บทที่ 287 เสียงฉินเรียกเหล่าปักษิน
หนิงเมิ่งเหยาดีดฉินสายเดี่ยวอย่างนุ่มนวล มุมปากนางยกยิ้ม เฉียวเทียนช่างที่อยู่ข้างกายสามารถสัมผัสได้ว่านางกำลังมีความสุขอยู่ในขณะนี้
เขาเองก็อยากเห็นว่าฉินสายเดี่ยวเล่นอย่างไรด้วยเช่นกัน
ไม่ใช่เพียงเฉียวเทียนช่างคนเดียว คนอื่นที่หลบข้างอยู่ก็ต่างใจจดใจจ่อ สงสัยว่าฉินสายเดี่ยวเล่นอย่างไร
สายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนจดจ้องไปที่ฉินของหนิงเมิ่งเหยาที่วางอยู่บนตักนาง นางดีดสายฉินอย่างเบามือ บรรเลงเสียงชวนหลงใหลออกมา พาให้ผู้คนตกตะลึง คนจำนวนมากมายที่นี่ล้วนร่ำเรียนฉินมา แต่ไม่เคยมีใครบรรเลงเสียงเพลงจากฉินสายเดี่ยวได้ดีเท่านี้
ในขณะนั้น ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าทำไมหนิงเมิ่งเหยาถึงเรียกการเล่นฉินของเว่ยจื่อซินว่าอ่อนหัดและเหมือนเด็กๆ
เมื่ออยู่ต่อหน้าการแสดงอันมากล้นฝีมือ ไม่มีใครคิดเรียกการบรรเลงของเว่ยจื่อซินว่ายอดเยี่ยม
ดวงตาเว่ยเค่อซินเต็มไปด้วยความประหลาดใจเมื่อมองสตรีข้างกายเฉียวเทียนช่าง สีหน้าของหญิงสาวสงบนิ่งไม่สนใจผู้คน ดั่งว่าสิ่งรอบตัวนางไม่อาจรบกวนสมาธินางได้แม้แต่น้อย นางจดจ่ออยู่เพียงกับฉินในมือ
เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาอย่างหลงใหล นางช่างโดดเด่นกว่าใครโดยแท้
หนิงเมิ่งเหยามีสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตานางปรือครึ่งหนึ่ง ดั่งว่ากำลังเพลิดเพลินไปกับบทเพลง
บนแท่นยกสูง หน้าเว่ยจื่อซินเปลี่ยนสี เดี๋ยวเขียวคล้ำ เดี๋ยวซีดขาว แม้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้จะมัวสนใจเพลงของหนิงเมิ่งเหยา นางก็รู้ดีว่าทันทีที่บทเพลงจบลง ตัวนางจะตกเป็นเป้ารังเกียจของทุกคน
นางจะไม่ยอมให้หนิงเมิ่งเหยาทำสำเร็จเป็นอันขาด ใช่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เว่ยจื่อซินดูจะเสียสติไปแล้ว นางหยิบฉินข้างตัวขึ้นมาแล้วโยนใส่หนิงเมิ่งเหยา “ไปตายเสีย!”
