ตอนที่ 289 เปิดเผยอย่างไร้เยื่อใย!
“ชิงเกอ”
เสียงเรียกชิงเกอทำให้ทุกคนที่สาวก้าวเหยียบเข้าประตูใหญ่ฝีเท้าชะงักไปเล็กน้อย ต่างหันหน้ากลับไปมอง
เห็นร่างสง่างามสวมชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่บริเวณไม่ไกลจากจวน พวกเขาก็มองไปทางเฟิ่งชิงเกอในชุดขาวที่รูปโฉมงดงามรูปร่างเย็นชาโดยฉับพลัน
คนที่มาคือท่านอ๋องสามมู่หรงอี้เซวียน คู่หมั้นของนาง แม้จะบอกว่าท่านผู้เฒ่าไปเสนอให้ยกเลิกการหมั้นหมายของทั้งสองแล้ว แต่เพราะมู่หรงอี้เซวียนไม่ยอม ถึงตอนนี้เรื่องหมั้นหมายจึงยังประวิงเวลาไว้ ความสัมพันธ์ก็ยังไม่ตัดขาดเช่นกัน
เดิมทีพวกชาวบ้านที่มุงดูก็ไม่เห็นด้วยกับการหมั้นหมายของพวกเขาสองคน เพราะมู่หรงอี้เซวียนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่แห่งแคว้นแสงสุริยัน เป็นผู้มีความสามารถที่อนาคตจะไร้เทียมทานที่สุด
ส่วนเฟิ่งชิงเกอแม้เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลเฟิ่ง ซ้ำยังเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นแสงสุริยัน แต่ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ พลังนางในสายตาผู้คนกลับธรรมดาไม่อยู่ในสายตา แม้แต่พลังและพรสวรรค์เหล่าลูกสาวภรรยาเอกของตระกูลยังเก่งกาจกว่านาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ใบหน้ายังเสียโฉม
ต่อให้ตอนนี้ใบหน้าฟื้นคืน แต่พลังวรยุทธ์นางก็อ่อนแอเกินไป สำหรับทุกคนแล้วไม่เหมาะสมกับมู่หรงอี้เซวียนเลย ถึงอย่างไรคนที่ยืนข้างกายผู้มีพรสวรรค์ต้องเป็นสาวน้อยที่ทั้งรูปโฉมและพลังล้วนที่หนึ่ง
“พวกท่านเข้าไปก่อนเถอะ!” เธอส่งหยางหยางให้ท่านปู่ปล่อยพวกเขาเข้าไปก่อน
“ได้ พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ! ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้เขาเข้ามาในจวน” ท่านผู้เฒ่าพูดจบถึงจะพาหยางหยางเดินเข้าไปด้านใน
เฟิ่งเซียวมองมู่หรงอี้เซวียนแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า ถอนหายใจเดินเข้าไปข้างใน แม้เขาจะพอใจในตัวมู่หรงอี้เซวียนนัก แต่น่าเสียดายที่ลูกสาวไม่ชอบพอเขาจึงหมดหนทาง ต่อให้เขาพอใจทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมของลูกสาวไว้ก่อน
มู่หรงอี้เซวียนเดินเข้ามา เห็นบาดแผลพวกนั้นที่เคยอยู่บนใบหน้าล้วนหายไป รูปโฉมคืนสภาพผิวขาวราวหิมะไร้ริ้วรอยเช่นแต่ก่อน มองนางที่งามเลิศแต่ห่างเหินเช่นนี้ หัวใจเขาเจ็บปวดเล็กน้อย บนหน้ากลับผุดรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา
“ด้านหน้าไม่ไกลมีร้านน้ำชา ไปดื่มกันสักหน่อยเถอะ!”
