บทที่ 315 จะเป็นเช่นไร
“ข้าไม่เป็นไร อย่ากังวลเลย ชิงซวงดูแลรักษาข้าเรียบร้อยแล้ว” เฉียวเทียนช่างตอบอย่างอ่อนโยนขณะลูบหลังหนิงเมิ่งเหยาเบาๆ ชายหนุ่มรู้ดีว่านางเป็นห่วงเขา
หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่เจ็บปวดใดๆ นางก็สบายใจและหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
หลังจากหนิงเมิ่งเหยาหลับ เฉียวเทียนช่างจึงอุ้มหญิงสาวมายังห้องของนาง ก่อนวางนางบนเตียงใหม่
ชายหนุ่มลูบปลอบประโลมหญิงสาวซึ่งยังมีอาการไม่คงที่นัก หลังจากนางหลับสนิท เขาจึงจะจากไป
เฟิงซั่วรออยู่ด้านนอก เมื่อเขาเห็นเฉียวเทียนช่างเดินออกมา จึงพูดขึ้นด้วยความรู้สึกปั่นป่วนในใจ “เจ้าช่างโชคดียิ่งนัก” หนิงเมิ่งเหยาไม่ใช่คนที่จะยอมใกล้ชิดกับผู้ใดง่ายๆ พวกเขารู้จักกันมานาน แต่ไม่ว่านางจะดีกับเขาเพียงใด ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนก็ยังคงมีระยะห่าง ช่างแตกต่างกับเฉียวเทียนช่างอย่างสิ้นเชิง
เมื่อหญิงสาวอยู่ต่อหน้าเฉียวเทียนช่าง นางจะเป็นตัวของตัวเองและไม่ปกปิดเรื่องใดๆ แม้แต่น้อย
เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แน่นอน เขารู้ว่าตนเองสำคัญต่อนางเพียงใด
“ข้ารู้ว่าท่านต้องการพูดอะไร”
“ในเมื่อเจ้ารู้ ก็ดูแลเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ให้ดีกว่านี้ อย่าให้ข้ามีโอกาสพาตัวนางไปได้” เมื่อถึงเวลานั้น แม้หนิงเมิ่งเหยาจะไม่เต็มใจ เขาก็จะไม่ยอมให้นางอยู่กับชายผู้นี้อีกเด็ดขาด
หากชายหนุ่มมิอาจปกป้องหญิงคนรักของตนได้ แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
“ข้ารู้”
เฟิงซั่วเงียบ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นและจากไป สายตาของเขาไร้ซึ่งความลังเล หากแต่หัวใจนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น
แม้ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะแต่งงานกับเฉียวเทียนช่างแล้ว แต่เขามั่นใจมาตลอดว่ายังพอมีโอกาส อย่างไรก็ดี หลังจากเห็นความไว้วางใจที่หนิงเมิ่งเหยามีต่อเฉียวเทียนช่าง ความมั่นอกมั่นใจของเขาก็ดูไร้ค่าและน่าขัน
จู่ๆ เฟิงซั่วก็นึกถึงตอนที่เขาพบเจอหญิงสาวครั้งแรก
ในตอนนั้น นางอายุเพียง 11 ปี เด็กสาวตัวน้อยร่างบางผู้ต้องการหาเลี้ยงชีพด้วยตนเอง แม้ว่านางจะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าดีๆ แต่กิริยาท่าทางของนางก็ดึงดูดสายตาของทุกคน แม้แต่ตัวเขายังไม่อาจละสายตาไปมองใครอื่นได้เลย
สิ่งที่เขารู้สึกหลงใหลหลังจากนั้น คือความคิดอันไม่สิ้นสุดของหญิงสาวนั่นเอง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาได้รับความคิดเหล่านั้นมาจากที่ใด แต่ด้วยเหตุนั้น จึงทำให้มีผู้คนมากมายอยู่เคียงข้างนาง ทั้งเขา อวี้เฟิง เหมยรั่วหลิน รวมถึงพี่น้องมู่เฉิน ‘ตอนนั้นพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่นะ’
หลายคนคงอยากเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้จะสามารถไปได้ไกลเพียงใด
แต่นางก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจครั้งใหญ่ กล่าวได้ว่าพวกเขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
หนิงเมิ่งเหยาดูแลกลุ่มพ่อค้าระดับกลางกลุ่มหนึ่ง จนกลายเป็นกลุ่มพ่อค้าขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเมืองจำนวนมาก รวมถึงควบคุมเส้นทางเศรษฐกิจหลายสายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงห้าปีเท่านั้น
ในตอนนั้น พวกเขาต่างอึ้งและรู้สึกว่ามันช่างเหลือเชื่อว่าหญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหน และนางทำมันได้อย่างไร