สายตาเฉียวเทียนช่างกลายเป็นเย็นชาในทันใด เขาใช้มือข้างเดียวคว้าฉินที่ลอยมาเอาไว้ แล้วมองเว่ยจื่อซินอย่างเย็นชา
“เสนาบดีเว่ย ข้าขอคำอธิบายจากท่านในเรื่องนี้ด้วย” เสียงเฉียวเทียนช่างดังเหมือนบทเพลงบรรเลงกลางหิมะหนาวเหน็บ ทำให้คนอื่นรู้สึกเย็นยะเยือก
บรรดาผู้คนไม่คาดคิดว่าเว่ยจื่อเซียนจะทำตัวขี้แพ้ชวนตี ทักษะนางสู้คนอื่นไม่ได้ แล้วยังจะทำตัวเช่นนี้อีก
พวกเขามองหนิงเมิ่งเหยา นางไม่ได้หยุดบรรเลงเลยสักจังหวะเดียว กลับกัน เสียงจากฉินตัวนั้นยิ่งไพเราะกว่าเดิม
“ดูนั่น มีนกเกาะบนต้นไม้เต็มไปหมดเลย” ใครสักคนร้องขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ผู้คนเพิ่งรู้ตัวว่ามีนกจำนวนมากมาเกาะบนต้นไม้รอบด้าน ศีรษะพวกมันขยับสดับฟังเสียงบทเพลงบรรเลงอย่างจดจ่อ
ทันใดนั้นเอง เสียงฉินเปลี่ยนไป นกบทต้นไม้พากันกางปีกบิน เริงระบำอยู่เหนือลาน ดั่งว่ากำลังขยับไปตามจังหวะเดียวกันกับบทเพลงของหนิงเมิ่งเหยา
ไม่นานนักก็มีผีเสื้อหลากสีสันเข้ามาร่วมวงกับเหล่าปักษา
เซียวฉีเทียนตะลึงงัน มองเหล่านกและผีเสื้อ สายตาเขาเปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ใจ
เขาเคยได้ยินมาว่ามีเสียงบางชนิดจากฉินที่ดึงดูดนกและผีเสื้อได้ แต่ไม่เคยเห็นด้วยตามาก่อน บัดนี้เขากลับได้ประจักษ์ภาพเช่นนี้
ช่างสวยงามราวกับเป็นภาพมายา
เซียวจื่อเซวียนเหม่อมองหนิงเมิ่งเหยา สีหน้านางบิดเบี้ยวเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อว่าหญิงนางนั้นจะช่ำชองการดีดฉินระดับนี้
เป็นไปได้อย่างไรกัน มีคนที่ดึงดูดนกและผีเสื้อด้วยการเล่นฉินได้ด้วยหรือ
ทว่า ความประหลาดใจยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือเหล่าผีเสื้อเริงระบำ พวกมันบินไปข้างๆ หนิงเมิ่งเหยาตอนใดก็ไม่มีใครทราบ แล้ววนล้อมรอบนางพร้อมเริงระบำต่อไป ผู้คนรอบด้าน รวมถึงเฉียวเทียนช่าง ต่างจมดิ่งไปกับเสียงดนตรี
หนิงเมิ่งเหยาแต่งกายในชุดสีฟ้าอ่อน นั่งบนเก้าอี้โดยมีฉินอยู่บนตักและผีเสื้อต่างสีสันบินรอบๆ รูปโฉมนางในตอนนี้ไม่ต่างจากเทพเซียน
หนิงเมิ่งเหยาที่ยังบรรเลงฉินอยู่พลันหยุด นางยกมือขึ้นเล็กน้อย ผีเสื้อตัวหนึ่งก็บินไปเกาะตรงปลายนิ้วนางอย่างแผ่วเบา
ทุกคนที่ได้เห็นล้วนจดจำภาพเบื้องหน้าฝังแน่นลงในใจ
เป็นครั้งแรกที่ทุกคนพากันเงียบ ไม่มีใครขัดจังหวะหรือรบกวนนาง เพียงแค่รับชมอยู่แบบนี้
มุมปากหนิงเมิ่งเหยายกขึ้น นางลูบปีกผีเสื้ออย่างเบามือ “เอาล่ะ บินกลับไปได้แล้ว” นางส่งผีเสื้อบนนิ้วออกไป
ผีเสื้อตัวนั้นบินขึ้นสูงแล้วค่อยๆ บินจากไป
ผีเสื้อที่เหลือก็พากันบินจากไปทีละตัวเช่นกัน หลังจากนั้นพวกนกเองก็เริ่มจากไป เหลือเพียงนกจาบฝนตัวหนึ่งที่ยังอยู่