เฟิ่งจิ่วมองเขา เห็นชาวบ้านไม่น้อยที่มุงดูอยู่รอบๆ ก็พยักหน้า ตามเขามายังห้องปีกชั้นสองของร้านน้ำชาบริเวณไม่ไกล
ภายในห้องปีกบรรยากาศเย็นเล็กน้อย ไม่มีความรักใคร่สนิทสนมระหว่างคนรักและความหลงใหลเหนียมอาย
สองคนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มู่หรงอี้เซวียนรินน้ำชาให้ เห็นท่าทางนางเย็นชาห่างเหินจึงหรี่ตาลงเล็กน้อยๆ เพื่อปกปิดความเจ็บปวดในดวงตา สายตาจ้องมองน้ำชาในมือ “ท่านปู่เฟิ่งไปหาเสด็จพ่อข้าเพื่อบอกเรื่องการถอนหมั้น แต่ข้าไม่ตกลง”
เฟิ่งจิ่วยกน้ำชาขึ้นจิบ ได้ยินคำพูดนี้แววตาก็สั่นไหวเล็กน้อย มองเขาแวบหนึ่ง บอกว่า “เรื่องการถอนหมั้นข้าเคยบอกกับท่านแล้ว พวกเราสองคนไม่เหมาะสมกัน ยื้อไปก็ไม่มีความหมาย”
“ไม่เหมาะสม?”
เขาเงยหน้ามองนางที่มีท่าทีเฉยชาด้วยความตกใจ ยิ้มอย่างขมขื่น “พูดได้ว่าพวกเราเป็นคู่รักที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ทำไมจะไม่เหมาะสม? ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเพราะข้าจำเจ้าไม่ได้ในคราแรก ข้าก็รู้ว่านั่นเป็นความผิดข้า แต่ชิงเกอ หรือเจ้าจะให้โอกาสข้าอีกสักครั้งไม่ได้เลยรึ?”
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วยิ้มมองเขาพร้อมส่ายหน้า นัยน์ตาสดใสมีความเฉียบคมที่มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง น้ำเสียงผ่อนคลายเปล่งออกจากปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน ตรงโจมตีเข้าห้องหัวใจเขาอย่างไร้เยื่อใย
“อันที่จริง ท่านไม่ได้รักเฟิ่งชิงเกอลึกซึ้งเช่นนั้นอย่างที่ท่านคิดภาพไว้ ด้วยความชาญฉลาดของท่าน เชื่อว่าคงสังเกตเห็นนานแล้วว่าตัวข้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าแตกต่างจากเฟิ่งชิงเกอที่ท่านคุ้นเคย”
………………………………………
ตอนที่ 290 ดื่มกันเต็มที่?
ฟังคำพูดนี้ มือมู่หรงอี้เซวียนที่ถือถ้วยชาสั่นเทาน้อยๆ หลับตาลงอย่างเชื่องช้าท่ามกลางสายตานาง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
เห็นทีท่าเช่นนี้ เธอกระตุกมุมปาก บอกว่า “ในเมื่อรู้แล้ว ทำไมถึงแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร? อาจเพราะเฟิ่งชิงเกอคนก่อนรักเทอดทูนท่าน แต่เฟิ่งจิ่วไม่ ท่านเป็นคนแปลกหน้าสำหรับข้า ดังนั้นการหมั้นหมายนี้ข้าต้องยกเลิกแน่”
“เฟิ่งจิ่ว?” เขาเงยหน้ามองนาง
“ถูกต้อง ข้าชื่อเฟิ่งจิ่ว และก็ชื่อเฟิ่งชิงเกอ แต่ไม่ใช่เฟิ่งชิงเกอที่หลงรักท่านอย่างแน่นอน”
ได้ยินเช่นนี้ เขาขยับริมฝีปากเหมือนอยากจะเอ่ยถามอะไร แต่สุดท้ายก็ยังคงไม่ถาม ยกน้ำชาขึ้นมาจิบตรงใกล้ๆ ปาก สงบจิตใจตนเองลงเสียเนิ่นนาน บอกว่า “ข้ารู้แล้ว เรื่องหมั้นหมายนี้ข้ายอมยกเลิก”
“เช่นนั้นดีที่สุด” มุมปากเธอยกขึ้นเล็กน้อยเผยรอยยิ้มออกมา
เห็นบนหน้านางเอ่อล้นด้วยความยินดี แววตาเขาฉายแววจางๆ กล่าวว่า “ข้าอยากทำความรู้จักเจ้าเสียใหม่”
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของนางเขาก็ผุดรอยยิ้มละมุนออกมา “เจ้าพูดได้ไม่เลว แรกพบในโรงเหล้า การพบกันอีกในเวิ้งสวนท้อ รวมถึงการพบกันอีกครั้งบนถนน เจ้าล้วนทำให้ข้าตกตะลึง ใจเต้นโครมคราม และไม่อาจลืมเลือน ดังนั้น ต่อให้ถอนหมั้นข้าก็จะยังไล่ตามเจ้า”
เฟิ่งจิ่วสายหน้าลุกยืนขึ้น พูดพลางหัวเราะเบาๆ “ข้าแนะนำว่าท่านอย่าได้มาสิ้นเปลืองความคิดกับข้าจะดีกว่า ไปตั้งใจฝึกบำเพ็ญเสียเถอะ!”