ในช่วงนั้น พวกเขาต่างคิดอย่างนั้นกันทุกคน
ตลอดระยะเวลาสองสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้กลับไปเมืองหลิง แต่ยังคงอยู่เคียงข้างพวกเขา และอยู่ร่วมกับอวี้เฟิงและคนอื่นๆ เพื่อให้นางจัดการเรื่องต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง
หนิงเมิ่งเหยาทำให้พวกเขาตื่นตะลึงครั้งแล้วครั้งแล้ว แต่เมื่อหญิงสาวไปสู่จุดสูงสุด นางกลับเลือกที่จะจากไป เพื่อมาอยู่กับชายหนุ่มนามว่าหลิงหลัว
ขณะนั้น พวกเขาคิดว่าหญิงสาวมีความสุขดี จึงไม่เข้ามารบกวนชีวิตของนาง
ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว นางจะเจ็บปวดและช้ำใจอย่างหนัก
ในตอนนั้น หนิงเมิ่งเหยาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากไม่ใช่เพราะท่านยายฉินและคนอื่นๆ ออกตามหา ก็คงจะไม่รู้ว่านางไปอยู่ที่ไหน
ทุกครั้งที่เฟิงซั่วได้ยินพวกเขาพูดว่านางแต่งงานแล้ว เขาก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า หากเขาไม่จากไปไหน และยังอยู่เคียงข้างหญิงสาว ตอนนี้นางก็คงเป็นคนรักของเขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นคือความเสียใจที่เขาไม่สามารถปล่อยวางได้
เฟิงซั่วไม่รู้ตัวว่าออกมาจากจวนของแม่ทัพใหญ่และกลับไปยังพระราชนิเวศน์นอกเมืองได้อย่างไร แต่เมื่อกลับมาถึง เขาก็หัวเราะขึ้นในทันที เขาพลาดโอกาสไปแล้ว แต่หากหนิงเมิ่งเหยามีความสุขตลอดไปก็คงจะดีที่สุด มิเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้เลยว่าตนเองจะเป็นเช่นไร
บทที่ 316 แก้แค้น
เฉียวเทียนช่างนั่งอยู่ในลานบ้านที่อบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะเห็นหนานอวี่เดินเข้ามา “คนล่ะ”
“ในห้องใต้ดินขอรับ” หนานอวี่รู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดถึงใคร
ชายหนุ่มผงกศีรษะ ดูราวกับตกอยู่ในภวังค์ความคิด “ไปดูเขากัน”
หนานอวี่เดินตามหลังเขาไปยังห้องใต้ดินอันมืดมิดเงียบๆ
ภายในห้องใต้ดินนั้น ทั้งแขนและขาของบัณฑิตถูกล่ามโซ่เอาไว้ เมื่อพวกเขาเดินมา เขาเพียงเหลือบมองดูและก้มศีรษะลง ราวกับไม่สนใจว่าหลังจากนี้ตนเองจะได้รับบทลงโทษเช่นไร
“หนานอวี่ ข้ายกเขาให้กับเจ้า แต่ข้าไม่อยากให้เขาตายก่อนข้าจะออกคำสั่ง เข้าใจหรือไม่” เฉียวเทียนช่างพูดอย่างเยือกเย็นขณะมองหนานอวี่ที่อยู่ข้างๆ
หนานอวี่อึ้งไปในตอนแรก ก่อนจะหัวเราะขึ้น “ข้าไม่อาจร้องขออะไรมากกว่านี้อีกแล้วขอรับ” นับตั้งแต่วันที่ตระกูลของหนานอวี่ถูกทำลาย วันนี้คือวันที่เขายิ้มได้อย่างจริงใจที่สุด
เขามองเฉียวเทียนช่างจากไปจนลับตา ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยดวงตากระหายเลือด พร้อมความรู้สึกตื่นเต้น
ในที่สุดวันที่เขารอคอยมานานหลายปีก็มาถึง เขาเฝ้ารอวันนี้มากว่าทศวรรษ ใครเล่าจะรู้ว่าเขาผ่านพ้นคืนวันเหล่านั้นมาได้อย่างไร
บัณฑิตสามารถเมินเฉยต่อการเผชิญหน้ากับเฉียวเทียนช่างได้ แต่เมื่อต้องมาประจันหน้ากับเด็กหนุ่มตรงหน้า เขากลับรู้สึกหวาดกลัว
“เจ้าเป็นใคร”
หนานอวี่มองบัณฑิต ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันน่าขนลุก “ข้าเป็นใครน่ะหรือ ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่อยากรู้น่ะสิ”
บัณฑิตขมวดคิ้วเล็กน้อย “เลิกแสร้งทำซะ เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ ข้าก็จะบอกให้ ตอนที่เจ้าสังหารคนทั้งตระกูลของข้า เจ้าเคยคิดไหมว่าผลสุดท้าย มันจะลงเอยเช่นนี้”
