เมื่อออกจากห้องอาบน้ำแล้ว บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวและดวงจันทร์ เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวขึ้นไปบนแท่นสังเกตการณ์ ทอดสายตามองราตรีที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
หลังจากมีความสุขด้วยกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็แนะนำให้เหมียวอี้วางงานแล้วผ่อนคลายก่อนชั่วคราว ให้ออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนนาง
สองสามีภรรยาล้วนสวมชุดลำลอง ปล่อยผมยาวโดยไม่ได้มัด ผมปลิวสยายตามลมราตรีที่พัดมา
ภาพเหตุการณ์สงบเงียบ หลังจากระบายไฟโกรธไปแล้วรอบหนึ่ง เหมียวอี้ก็อารมณ์สงบลงแล้ว เขาเอียงหน้าช้าๆ มองอวิ๋นจือชิวที่กำลังจับระเบียงมองทิวทัศน์ ถามว่า “เจ้าน่าจะรู้นะว่าสุดท้ายหยางชิ่งจะวางแผนกับใคร?”
“ก็เพราะข้ารู้เจตนาของเขาไงล่ะ” อวิ๋นจือชิวยิ้มเรียบๆ
เหมียวอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามอย่างไม่เข้าใจ “งั้นเจ้ายังกดไว้อีกเหรอ?”
“ทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่ปราสาทดำเนินจันทร์ช่างสวยงามจริงๆ!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจโดยไม่ตอบคำถาม ผมงามพัดผ่านใบหน้าเป็นระยะ มองทิวทัศน์ยามราตรีด้วยสายตาอ่อนโยน พร้อมกล่าวอย่างลาลัยอาวรณ์ว่า “เจ้าใช้อารมณ์มากเกินไปแล้ว แค่ตัวเจ้าเอง หยางชิ่งเคยวางแผนทำร้ายเจ้าหรือเปล่าล่ะ? เคยทรยศเจ้าหรือเปล่า? เคยทำเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อเจ้าหรือเปล่า? ไม่ใช่แค่ไม่มีนะ เขากลับสร้างผลงานให้เจ้า เขาผลงานใหญ่ให้เจ้า!”
เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อบ ตะงันเพราะวิธีการพูดของอวิ๋นจือชิว ถ้าให้มองแบบแยกกันจริงๆ ถ้าพุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียวจริงๆ หยางชิ่งก็ถือว่าทำผิดต่อเขาแล้ว…พอเริ่มจะคิดได้นิดหน่อย เขาก็พบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเขา “พุ่งเป้ามาที่เจ้าหรือพุ่งเป้ามาที่ข้ามันต่างกันยังไง?”
พอได้ยินแบบนี้ อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มแล้ว บนใบหน้าเผยรอยยิ้มที่มาจากใจ แต่กลับส่ายหน้าเบาๆ “อย่างน้อยก็อธิบายได้แล้วว่าเขากับเจ้าอยู่บนเส้นทางเดียวกันตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่เคยมีใจคิดเป็นอื่นต่อเจ้าเลย! ส่วนที่เขาทำกับข้า…ถ้าอยู่ในจุดยืนของเขา การทำแบบนี้ถือว่าผิดเหรอ? คนอย่างหยางชิ่งน่ะ ให้เขายอมยกลูกสาวให้เป็นอนุภรรยาของเจ้าโดยไม่คับแค้นเลนสักนิด เจ้าคิดว่าเป็นไปได้เหรอ? เขาไม่ใช่ท่อนไม้เสียหน่อย ถ้าเปลี่ยนเป็นลูกสาวของหยางเจาชิงกับเหยียนซิวอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ้าง ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็ต้องเคยมีความคิดแบบนี้ทั้งนั้น ตราบใดที่มีทางเลือก หนิวเอ้อร์ ในอนาคตถ้าเจ้ามีลูกสาว เจ้าก็จะทำอย่างนี้เหมือนกัน!”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “เหตุผลนี้ข้าเข้าใจดี! เพียงแต่วิธีการของเขามักทำให้ข้าป้องกันไม่ชนะ น้องชิว ข้ากังวลมาก เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยเหรอ?”
“ไม่! เจ้าไม่เข้าใจ!” อวิ๋นจือชิวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล แล้วหันตัวมา มองเขาด้วยแววตาเป็นประกาย “หนิวเอ้อร์ ข้าถามเจ้าหน่อย ถ้าพูดถึงตระกูลก่วง อนุภรรยาพวกนั้นของตระกูลก่วง มีใครบ้างที่กล้าใช้กำลังกำจักหวังเฟยเม่ยเหนียงทิ้ง?”
เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ แล้วกล่าวอย่างฉงน “เจ้าอยากจะบอกอะไร…”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ตอบข้ามาตรงๆ ก็พอ”
เหมียวอี้ลองใช้ความคิดนิดหน่อย แล้วตอบว่า “ไม่กล้า!”
อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “อิ๋งจิ่วกวงแล้วยังไง? อิ๋งจิ่วกวงคิดจะสนับสนุนให้จ้านหรูอี้ขึ้นตำแหน่งราชินีสวรรค์ แต่กล้าใช้กำลังทหารกำจัดเซี่ยโห้วเฉิงอวี่หรือเปล่าล่ะ?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่กล้า! ใช้วิธีการอะไรก็ได้ แต่อย่างเดียวที่ไม่ใช่ก็คือ อยู่ที่วังสวรรค์ไม่มีทางทำสำเร็จ ต่อให้ไม่อยู่ที่วังสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ออกมาทัศนาจรข้างนอก ข้างกายก็มีทัพใหญ่ติดตาม ยอดฝีมือเยอะดั่งเมฆบนฟ้า ถ้าทำพลาดเมื่อไร ก็ไม่มีใครรับผลที่ตามมาไหว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คือราชินีสวรรค์ ไม่ใช่สนมธรรมดา!”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ก็หลักการเดียวกัน! หยางชิ่งไม่กล้าใช้กำลังทหารมาสู้กับข้า ถ้าเรื่องแดงขึ้นมาเขาก็รับผิดชอบผลที่ตามมาไม่ไหว ดังนั้น เขาก็ทำได้เพียงใช้วิธีการลักลอบใช้อุบาย! ตราบใดที่นายท่านก้าวไปข้างหน้าตลอด ยืนในที่สูงกว่าเดิม ข้าก็ยิ่งปลอดภัย อุบายตื้นๆ พวกนั้นไม่พอให้ข้าหวาดกลัวหรอก! ข้าไม่กลัวที่เขาฉลาด ไม่กลัวว่าเขาจะมีกลอุบายเหนือชั้น กลัวก็แต่เขาจะไม่ฉลาดพอ ไม่มีมีกลอุบายเหนือชั้นมากพอ กลัวก็แต่เขาจะไม่มีความสามารถทำงานให้เจ้า! ถ้าเขาไม่มีความสามารถ ถ้าข้าต้องการจะกำจัดเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่เขามีความสามมารถ ข้าก็จะยอมให้เขาแสดงความสามารถเต็มที่!”
นางสะบัดแขนเสื้อชี้ไปยังภูเขาสูงที่วับแวมอยู่ใต้แสงจันทร์ “ถ้าเจ้าขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้นแล้วมองลงมาที่ใต้หล้า ข้าก็จะขึ้นไปชมทิวทัศน์อยู่เคียงข้างเจ้าได้ ต่อให้หยางชิ่งลาดกว่านี้แล้วยังไงล่ะ แผนการเยอะแล้วยังไงล่ะ? ข้าก็จะมองลงมา ปล่อยให้เขากระโดดโลดเต้นไป ในสายตาข้า สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นของเด็กเล่น ต่อให้เขากระโดดสนุกกว่านี้แล้วยังไงล่ะ? เขาก็เป็นแค่หินปูทางที่ให้ข้าเหยียบขึ้นไปยอดเท่านั้น เมื่อถึงตอนนั้นจะเอาไว้หรือไม่ก็ได้ ใครต้องกลัวใครกันแน่?”
“…” เหมียวอี้อ้าปากอยากจะพุดอะไรสักอย่าง
อวิ๋นจือชิวยกมือขึ้นแตะปากเขาเบาๆ “ข้าอวิ๋นจือชิวคือฮูหยินเอกคนแรกของเหมียวอี้ ในจุดนี้ไม่มีใครมาแทนที่ข้าได้ ไม่ว่าใครก็แย่งคำว่า ‘ฮูหยินคนแรก’ ไปไม่ได้ ในบ้านหลังนี้ นอกจากข้าที่คู่ควรจะเรียกเจ้าว่าหนิวเอ้อร์ ยังจะมีใครกล้ากบฏอีก?” นางใช้นิ้วชี้ไปที่ใต้เท้า ดวงตางามขับกับแสงจันทร์จนเปล่งประกายเหมือนดาราจักร มีอำนาจน่าเกรงขาม นางกล่างอย่างเปี่ยมพลังว่า “ข้าก็จะยืนอยู่ตรงนี้ ปล่อยให้เขาเรียกลมเรียกฝนมาเถอะ ปล่อยให้เขาอยู่ในลมคาวฝนเลือด ปล่อยให้เขาพลิกฟ้าดินไปสิ ข้าก็ตั้งตระหง่านไม่สั่นคลอนอยู่ดี!”
น้ำเสียงที่หยิ่งผยองและสูงต่ำมีจังหวะทำให้คนได้สติกลับมา!
เหมียวอี้มองนางด้วยความตะลึง เขาพบว่าชั่วพริบตานี้บนร่างกายอวิ๋นจือชิวระเบิดสง่าราศีที่พิเศษออกมา!
