บทที่ 285 ทูตจากทุกเมือง
เฉียวเทียนช่างเฝ้ามองทั้งสองสนทนากันอย่างเงียบๆ มีแววรอยยิ้มปรากฏในดวงตาชายหนุ่ม
“เทียนช่าง เจ้าดูแลภรรยาของเจ้าให้ดีๆ หน่อยเถอะ นางรู้แต่วิธีข่มเหงรังแกข้า” หลังจากนั้นสักพักเซียวฉีเทียนก็มองไปยังเฉียวเทียนช่างด้วยสีหน้าเศร้าหมองและกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
เฉียวเทียนช่างมองเซียวฉีเทียนด้วยความประหลาดใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นเด็กดีให้นางรังแกไปเสียสิ ข้าไม่สนใจหรอก”
เซียวฉีเทียนแทบกระอักเลือด “แต่ข้าสน”
“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกที่จะอยู่เงียบๆเอาก็ได้”
เซียวฉีเทียนชี้หน้าสองสามีภรรยา นิ้วมือเขาสั่นระริก มุมปากกระตุก เขาเงียบปากแล้วหันไปอีกทาง อยู่ให้ห่างคู่สามีภรรยาตัวแสบนี้ไว้จะดีกว่า ตัวเขาจะได้ไม่ต้องโดนทั้งสองข่มเหง
หนิงเมิ่งเหยามองเซียวฉีเทียนแล้วส่ายศีรษะอย่างหมดวาจา “ข้าสงสัยเสียจริงว่าเจ้าทำการค้าใหญ่โตได้อย่างไรกับคารมเพียงเท่านี้”
เซียวฉีเทียนถึงกับสำลัก เถียงไม่ออก สักพักหนึ่งเขาก็เปิดปาก “ข้ามีพรสวรรค์ ข้าเป็นเช่นนี้ก็ต่อเมื่อเจอพวกคนพิลึกแบบพวกเจ้า เจ้าเข้าใจไหม”
หนิงเมิ่งเหยาเลิกคิ้วมองเซียวฉีเทียน “เจ้าไม่ควรโทษผู้อื่นทั้งๆ ที่เจ้าไร้ความสามารถนะ”
เซียวฉีเทียนมองหนิงเมิ่งเหยา เขาจะหุบปากและเลิกคุยกับหญิงนางนี้แล้ว
หนิงเมิ่งเหยาเองก็เลิกโต้ตอบ พลันมีเสียงดังมาจากข้างนอก “องค์รัชทายาทและองค์หญิงแห่งเมืองหลิงเสด็จ”
“องค์รัชทายาทแห่งเมืองเฟิงเสด็จ”
“องค์ชายสามแห่งเมืองไห่เสด็จ”
เสียงประกาศยังดังต่อไป พาให้บรรดาชนชั้นสูงของเมืองเซียวมองไปยังประตูทางเข้าอุทยานหลวง หนานกงเช่อและน้องสาวของเขาเดินเข้ามา ถัดไปข้างหลังคือองค์ชายแห่งเมืองเฟิง หนิงเมิ่งเหยาอดขมวดคิ้วมิได้เมื่อเห็นองค์ชายจากเมืองเฟิง นางรู้สึกว่าเขาคุ้นตายิ่งนัก
หลังจากจดจ้องมองดูอีกฝ่าย นางก็พบว่าตนไม่รู้จักคนผู้นี้จริงๆ
แต่ท่าทีของเขาทำให้นางนึกถึงใครบางคน
เฉียวเทียนช่างเห็นหนิงเมิ่งเหยาจ้ององค์ชายแห่งเมืองเฟิงก็เพ่งมองไปทางองค์ชายบ้าง เขาเป็นคนนุ่มนวล มีรอยยิ้มอบอุ่น ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและเหินห่าง
“มีอะไรรึ”
