆ

แน่นอน สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุด ยังเป็นฝีมือพวกเราที่ทําให้ผ่านเมื่อคืนมาได้

 

ขณะเดียวกัน ผมก็โทรศัพท์ไปหาอาจารย์

 

โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว พอเห็นอาจารย์รับโทรศัพท์ ใจที่กระวนกระวายของผมก็ผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

 

จากนั้นผมก็ถามอาจารย์ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจารย์เล่าให้ผมฟังสั้นๆหนึ่งรอบ

 

เมื่อคืนที่โรงพยาบาลเหล่าฉันได้เลื่อนตําแหน่ง เขาใช้ยันต์ปลอมตัวเป็นซุนเสี่ยวหลิน

 

เมื่อคืนตอนผีตานีอีกตนเข้ามาแล้ว เธอเห็นเหล่าฉันเป็นซุนเสี่ยวหลิน คิดจะดูดพลังหยางจากเหล่าฉัน

สุดท้ายเหล่าฉันก็ใช้สารพัดวิธี ทําให้ผีตานีดูดไม่ได้ แถมยังลอบทําร้ายผีตนนั้นด้วย

วันนี้พวกเขาออกจากโรงพยาบาล ไปที่บ้านของซุนเสี่ยวหลิน

ถ้าเป็นไปด้วยดี ใช้เวลาอีกแค่สามวัน ก็จะสามารถจัดการผีตานีตนนั้นได้แล้ว

หลังฟังเรื่องพวกนี้จบ ผมและเหล่าเฟิงก็สบายใจขึ้นเยอะ ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี

 

ขอแค่ผ่านคืนนี้ไปได้ พวกเราก็จะสามารถจัดการผีตานตัวแรกได้แล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยตามไปสมทบกําจัดผีตานีอีกตน แล้วตามด้วยผีตานีตนสุดท้าย

เนื่องจากจะรีบร้อนไม่ได้ เพื่อความปลอดภัย เราเลยต้องค่อยๆทําทีละขั้นตอน

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็บอกรายละเอียดมากมายกับพวกเราทางโทรศัพท์ บอกเราว่าคืนนี้ต้องระวังให้ดี

 

จะให้เจอเรื่องผิดพลาดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด

สําหรับเรื่องนี้ เรารู้ดีแก่ใจ จึงรับปากกับอาจารย์อีกรอบ บอกว่าเราจะต้องทําตามที่เขาว่ามาทุกอย่าง รับประกันว่าจะต้องทําภารกิจสําเร็จอย่างแน่นอน

ต่อจากนั้นประมาณเที่ยงสิบนาที หยางเฉ่วก็เดินทางมาถึง

วันนี้ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์ หยางเฉ่วเลยโดดเรียนมาดื้อๆ

บอกว่าเธอไม่เคยเห็นผีตานีมาก่อน ปีศาจประเภทนี้หาดูยากในรอบร้อยปี ถ้าไม่ได้เห็นสักครั้ง

เธอจะไม่อาจดับความอยากรู้อยากเห็นในใจตัวเองได้

 

เพียงแต่ตอนหยางเฉ่วเห็นหลงอ่าวเทียน เธอค่อนข้างตกใจพอสมควร บอกว่าทําไมถึงเป็นเจ้าอันธพาลนี้ได้

หลงอ่าวเทียนทําหน้าลําบากใจสุดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

แต่ผมกลับหัวเราะ และยังบอกว่ารอให้เธอเห็นผีตานีในคืนนี้ก่อน แล้วเธอจะตกใจยิ่งกว่าเดิม

 

เราคุยกันแบบนี้จนกระทั่งถึงคืนที่สาม หรือก็คือคืนสุดท้าย

พอผ่านคืนนี้ไป เรื่องวุ่นของหลงอ่าวเทียนก็จะจบลงแล้ว

 

ทุกคนกระตือรือร้นมาก และมั่นใจกันสุดๆ

เป็นเหมือนปกติ ก่อนฟ้ามืด ส่งคุณหลงและคุณนายหลงออกจากบ้าน

หลังจากนั้นก็ปิดประตู ทุกคนซ่อนอยู่ใต้โต๊ะรอผีตานีอย่างเคย

 

ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ และไม่ได้มีเรื่องวุ่นใดๆเกิดขึ้น

 

ค่ําคืนยังคงเงียบสงบ พวกเราสี่คนซ่อนตัวอยู่เงียบๆ

 

รอให้เวลาผ่านไปทีละนิด และแล้วเวลาเที่ยงคืนครึ่งก็มาถึงอีกครั้ง

ในบ้านที่มืดมิด หลังจากเสียง “ แอด ” ดังขึ้น ในที่สุดเป้าหมายหลักก็ปรากฏตัวขึ้นซะที

 

แต่สิ่งที่ทําให้พวกเราคิดไม่ถึงคือ ในวันที่สําคัญที่สุด และเป็นช่วงเวลาสุดท้าย กลับเกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดที่สุดขึ้น…

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset