ตอนที่ 285 ไม่ทันตั้งตัว!
เฟิ่งจิ่วขี่เหล่าไป๋นำหน้า เพราะเดินอยู่บนถนนใหญ่ความเร็วจึงไม่มากนัก เธอไม่ถามเหลิ่งซวงว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะเหตุอะไร ไม่สนใจเหมือนภาพก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเธอไม่สน แต่เพราะรู้ว่าเหลิ่งซวงไม่เป็นอะไร เช่นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าพอให้ใส่ใจถามไถ่
“นายท่าน ด้านหลังมีคนตามพวกเราอยู่เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงที่ขี่ม้าตามอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วเอ่ยปากบอก ดวงตาราวน้ำแข็งมองไปทางชายหนุ่มคนนั้นที่ตามมาตลอดอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“ไปเถอะ ไม่ต้องไปสนใจ”
เฟิ่งจิ่วพูดอย่างไม่ใส่ใจ ไม่หันกลับไปก็รู้ว่าเป็นชายหนุ่มคนก่อนหน้านั้นบนเหลาสุรา สายตาที่มีลักษณะคุกคามทำให้เธอยากจะนิ่งเฉย ในเมื่อกล้าสะกดรอยตาม ก็ให้พวกเขาตามมาเถอะ! เธออยากลองดูว่าอีกฝ่ายจะตามพวกเธอไปตลอดยังไง
“ของว่างที่เจ้าซื้อมาให้หยางหยางล่ะ? หยิบออกมาหน่อยซิ” เธอพูดพลางยื่นมือไปหาเหลิ่งซวง
“อยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ ข้าซื้อเม็ดบัวหวานมา” เหลิ่งซวงยื่นถุงใบเล็กไปให้นาง
หลังเฟิ่งจิ่วรับมาก็ยื่นให้หยางหยางที่นั่งอยู่ด้านหน้า “เอ้า หยิบกินเสีย แต่อย่ากินครั้งหนึ่งเยอะเกินไปล่ะ”
“ขอบคุณพี่เฟิ่งขอรับ” หยางหยางยิ้มมีความสุข บอกขอบคุณอย่างยินดี
“เด็กดี” เธอหยิกแก้มเล็กๆ ของเขาแล้วยิ้มขึ้นมา
ชายหนุ่มที่ตามมาด้านหลังมองอยู่ตลอด แม้ส่วนใหญ่จะเห็นแค่ด้านหลังนาง แต่ทุกการเคลื่อนไหวและรอยยิ้มตกสู่สายตาเขาทั้งหมด ทำให้เขาเฝ้าชมราวกับเป็นเรื่องสนุกอย่างหนึ่ง
สองคนเบื้องหน้าขี่ม้าเดินอยู่ จนกระทั่งออกประตูเมืองไป สองคนด้านหลังก็ยังคงตามมา ที่แตกต่างคือหลังออกจากประตูเมือง ทั้งสองต่างขี่กระบี่เหาะตามหลังห่างจากเฟิ่งจิ่วไม่ถึงสิบเมตร
เฟิ่งจิ่วไม่เอาเขามาเป็นเรื่องเป็นราว เหลิ่งซวงก็ไม่ไปสนใจอีก เพราะอีกฝ่ายแค่ตามมา ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านี้ ทว่าแม้เป็นเช่นนี้ นางที่ควรระวังตัวจึงยังระแวดระวังอยู่
เช่นนี้เอง การเดินทางจึงเดินหน้าไปด้วยแบบแผนที่แปลกประหลาด เฟิ่งจิ่วด้านหน้ายกมือขึ้นทัดเส้นผมที่ลู่ตกอยู่ข้างแก้มไว้หลังหู สัมผัสถึงสายลมอ่อนที่พัดมารับหน้า ในดวงตาฉายประกายจางๆ มุมปากยกยิ้มแปลกๆ ขึ้นบางๆ อย่างที่ไม่อาจสังเกตเห็น
เวลาผ่านมาประมาณครึ่งก้านธูป ทันใดนั้น ด้านหลังมีเสียงของหนักหล่นกระแทกพื้นสองเสียง รวมถึงเสียงร้องอู้อี้อีกสองเสียงดังมา
“ตุบ! ตุบ!”
“อั่ก!”