บทที่ 288 มุ่งหมายจับคู่แต่งงาน
นกตัวนั้นร้องพร้อมเริงระบำอยู่เหนือศีรษะหนิงเมิ่งเหยา มันร่อนลงเกาะบนไหล่นาง แล้วใช้จงอยปากจิกแก้มหนิงเมิ่งเหยาเบาๆ
หนิงเมิ่งเหยายิ้ม “เจ้าก็ด้วย บินกลับไปได้แล้ว”
นกจาบฝนเอียงศีรษะมองหนิงเมิ่งเหยาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สยายปีกบินไปในที่สุด
ผู้คนเริ่มตั้งสติได้หลังจากนกจาบฝนตัวนั้นบินจากไป หนานกงเช่อมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาร้อนแรง
แม้ว่าสตรีนางนี้จะเป็นภรรยาของชายอื่นแล้ว เขาก็ยังปรารถนาจะได้นางมาเป็นของตน
ตัวเขาในตอนนี้อาจจะลงมือโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
เฟิงซั่วเพ่งมองหนิงเมิ่งเหยา จากนั้นก็หันศีรษะไปทางอื่น ในดวงตาเขามีแววลึกลับส่องประกาย
“เมิ่งเหยา เจ้าช่างวิเศษยิ่งนัก เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน” เซียวฉีเทียนตาเป็นประกายร้อนแรงขณะมองหนิงเมิ่งเหยา เฉียวเทียนช่างที่ยืนอยู่ข้างนางนึกรังเกียจสายตาเร่าร้อนที่จ้องมาทางนาง
เฉียวเทียนช่างเอื้อมมือไปผลักเขาให้ออกห่าง ก่อนจะพูดอย่างรังเกียจ “ถอยไปให้ไกลจากภรรยาของข้า”
“เทียนช่าง เราสองเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันอยู่แล้ว ข้าเพียงสงสัยเท่านั้น เจ้าก็รู้ใช่หรือไม่” เซียวฉีเทียนหดหู่ใจยิ่งนักเมื่อมองเฉียวเทียนช่าง เขายังไม่ทันทำอะไรเสียหน่อยมิใช่หรือ ไยคนผู้นี้จึงมารังเกียจเขาเล่า
มีบุตรสาวจากอีกหลายตระกูลแสดงต่อจากนี้ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเล่นฉิน หนิงเมิ่งเหยาเปล่งประกายเช่นนี้ ใครเล่าจะอาจหาญดีดฉินให้อับอาย
ทว่าเว่ยเค่อซินยังคงเลือกจะดีดฉินเมื่อถึงตานาง ทว่าไม่ใช่เพื่อยั่วยุหนิงเมิ่งเหยาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม นางเล่นฉินเพราะหวังว่าจะได้คำชี้แนะจากหนิงเมิ่งเหยาบ้าง
หนิงเมิ่งเหยาฟังเสียงบรรเลงของเว่ยเค่อซิน เสียงที่นางเล่นออกมาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความหวังซึ่งถ่ายทอดออกมาจากใจของนางอย่างยอดเยี่ยม
“ข้าหวังว่าภรรยาของท่านแม่ทัพจะช่วยชี้แนะข้าสักนิด” เว่ยเค่อซินมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยความจริงใจ ไม่มีใครรู้สึกว่าสายตานางท้าทาย กลับกัน นางหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากหนิงเมิ่งเหยาด้วยใจจริง
หนิงเมิ่งเหยามองเว่ยเค่อซิน นางประทับใจสตรีนางนี้กว่านักเมื่อเทียบกับเว่ยจื่อซิน “ฝีมือดีดฉินเจ้าไพเราะกว่าทั่วไป ฟังเสียงรอบด้านเจ้าให้มากขึ้น แล้วหลอมรวมสิ่งที่ได้ยินเข้ากับบทเพลงของเจ้าเอง” หนิงเมิ่งเหยาพูดเพียงเท่านั้น
เว่ยเค่อซินพึมพำถ้อยคำของหนิงเมิ่งเหยาเบาๆ ในแววตานางมีความสับสนให้เห็น จากนั้นนางก็เข้าใจกระจ่าง หนิงเมิ่งเหยากำลังบอกให้นางเผชิญกับหัวใจและอย่าได้ผูกมัดตัวเองไว้กับข้อจำกัด เท่านั้นนางจึงจะดีดได้ดีขึ้น
“ขอบคุณ ฮูหยิน” เว่ยเค่อซินขอบคุณจากใจ
เว่ยจื่อซินทำหน้าถมึงทึงเมื่อมองเว่ยเค่อซิน
“คนสับปลับ”
เว่ยเค่อซินในตอนนี้ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเว่ยจื่อซิน จึงเพียงกลับไปที่นั่งของตน
หลังจากบุตรสาวของแต่ละตระกูลแสดงเสร็จสิ้น หนานกงเช่อก็ลุกขึ้นยืนกะทันหัน “เซียวฮ่องเต้ ที่กระหม่อมมาในครั้งนี้ เพราะเสด็จพ่อได้กล่าวว่าท่านหวังจะให้มีการแต่งงานระหว่างเมืองหลิงกับเมืองเซียวเพื่อความรุ่งเรืองของสองเมืองร่วมกันในภายภาคหน้า”
“อ้อ” เซียวชวี่เฟิงหรี่ตา ถึงเวลานี้แล้วหรือ สายตาเขามองไปยังหนานกงเยว่ที่อยู่ข้างๆ “ข้าสงสัยนักว่าองค์หญิงสนใจบุรุษคนใด”
หนานกงเยว่มองไปยังเฉียวเทียนช่าง “ข้าผู้เป็นองค์หญิงสนใจแม่ทัพเฉียวเพคะ”
วินาทีที่เสียงนั้นดังออกไป ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นเงียบปากทันใด พวกเขามองยังเฉียวเทียนช่างผู้นิ่งขรึม จากนั้นก็มองหนานกงเยว่ผู้ดูจะกำลังคิดอะไรบางอย่าง พวกเขาต่างรู้สึกหวิวในอก
ถึงแม้แม่ทัพเฉียวจะไม่ได้ทำอะไร ไอเย็นจากตัวเขาก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย เขาคือคนที่คร่าชีวิตผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
หนิงเมิ่งเหยาหรี่ตามองหนานกงเยว่ “ดูท่าองค์หญิงจากเมืองข้างเคียงจะชอบชายที่แต่งงานแล้ว”
“หนึ่งชายมีมากภรรยาและสนมเป็นเรื่องธรรมดา” หนานกงเยว่กล่าว นางไม่ได้ใส่ใจต่อคำประชดประชันของหนิงเมิ่งเหยา
ทว่าหนิงเมิ่งเหยาหันไปหาเฉียวเทียนช่าง
“เทียนช่าง เจ้าคิดเช่นนั้นด้วยหรือไม่”
เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยา “เรื่องไร้สาระอะไรกัน เจ้าคือคนเดียวเท่านั้นที่จะอยู่เคียงข้างข้า จะไม่มีใครอื่นนอกจากเจ้า ใครที่คิดจะเข้ามา ต้องตายสถานเดียว”
หนิงเมิ่งเหยาพอใจกับคำตอบ แต่หนานกงเยว่ขมวดคิ้ว ในบรรดาผู้คนตรงนี้ นางสนใจเพียงเฉียวเทียนช่างเท่านั้น สำหรับนางแล้ว เขาเป็นชายหนุ่มที่ดียิ่งนัก
“ฮูหยินขี้หึงเกินไปแล้ว”
“แล้วจะอย่างไรเล่า ในเมื่อสามีของข้ามิได้ชอบเจ้า” หนิงเมิ่งเหยายิ้มให้หนานกงเยว่
หนานกงเยว่มองหนิงเมิ่งเหยา นางอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เฟิงซั่วที่ยืนอยู่ถัดไปขัดนางก่อน “ตั้งแต่เมื่อไรกันที่เชื้อพระวงศ์ของเมืองหลิงทำตัวน่าอายเช่นนี้”
“เฟิงซั่ว ท่านควรระวังคำพูดบ้าง” สีหน้าหนานกงเช่อเย็นชายามจ้องมองเฟิงซั่วที่อยู่ด้านข้าง