หลังทิ้งคำพูดไว้เธอก็จากไป ชัดเจนยิ่งนักว่าตนไม่มีทางหลงรักคนอย่างมู่หรงอี้เซวียน แม้จะโดดเด่นมาก แต่ก็ไม่คู่ควรกับเธอ
เห็นนางหันตัวจากไป เขากลับไม่รั้งไว้ เพราะรู้ดีว่าหากเขาแข็งแกร่งและโดดเด่นพอ เช่นนั้น สุดท้ายวันหนึ่งนางจะต้องมาเป็นผู้หญิงของตนแน่นอน!
ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นใหญ่ ผู้แกร่งกล้าถึงจะได้รับความเคารพ ผู้อ่อนแอกลับไม่อาจอยู่รอด ต่อให้เบื้องหลังนางมีจวนตระกูลเฟิ่ง แต่ในโลกที่กว้างใหญ่นี้ สุดท้ายวันหนึ่งนางจะรู้ว่ามีเพียงผู้แกร่งกล้าที่สามารถคุ้มครองนางได้
นางพูดได้ไม่เลว เขาต้องหมั่นเพียรฝึกบำเพ็ญจริงๆ แคว้นแสงสุริยันเป็นแค่บันไดขั้นหนึ่ง เขาจะไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต ภายนอกยังมีท้องฟ้าที่กว้างใหญ่กว่าให้ได้โผบิน…
จวนตระกูลเฟิ่ง
เฟิ่งจิ่วที่กลับถึงบ้านยังไม่เข้าห้องโถงก็ได้ยินเสียงกวนสีหลิ่นลอยมา
“ทำไมเสี่ยวจิ่วยังไม่กลับมาอีกขอรับ? มู่หรงอี้เซวียนนี่ก็จริงๆ เลย ชายชาตรีอกสามศอกยังโลเลยืดยาดได้น่าเบื่อหน่ายซะจริง”
“ใครบอกว่าข้าจะไม่กลับมากัน?” เธอยิ้มเดินเข้าไป ก็เห็นกวนสีหลิ่นที่นั่งอยู่เข้ามารับหน้าทันทีที่เห็นเธอ
“เสี่ยวจิ่ว เจ้ากลับมาเสียที ข้าได้ยินว่าเจ้ากลับมาจึงรีบมาทันที”
“ท่านจะเข้าบ้านแล้ว ไม่กลับมาได้ด้วยรึ?” เธอพูดยิ้มๆ เห็นในห้องโถงไม่เจอหยางหยางจึงถามว่า “ท่านปู่ หยางหยางล่ะเจ้าคะ?”
“เขาง่วงนอน ปู่ให้คนพาไปพักผ่อนแล้ว” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยทั้งรอยยิ้ม บอกว่า “ปู่สั่งห้องครัวทำอาหารที่หลานชอบมาสองสามอย่าง ประเดี๋ยวดื่มด้วยกันสักหน่อยค่อยกลับเรือนไปพักผ่อนนะ”
เฟิ่งเซียวได้ยินคำพูดนี้ของท่านผู้เฒ่ากลับขมวดคิ้วไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก กล่าวว่า “ท่านพ่อ ชิงเกอเพิ่งกลับมาจากเดินทางต้องเหนื่อยแย่ จะดื่มก็ให้นางพักผ่อนดีๆ ก่อนค่อยว่ากันเถอะ ท่านดูสิ นางออกไปร่างกายก็ซูบผอมมากเพียงนี้ อยู่ด้านนอกต้องลำบากไม่น้อยซ้ำยังไม่ได้พักผ่อนดีๆ เป็นแน่”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วยิ้มบอก “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ลูกไม่…” ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกขัดจังหวะ
“อืม ข้าก็คิดว่าควรให้เสี่ยวจิ่วกลับไปพักผ่อนเสียหน่อย คืนนี้พวกเราค่อยมากินดื่มกันดีๆ สักมื้อจะสบายใจกว่านะขอรับ”
………………………