หนิงเมิ่งเหยาส่ายศีรษะ “องค์ชายแห่งเมืองเฟิงคล้ายใครสักคนที่ข้ารู้จัก ท่าทีของพวกเขาดูคล้ายกันยิ่งนัก แต่ท่าทางของพวกเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น องค์ชายแห่งเมืองเฟิงเป็นคนที่ลึกลับที่สุดในบรรดาคนทั้งหมดนี้ กระทั่งชาวเมืองเฟิงเองยังไม่รู้จักเขาอย่างแท้จริง ว่ากันว่าคนที่รู้ล้วนตายไปแล้ว” เฉียวเทียนช่างกล่าวอย่างครุ่นคิดพลางมององค์ชายแห่งเมืองเฟิง
หนิงเมิ่งเหยาเห็นด้วย แน่นอนว่านางเองก็รู้ “ลืมไปเสียเถอะ ยังไงข้าก็ไม่รู้จักเขาอยู่แล้ว” นางก้มศีรษะลง
ทันใดนั้นเอง เฟิงซั่ว องค์ชายแห่งเมืองเฟิงก็หันมามองนางวินาทีที่นางก้มศีรษะลง ชั่วแวบหนึ่ง มีรอยยิ้มจริงใจแล่นผ่านในดวงตาที่ไม่เป็นมิตร
เขาขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเฉียวเทียนช่าง รอยยิ้มบนหน้าก็ค่อยๆ หายไป
“หนานกงเช่อ (หนานกงเยว่) ถวายพระพรเซียวฮ่องเต้”
“องค์ชายและองค์หญิงแห่งเมืองหลิงไม่ต้องพิธีรีตองนักก็ได้” เซียวชวี่เฟิงยิ้ม ในดวงตาเขาเองก็มีรอยยิ้มจริงใจ
“เฟิงซั่วถวายพระพรเซียวฮ่องเต้” เฟิงซั่วค้อมตัวลง
“องค์ชายแห่งเมืองเฟิงอ่อนน้อมเกินไปแล้ว เชิญท่านนั่งลงเถิด”
“ขอบพระทัย เซียวฮ่องเต้” เฟิงซั่วเดินไปนั่งที่ ตำแหน่งที่นั่งของเขาบังเอิญอยู่ตรงข้ามกับหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างพอดี
สายตาจากฝั่งตรงข้ามทำให้หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว นางเงยศีรษะขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติเลย นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“ไม่มีอะไร” เฉียวเทียนช่างเอื้อมไปกุมมือนางแล้วออกแรงบีบอย่างปลอบโยนให้นางสบายใจ
หนิงเมิ่งเหยายิ้มรับ
“เริ่มงานเลี้ยงได้ ณ บัดนี้” เซียวชวี่เฟิงชำเลืองมองยังคนข้างใน คนผู้นั้นผงกศีรษะรับทราบในทันที เขาเงยหน้าขึ้นแล้วบอกแก่ผู้คน
งานเลี้ยงเริ่มขึ้น บนลานมีนักร้องและนักเต้นบำ ไม่นานหลังจากนั้น ก็เป็นช่วงที่บรรดาบุตรสาวจากตระกูลชั้นสูงต่างๆ ออกมาแสดง
เมื่อถึงตาเว่ยจื่อซิน นางบรรเลงบทเพลง เสียงเพลงนั้นไพเราะและทำให้สีหน้าเว่ยเค่อซินเปลี่ยนไปเมื่อนางมองยังเว่ยจื่อซิน
นางรู้สามารถของเว่ยจื่อซินดี แต่ตอนนี้…เว่ยเค่อซินเข้าใจในที่สุดว่าเว่ยจื่อซินแอบเก็บงำความสามารถที่แท้จริงมาตลอด ทักษะดีดฉิน[1]ของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลย
เว่ยจื่อซินซึ่งอยู่บนเวทีรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเว่ยเค่อซิน แต่ตอนนี้นางไม่ต้องการมีปัญหากับอีกฝ่าย