เหลิ่งซวงสังเกตด้านหลังอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นกระบี่บินที่ร่อนอยู่ร่วงลงมาจากกลางอากาศสูงกว่าสองเมตรอย่างสิ้นท่าโดยไม่ทันตั้งตัว ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง
นางมองไปทางเฟิ่งจิ่ว เมื่อเห็นรอยยิ้มตรงริมฝีปากนั้นถึงได้เข้าใจว่าที่แท้เป็นฝีมือของนายท่านเอง
“นายท่าน ท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”
ชายวัยกลางคนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณทั่วร่างพลันหายไปจึงรู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก หลังร่วงลงพื้นมาแทบไม่สนใจว่าบนตัวจะเต็มไปด้วยฝุ่นโคลน รีบร้อนมองไปบริเวณรอบๆ อย่างระมัดระวังตัว
ชายหนุ่มคนนั้นยามนี้ก็ตื่นตกใจมาก มองยังร่างสีขาวตรงหน้าที่ขี่ม้าหันมามองด้วยความตกตะลึงยิ่ง รู้สึกเพียงว่าไม่น่าเชื่อ
เขาประมาทเสียแล้ว! ไม่นึกว่าสาวน้อยจะมีฝีมือมากถึงเพียงนี้ ถึงกับไม่ต้องหันหน้า ไม่ต้องลงมือ ก็สามารถทำให้พลังวิญญาณบนร่างพวกเขาหายไปหมดภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันรู้ตัวได้
หรือนางเป็นนักปรุงยา?
แต่นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน แคว้นเล็กๆ ระดับเก้าอย่างแสงสุริยันจะมีนักปรุงยาชั้นสูงเช่นนั้นได้อย่างไร?
เช่นนั้นก็มีอีกหนึ่งความเป็นไปได้!
บนตัวนางต้องมียาไร้สีไร้กลิ่นที่ทำให้พลังวิญญาณผู้ฝึกตนหายไปอยู่!
…………………………………………
ตอนที่ 286 กลับเมืองอวิ๋นเยวี่ย!
เฟิ่งจิ่วนั่งขี่บนร่างเหล่าไป๋ ชายตามองทั้งสองที่ล้มลงบนพื้นจากด้านบนลงไป น้ำเสียงเฉื่อยชาเปล่งออกมาอย่างมีความเย็นเยียบ
“พวกเจ้าอย่าตามมาอีกจะดีกว่า มิเช่นนั้น ครั้งต่อไปจะไม่ใช่แค่การสั่งสอนง่ายๆ เช่นนี้”
หลังทิ้งคำเตือนไว้ ถึงจะเปลี่ยนหันกลับไป สองขากระทุ้งตรงท้องเหล่าไป๋แผดเสียงออกมาเบาๆ ก็เห็นเหล่าไป๋วิ่งไปด้านหน้าอย่างว่องไว
เหลิ่งซวงควบม้าไล่ตามไปทันที เวลาไม่นานนักทั้งสองก็หายไปจากสายตาของอีกสองคนบนพื้น…
“นายท่าน สาวน้อยคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ ขอรับ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเห็นพวกนางขี่ม้าจากไป ก็โล่งใจอย่างอดไม่ได้ สามารถทำให้พวกเขาสองคนตกลงมาอย่างเงียบเชียบไร้เสียง ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
ชายหนุ่มยิ้มขึ้นมา ดวงตาแอบฉายประกาย “ข้าบอกแล้วไงว่านางไม่ธรรมดา! พิสูจน์ได้ว่าสายตาข้านี่ไม่เลวเลย”
“ข้าน้อยว่าเป็นโชคดีที่นางไม่ได้ลงมือฆ่าพวกเรานะขอรับ” ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากนางคิดจะฆ่า เกรงว่าพวกเขาก็โชคร้ายมากกว่าดีจริงๆ
ชายหนุ่มเหลือบมองเขา บอกว่า “นางไม่รู้ว่าพวกเราเป็นใคร ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน แล้วจะฆ่าพวกเราทำไมเล่า?”
