“ฉันไม่อยากลากเขามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยค่ะ…”
โม่ถิงยกแขนขึ้นอย่างยอมแพ้ “ผมสาบานได้นะครับว่าโจนส์เป็นคนที่ติอต่อผมมาจริงๆ ผมไม่ได้ติดต่อเขาไปก่อนเลยครับ”
ถังหนิงมองหน้าสามีของตัวเองก่อนหัวเราะออกมา “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ช่วยฉันจัดการให้อาจารย์ของฉันมีสงบสุขหน่อยแล้วกันนะคะ แล้วก็กำราบหันซิวเช่อไปพร้อมๆ กันซะเลย อาจารย์ของฉันจะได้ไม่คิดว่าหน้าที่การงานของฉันในปักกิ่งมันยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว! ”
“คุณก็รู้ว่ามันยุ่งเหยิงเหรอครับ” โม่ถิงถามพลางโอบเธอและถอนหายใจข้างหูเธอ “คุณไม่เคยให้ผมเข้าไปยุ่งเลยสักครั้ง แต่คุณไม่รู้เหรอว่าทั้งครอบครัวเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน…”
“เหยียนเอ๋อร์ก็เหมือนกันเหรอคะ”
“แม่ลูกสัมผัสถึงกันอยู่แล้วล่ะครับ แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะครับ”
ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะขำออกมา “พอแล้วค่ะนี่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยนะคะ ถ้าฉันจัดการไม่ได้จริงๆ ฉันจะร้องไห้มาให้คุณช่วยแน่ๆ ค่ะ”
ถังหนิงนึกไม่ถึงว่าโจนส์จะมาที่ปักกิ่ง เธอไม่ต้องการให้โจนส์และภาพยนตร์ของเฉียวเซินต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กๆ ที่เธอกำลังจัดการจริงๆ
เธอจึงพยายามเลี่ยงเรื่องของหันซิวเช่ออย่างถึงที่สุดสักพัก เธอจะรอจนกว่าโจนส์จะกลับไปก่อนจะเริ่มลงมืออีก
ด้วยเหตุนี้ถังหนิงจึงจัดการเรื่องของโจนส์และทำให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกสื่อรบกวน
เธอหวังว่าจะสร้างความประทับใจที่ดีให้โจนส์ ต้องการให้เขารู้สึกว่าประเทศบ้านเกิดของเธอเป็นประเทศที่น่าอยู่ไม่ได้มีประเด็นอะไร
วันถัดมาถังหนิงบอกหลงเจี่ยว่าโจนส์จะมาถึงในไม่ช้า หลงเจี่ยดูไม่ค่อยสนใจแต่แท้จริงในใจกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
อย่างไรเสียเธอก็ได้มีโอกาสพบกับ เจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟ เชียวนะ
มันไม่ใช่โอกาสที่จะหาได้บ่อยครั้ง ยิ่งเมื่อโจนส์เกษียณอายุแล้ว
“ช่วงนี้ฉันฝากเรื่องของหันซิวเช่อให้เธอจัดการหน่อยแล้วกันนะ…”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” หลงเจี่ยเอ่ยพลางทำสัญลักษณ์มือรับทราบมาให้ วงการบันเทิงนี้เต็มไปด้วยเรื่องลับอยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะทำให้ทุกคนรอไปอีกสักหน่อย
ไม่นานถังหนิงและโม่ถิงก็มารับโจนส์และภรรยาที่สนามบินด้วยตัวเอง