นางหันไปมองหนิงเมิ่งเหยา “ข้าอยากรู้ว่าภรรยาของท่านแม่ทัพใหญ่จะช่วยมาแข่งขันกับข้าได้หรือไม่”
บทที่ 286 ก่อปัญหา
สายตาของทุกคนหันไปมองที่หนิงเมิ่งเหยาทันทีที่เว่ยจื่อซินเอ่ยจบหนิงเมิ่งเหยาเล่นจอกสุราในมือ นางมองยังเว่ยจื่อซินพร้อมรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก “ทำไมข้าต้องแข่งกับเจ้าด้วยเล่า”
“เจ้าไม่กล้าแข่งกับข้า หรือเจ้าไม่รู้วิธีเล่นกันเล่า เจ้ามีคุณสมบัติอะไรในการยืนเคียงข้างท่านแม่ทัพใหญ่เฉียวบ้าง” เว่ยจื่อซินถามถึงความชอบธรรมของเรื่องนี้
เซียวชวี่เฟิงและน้องชายมองยังเว่ยจื่อซินอย่างสับสน พอพวกเขาเห็นนางมองเฉียวเทียนช่างอย่างหลงไหลก็เข้าใจในทันทีว่านางชื่นชอบเฉียวเทียนช่าง จึงพูดออกมาเช่นนั้น
เฉียวเทียนช่างมองเว่ยจื่อซิน “สุนัขไล่จับหนู ถือเป็นการยุ่งในกิจของผู้อื่น”
“แม่ทัพเฉียว ท่าน…” สีหน้าเว่ยจื่อซินเปลี่ยนไป นางไม่คิดว่าความรู้สึกที่นางแสดงออกต่อเฉียวเทียนช่างจะถูกปฏิเสธ คำพูดของเขาเปรียบดั่งการตบฉาดใหญ่เข้าที่หน้านาง
เดิมเฉียวเทียนช่างคิดจะพูดต่อ แต่หนิงเมิ่งเหยาหยุดเขาไว้ นางยิ้มบางพลางมองเว่ยจื่อซิน “เจ้าจะบอกว่า เจ้าผู้เป็นบุตรสาวคนเล็กของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีเว่ย เหมาะสมกับเฉียวเทียนช่างที่สุดหรือ”
“แล้วไม่ใช่หรือ” ใบหน้าเว่ยจื่อซินหยิ่งผยอง นางมองหนิงเมิ่งเหยาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
หนิงเมิ่งเหยาขบขัน หน้านางมีรอยยิ้มเย็น “ข้าไม่ยักรู้ว่าคุณหนูของจวนเสนาบดีเว่ยจะไร้ยางอายเพียงนี้ ถึงได้มาชอบสามีของคนอื่น” นางทำให้ตัวเองขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คนจำนวนมากและคณะทูตจากเมืองอื่นโดยแท้
เมื่อกล่าวเช่นนั้น จวนเสนาบดีเว่ยทั้งจวนก็ถือว่าถูกลากเข้ามาเกี่ยวพันด้วย เซียวฉีเทียนเผยยิ้มบาง “นั่นสิ การอบรมเลี้ยงดูที่คุณหนูเว่ยได้รับนี้เปิดโลกแก่ข้าจริงๆ”
สีหน้าเสนาบดีเว่ยเปลี่ยนไป เขาทำหน้ากระอักกระอ่วน ไม่น่ามอง สีหน้าของเขาดูแย่มาก
เขาถลึงตามองเว่ยจื่อซินอย่างโกรธเกรี้ยว ไม่นึกไม่ฝันว่าเว่ยจื่อซินจะอาจหาญเพียงนี้ นางกล้าพูดจาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้
เฟิงซั่วมองเว่ยจื่อซินด้วยรอยยิ้มละไม “สตรีของเมืองเซียวช่างสมคำร่ำลือนัก”
สีหน้าเซียวชวี่เฟิงเปลี่ยนไป สายตาเขากลายเป็นเย็นชา เขามองเว่ยจื่อซินด้วยความรังเกียจ