น้ำเสียงชะงักลง มุมปากยกเล็กน้อย นัยน์ตาเผยประกายที่มุ่งหมายว่าต้องได้มา กล่าวว่า “แต่ไม่นึกเลย แคว้นเล็กๆ ระดับเก้าอย่างแสงสุริยันจะมีสาวน้อยงามเลิศโดดเด่นเช่นนี้อยู่ ช่างทำให้… เห็นแล้วยากจะลืมจริงๆ”
ใช่แล้ว การพบกันเพียงเวลาสั้นๆ สาวน้อยคนนี้ทำให้เขามีความคิดที่อยากจะได้นางมา
สิ่งที่ดึงดูดสายตาเขาในตอนแรกสุดคือรูปโฉมที่งดงามยิ่ง จากนั้นถึงจะเป็นท่าทางบนกายนาง รวมถึงความดุดันที่แอบแฝงในดวงตา และที่ทำให้นึกไม่ถึงคือที่นางสามารถล้มพวกเขาได้ภายใต้สถานการณ์ที่นิ่งเงียบสงบ หนำซ้ำยังไม่ใช้แรงกายใดๆ
อุบายและกลยุทธ์นี้ทำให้เขาที่เดิมแค่เกิดความคิดอยากไล่ตามสาวงามยิ่งจริงจังขึ้น
สาวน้อยคนนี้ เขาต้องการนาง!
เขาคิดว่า หากกดสยบสาวน้อยที่สันโดษและเย็นชาคนนี้ไว้ใต้ร่าง จะต้องรู้สึกมีชัยอย่างแน่นอน!
เฟิ่งจิ่งไม่รู้ถึงความตั้งมั่นที่คนคนนี้คิดอยู่ในใจ หากรู้เรื่อง เดาว่าคงกลับมาซ้ำเขาอีกหนึ่งมีด
ทั้งสองประคองกันไปนั่งพักลงข้างทาง ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามฤทธิ์ยาก็จางไป พลังวิญญาณทั่วร่างถึงจะฟื้นคืนกลับมา
“นายท่าน พวกเราจะกลับไปแคว้นเหินเวหาก่อนไหมขอรับ?” ชายวัยกลางคนมองเขาพลางถาม
ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย สักพักก็บอกว่า “อืม กลับไปก่อน แล้วค่อยส่งคนมาตรวจสอบตัวตนสาวน้อยคนนั้นเสียหน่อย”
“ขอรับ”
ชายวัยกลางคนตอบรับช่วยไม่ได้ แม้คิดว่าไม่ไปยุ่งกับสาวน้อยคนนั้นจะดีกว่า แต่ยังไงก็เป็นความสนใจของคุณชาย จึงทำได้เพียงจัดการตามคำสั่งเขา
ทางอีกด้านหนึ่ง
เหลิ่งซวงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง “นายท่าน ท่านใช้ยาไปตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ? ทำไมข้าไม่เห็นเลย?” ตอนนั้นคนด้านหลังจ้องนางอยู่ตลอด งั้นจะลงมือโดยที่ไม่ถูกสังเกตได้ยังไง?
เฟิ่งจิ่วยกมุมปาก ยิ้มบอกว่า “หากให้เจ้าเห็น จะทำให้พวกเขาสองคนติดกับได้อย่างไร?”
เธอมองที่เส้นทางด้านหน้า เอ่ยว่า “หลังถึงเมืองอวิ๋นเยวี่ยเจ้านำไม้วิญญาณไปยังเวิ้งสวนท้อ ให้พวกเขาเฝ้าอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ ก็เรียกน้องชายเจ้ากลับจวนมาด้วย”
ได้ยินเช่นนี้ บนใบหน้าเหลิ่งซวงจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “เจ้าค่ะ” นึกถึงน้องชายในใจนางก็อ่อนโยนขึ้น
เที่ยวเล่นมาครึ่งทาง ใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนพวกเธอถึงจะมาถึงเมืองอวิ๋นเยวี่ย หลังเข้าเมืองอวิ๋ยเยวี่ย เฟิ่งจิ่วกับเหลิ่งซวงก็แยกทางกัน เหลิ่งซวงขี่ม้าตรงไปยังเวิ้งสวนท้อ ส่วนเธอขี่เหล่าไป๋พาหยางหยางกับฉิวฉิวไปจวนตระกูลเฟิ่ง
เพราะเหล่าไป๋ไม่ยอมให้ฉิวฉิวขี่บนหัว ด้วยเหตุนี้ฉิวฉิวจึงทำได้เพียงวิ่งตามไปบนพื้นอย่างซื่อสัตย์…
……………………………