บัณฑิตมองหนานอวี่ ด้วยท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างมาก “เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ฮ่าๆ ข้าเป็นใครน่ะหรือ คนในตระกูลของข้า ไม่ว่าเด็กน้อยหรือคนชรา รวมกว่าสิบชีวิตต้องสิ้นไปด้วยน้ำมือของเจ้าและนายท่านของเจ้า แล้วเจ้ายังกล้ามาถามอีกหรือว่าข้าเป็นใคร สิบปีที่ผ่านมา เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าอยากจะกัดกินเนื้อสดๆและดื่มเลือดของเจ้าเพื่อล้างแค้นให้กับตระกูลของข้ามากขนาดไหน” หนานอวี่พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ เป็นไปไม่ได้เลยที่บัณฑิตผู้นี้จะลืมมัน
บัณฑิตจ้องมองหนานอวี่ด้วยท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “เจ้า เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ หรือนี่” พวกเขาคิดมาตลอดว่าเด็กชายคนนั้นเสียชีวิตแล้ว และไม่เคยคิดว่าเขาจะมีชีวิตรอดมาได้
หนานอวี่หัวเราะ “ถูกต้อง ข้ายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น แต่น้องชายของข้าก็ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน ทำไมหรือ เจ้ารู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจฆ่าเราสองพี่น้องได้ ทั้งๆ ที่ส่งคนมามากมายเช่นนั้นน่ะหรือ”
“เจ้ามีราชากู่อยู่ในมือหรือ” จู่ๆ บัณฑิตก็คิดอะไรบางอย่างออกและจ้องมองหนานอวี่
“แล้วจะทำไมรึ” สถานที่ทั้งหมดถูกปิดอย่างแน่นหนา หนานอวี่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหลบหนีได้ แม้ว่ามีโอกาส แต่หนานอวี่ก็จะไม่ยอมปล่อยตัวเขาไปเด็ดขาด
ทันใดนั้น บัณฑิตก็เข้าใจถึงสาเหตุที่กู่พิษนั้นไร้ประโยชน์ เพราะหนิงเมิ่งเหยามีหนานอวี่ผู้ถือครองราชากู่อยู่เคียงข้างนี่เอง ดังนั้นนางและคนอื่นๆ จึงไม่มีทางสัมผัสกับกู่พิษของพวกเขาได้เลย
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ข้าจะทำอะไรน่ะหรือ แน่นอนว่าข้าจะต้องทำให้ชีวิตของเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าตายไปเสียอีก นายท่านบอกว่าเจ้าจะต้องรับรู้ถึงความรู้สึกที่ถูกกู่พิษกัดกิน ข้าคิดว่ามันจะต้องยอดเยี่ยมแน่เลย จริงไหม” หนานอวี่ยิ้มอย่างกระหายเลือดและดูมีความสุขกับการแก้แค้นในครั้งนี้
เขาพุ่งเข้าไปหาบัณฑิตก่อนยัดโอสถสองเม็ดเข้าไปในปากของอีกฝ่าย
“เจ้าเอาอะไรให้ข้ากิน” บัณฑิตถูกบังคับให้กลืนมัน ก่อนจะมองหนานอวี่พร้อมกับสัญชาตญาณของเขาบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่
“อย่ากังวลเลย ไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง” หนานอวี่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
บัณฑิตเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจของเขาก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
หนานอวี่นั่งบนเก้าอี้อย่างสงบขณะมองบัณฑิต ตอนนี้เขามีเวลามากมาย จึงอดทนรอให้พวกมันออกฤทธิ์ เขาอยากจะเห็นอีกฝ่ายทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
ในไม่ช้าร่างกายของบัณฑิตก็บิดงอผิดปกติ ร่างกายของเขาดูเหมือนจะถูกเผาด้วยไฟร้อนระอุ จนเขาอยากจะกระโดดลงไปในถังน้ำแข็ง
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นกระแสความเย็นยะเยือกก็แผ่กระจายทั่วร่างกายของเขา จนกัดกินไปถึงกระดูก ทำให้ทุกส่วนของร่างกายราวกับถูกแช่แข็ง
“กู่เพลิงเย็น” บัณฑิตขบฟันกรอดขณะพยายามต้านทานต่อความเจ็บปวดในร่างกาย
“นับว่าสายตาไม่เลว” หนานอวี่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มันคือสิ่งที่เขาเตรียมให้อีกฝ่ายไว้เป็นพิเศษ
Related