ใบหน้าเว่ยเค่อซินเกร็งขึ้นมาเมื่อนางสังเกตเห็นสีหน้าของเซียวชวี่เฟิงที่เปลี่ยนไป นางรู้ว่าพฤติกรรมของเว่ยจื่อซินทำให้เซียวชวี่เฟิงไม่พอใจอย่างมาก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายคนที่โชคร้ายอาจเป็นนางเอง
“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงอยากจะแข่งกับภรรยาของท่านแม่ทัพใหญ่” เว่ยจื่อซินหาใช่คนโง่ไม่ นางรู้ดีว่าทุกคนกำลังตำหนินาง โดยเฉพาะในสายตาบรรดาทูตจากเมืองอื่น สายตาพวกเขามีแววรังเกียจดั่งว่านางเป็นโคลนติดรองเท้าที่ทำให้พวกเขาอยากขย้อน
หนิงเมิ่งเหยามองเว่ยจื่อซินอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น แล้วหัวเราะ “อยากแข่งกับข้ารึ แล้วทำไมข้าต้องแข่งกับเจ้า”
เว่ยจื่อซินจนคำพูด ทำไมนางต้องมาแข่งด้วยหรือ นางไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
“เจ้ากลัวหรือ”
“ให้แข่งกับคนท่าทางยังไม่โตเช่นนี้ ข้าไม่อยากทำให้อีกฝ่ายอับอาย” ในสายตาคนอื่น ทักษะของเว่ยจื่อซินอาจดูสมบูรณ์แบบ แต่นางก็ยังเป็นเพียงเด็กเพิ่งหัดเล่นในสายตาหนิงเมิ่งเหยา
การบรรเลงของนางว่างเปล่า ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ
“เจ้า…เจ้ากำลังดูถูกข้ารึ”
หนิงเมิ่งเหยาหัวเราะ “ข้ากำลังดูแคลนเจ้าแน่นอน แล้วจะอย่างไรเล่า เสียงฉินของเจ้าไร้จิตวิญญาณ จะให้บอกว่าไพเราะได้อย่างไร”
“ถ้าเจ้าช่ำชองนักก็มาเล่นเอง”
“คุณหนู ให้นางคนเซ่อซ่านี่ได้ชมเถิดเจ้าค่ะ ว่าฉินต้องเล่นอย่างไรแน่” ชิงเสวี่ยมองเว่ยจื่อซินอย่างชิงชังพร้อมกล่าวอย่างเหยียดหยาม
บังอาจมาโอ้อวดทักษะฉินต่อหน้าคุณหนู เป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้า “นำฉินของข้ามา”
ชิงเสวี่ยผงกศีรษะ นางเอานิ้วแตะปากแล้วผิวปากออกไป แล้วผู้คนก็เห็นร่างสีทับทิมปรากฏต่อหน้าหนิงเมิ่งเหยาพร้อมฉินในมือ เป็นฉินสายเดี่ยว
ถูกต้องแล้ว นั่นคือฉินตัวโปรดของหนิงเมิ่งเหยา และเป็นเครื่องดนตรีที่นางชอบที่สุดในบรรดาเครื่องดนตรีโบราณ
สีหน้าหลิงหลัวเปลี่ยนไปเมื่อเห็นฉินตัวนั้น เขาดูจะคิดอะไรบางอย่าง สายตาเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล
“เจ้าไปได้แล้ว”
“รับทราบ”
ร่างสีทับทิมโผล่มาแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนยิ่งสงสัยในตัวตนของหนิงเมิ่งเหยามากยิ่งขึ้น
[1] พิณหรือเครื่องดนตรีประเภทดีด