หลังจากไม่ได้เจอกันมานาน โจนส์ยังคงดูมีเรี่ยวแรงเปี่ยมล้น ในขณะที่ภรรยาของเขาดูสง่างามในยามที่เธอทักทายถังหนิงราวกับกำลังได้พบกับลูกสาวของตัวเอง
“โจนส์เล่าเรื่องของลูกศิษย์ที่แสนฉลาดของเขาให้ฉันฟังเยอะเลยล่ะ ในที่สุดวันนี้ก็ได้พบเธอสักทีนะ”
ถังหนิงมีท่าทีสุภาพและนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนายโจนส์
ทั้งสี่มาถึงโรงแรมเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างมื้ออาหารโจนส์วางมีดและส้อมลงก่อนเอ่ยกับถังหนิง “ฉันได้ยินมาจากโม่ถิงว่าเธอเจอเรื่องเดือดร้อนหลังจากกลับมาที่จีนเหรอ”
ถังหนิงอึ้งไปพลางเหลือบมองโม่ถิง
เขาหลุดหัวเราะอย่างเอ็นดูขณะที่ลูบศีรษะเธอก่อนอธิบาย “เธอดื้อจนไม่ยอมให้ผมช่วยน่ะครับ”
“วงการบันเทิงมันก็จอมปลอมอย่างนี้แหละ มีคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“ฉันเข้าใจคุณนะ ศิษย์เอกของฉัน คุณไม่ใช่คนโหดร้าย ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อปกป้องตัวเองทั้งนั้น
“แต่ครั้งนี้ฉันอยู่ข้างโม่ถิงนะ มีคนในวงการไม่มากหรอกที่จะมีเส้นสาย ในเมื่อคุณมีมันทำไมถึงไม่ใช่ซะล่ะ คุณยังจำของขวัญที่ฉันให้ไปก่อนที่เธอกลับมาได้ไหมล่ะ
“ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะเข้าไปขลุกอยู่กับกลุ่มผู้กำกับในอเมริกาแล้วล่ะ
“แต่คุณไม่เหมือนคนอื่น คุณเลือกที่จะกลับบ้านและสานฝันแต่เดิมให้เป็นจริง
“เด็กน้อย คุณมันใจดีเกินไป
“ในเมื่อฉันรับคุณเป็นลูกศิษย์แล้ว หมายความว่าฉันยินดีที่จะให้คุณอวดกับคนทั้งโลก อย่าบอกฉันนะว่าคุณอายที่มีฉันเป็นอาจารย์น่ะ
“หรือคิดว่าฉันจะไม่พอใจ
“พูดตามตรงนะ ฉันเองก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเพราะรู้ว่ามันจะปกป้องคุณได้ คุณไม่ได้ทำอะไรที่เกินเหตุไปเลย แค่ทำไปเพราะจะได้เก็บแรงไปทำหนังแทนที่จะต้องมาเสียไปกับเรื่องหยุมหยิมและคนร้ายกาจพวกนี้
“คุณต้องจำเอาไว้ว่าเวลาของเรามันช่างมีค่า! ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ถังหนิงก็ซาบซึ้งใจ
“ทุกวงการมีกฎที่ใครๆ ก็รู้กันดี คุณก็แค่ใช้มันในการปกป้องตัวเองเท่านั้นเอง แล้วจะผิดอะไรกันล่ะ”
ถังหนิงไม่ได้พูดอะไรออกมาทว่าโม่ถิงหัวเราะออกมาพลางตอบกลับ “โจนส์ นี่เป็นสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดของเธอเลยนะ เธอมักจะยืนหยัดในตัวเองอย่างนี้ตลอดแหละครับ…
“แต่ว่าวิธีการจัดการของคุณมันทำให้ครอบครัวกับเพื่อนของคุณที่อยากจะแบ่งเบาภาระลำบากใจนะ พอคนที่ห่วงคุณรู้สึกว่าไม่เป็นที่ต้องการ มันจะทำให้พวกเขารู้สึกไร้ค่า เราต้องการรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่ต้องการอยู่นะ”
โจนส์มองหน้าโม่ถิงขณะที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา
ด้วยเขากำลังพูดให้ทั้งคู่ได้ฟัง
“เพราะอย่างนั้นก็ปล่อยให้นักข่าวจีนเข้ามาหาฉันเถอะ ฉันจะรับหน้าพวกเขาด้วยรอยยิ้ม มันไม่ได้เป็นปัญหาของฉันหรอก”
อย่างไรเสียโจนส์ก็เผชิญหน้ากับกล้องมานานหลายปี เขาจึงมีทีท่าไม่ทุกข์ร้อนและสบายๆ ขณะที่เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา พร้อมสายตาของภรรยาของเขาที่มองมาอย่างชื่นชม
ความจริงแล้ว…
โจนส์เข้าใจสัจธรรมของชีวิตดี
“เสี่ยวหนิง” นี่เป็นเพียงภาษาจีนคำเดียวที่คุณนายโจนส์เรียนรู้มา “เชื่อโจนส์เถอะนะ”
“ในเมื่อพวกคุณรุมฉันอย่างนี้ ฉันจะปฏิเสธได้ยังไงล่ะคะ ฉันอาจจะปฏิเสธความใจดีและความช่วยเหลือได้ แต่ทำอย่างนั้นกับความรักไม่ได้หรอกนะคะ”
มื้อกลางวันที่อบอุ่นจบลงด้วยข้อตกลงเช่นนั้น ก่อนที่ทั้งสี่จะออกจากโรงแรมไปด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติขึ้นมาก รวมถึงจำนวนบอดีการ์ดที่ตามประกบน้อยลงในครั้งนี้
นักข่าวได้กลิ่นเรื่องซุบซิบอย่างรวดเร็วก่อนรีบมา
อย่างไรก็ตามภาพที่พวกเขาเห็นกลับทำให้สงสัยเล็กน้อย…
โม่ถิงกลับไปไห่รุ่ย ทิ้งให้ถังหนิงอยู่กับคู่รักสูงวัยตามลำพัง
“ถังหนิงกลับมาที่จีนแล้วจริงๆ แต่เธอกลับมาพร้อมกับคู่รักชาวต่างชาติ! ”
“หรือว่าถังหนิงจะมีชู้กัน”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ เลยนะ เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นชู้หรอก”
“ในเมื่อถังหนิงกลับมาแล้ว หมายความว่าหันซิวเช่อพูดเรื่องจริงเหรอ ถังหนิงวางแผนทุกอย่างจริงๆ เหรอเนี่ย”
“ตอนนี้ถังหนิงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ปักกิ่ง รีบตามพวกเขาไปเร็ว…”
ทันใดนั้นเหล่านักข่าวก็กรูเข้ามาถังหนิงอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาวางแผนจะต้อนเธอให้จนมุมและบังคับให้เธอออกมาชี้แจง เกิดอะไรขึ้นกับจู้ซิงมีเดีย และเธอได้กล่าวหาหันซิวเช่อกับหม่าเวยเวยหรือไม่
ในตอนนี้เองที่หันซิวเช่อรู้ว่าถังหนิงปรากฏตัวขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะกลับไปอเมริกาและหลบไปจากสายตาของคนภายนอกสักพักเสียอีก
แต่ในที่สุดเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน เธอไม่รู้หรือว่าเขาจงใจล่อให้เธอออกมา
หลงเจี่ยรู้ว่าถังหนิงกำลังไปพบกับโจนส์ เธอจึงไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะใหญ่โตเกินเหตุเช่นนี้ ถังหนิงกำลังพบกันคนที่ได้ชื่อว่า เจ้าพ่อแห่งโลกไซไฟ เชียวนะ! ทำไมถึงพูดกันถึงเรื่องมีชู้และยั่วยวนนักธุรกิจผู้มั่งคั่งกันล่ะ ถ้าทุกคนรู้ความจริงเข้าจะเป็นลมกันไหมล่ะเนี่ย
“หันซิวเช่อ ไอ้เศษสวะ คงจะกำลังรอใส่ร้ายถังหนิงอยู่แน่” หลงเจี่ยคิด
Related