บุคลิกแบบนั้นทำให้คนทึ่งมาก มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ มีพลังกลืนกินดาราจักร ทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ในห้วงฝันอย่างฉับพลัน
และสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ใต้คอเสื้อตรงหน้าอกเขา ลุกประคำสีเขียวเข้มนั้นเปล่งแสงสลัวออกมาแล้วเช่นกัน
“หนิวเอ้อร์! มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าต้องรู้ว่า สิ่งที่เป็นของข้า ไม่ว่าใครก็แย่งไปไม่ได้ ปล่อยให้หยางชิ่งฉลาดล้ำโลก มีอุบายยอดเยี่ยม ต่อให้มีหยางชิ่งหมื่นคนก็ทำไม่ได้อยู่ดี! ถ้าเขาทำได้จริงๆ ข้าก็ไม่แพ้ด้วยน้ำมือเขาแน่นอน ถ้าจะแพ้ก็แพ้ด้วยน้ำมือเจ้าหนิวเอ้อร์ จะแพ้ก็เพราะหนิวเอ้อร์คิดจะทิ้งข้า ตราบใดที่หนิวเอ้อร์ยืนหยัดที่จะยืนอยู่ข้างหลังข้า หนุนหลังให้ข้า อุบายกระจอกๆ ก็เป็นแค่เรื่องธรรมดา ข้าไม่กลัวใครทั้งนั้น! จ้านหรูอี้แล้วยังไง? อิ๋งจิ่วกวงวางแผนกบฏแล้วยังไง? ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินแยก ตราบใดที่ประมุขชิงคอยกันให้นาง มีใครแตะต้องจ้านหรูอี้ได้สักนิดมั้ยล่ะ? หยางชิ่งกระจอกๆ คนเดียวเพียงพอให้กลัวด้วยเหรอ? แม้เขาจะเฉียบแหลมปราดเปรียว แต่ก็เป็นแค่บ่าวไพร่ที่ถ่วงม้าลงมาให้นายท่านเหยียบ ขนาดฮูหยินอย่างข้ายังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แล้วนายท่านยังจะกลัวเขาอีกเหรอ? จิตใจของนายท่านจะสู้ฮูหยินข้างข้าไม่ได้เชียวเหรอ?”
ใช่แล้ว! เหมียวอี้ตาเป็นประกาย จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนโดนน้ำสาดเรียกสติ ตราบใดที่ศักยภาพของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พลังที่จะปกป้องอยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวก็จะมั่นคงเช่นกัน โอกาสที่จะถูกกำลังอันป่าเถื่อนทำร้ายก็ยิ่งต่ำ ยิ่งหยางชิ่งฉลาดหลักแหลมเท่าไร ถ้ามองจากอีกบางมุม ก็ยิ่งเพิ่มพลังปกป้องให้อวิ๋นจือชิวได้มากเท่านั้น ตราบใดที่ตนปกป้องอวิ๋นจือชิวได้ อุบายตื้นๆ ที่คอยรบกวนก็จะไม่มีประโยชน์เลย นอกเสียจากตัวเองจะไม่เชื่อใจอวิ๋นจือชิวเท่านั้น ควรใช้สิ่งนี้เตือนสติตัวเองไว้!
พอคิดได้แบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็อดทึ่งไม่ได้ นี่หยางชิ่งวางแผนกับอวิ๋นจือชิว หรือว่าอวิ๋นจือชิวกำลังวางแผนกับหยางชิ่งกันแน่ คนหนึ่งเฉียบแหลมไร้ที่เปรียบ อีกคนใจกว้างดั่งมหาสมุทรต่อให้คนแรกจะเล่นลูกไม้เป็นร้อยอย่าง แต่ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาทั่วไปเหมือนดอกไม้บานดอกไม้ร่วงอยู่ในโลกของอีกคนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เหมียวอี้แอบตระหนักบางอย่างได้ ในใจรู้สึกอับอายเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะโดนหยางชิ่งปั่นสติปัญญา ไม่น่าเชื่อว่าจิตใจจะสู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะกุมหมัดคารวะอวิ๋นจือชิว “เหมียวอี้จิตใจไม่กว้างเท่าฮูหยิน! พอได้ฟังคำพูดพวกนี้จากฮูหยินแล้ว เหมียวอี้ก็กระจ่างในฉับพลัน!”
เมื่อเห็นเขาสีหน้าสดใส อวิ๋นจือชิวก็ยิ้มบางๆ นี่ก็คือสาเหตุที่นางดึงดันจะให้เขาวางงานเอาไว้ก่อนแล้วออกมาเดินเล่น ถ้าเอาแต่คิดเรื่องพฤติกรรมของหยางชิ่งตลอด ถ้ามีสภาพจิตใจแบบนั้นแล้วจะติดต่อกับหยางชิ่งได้อย่างไร อารมณ์แบบนั้นส่งผลกระทบต่อเรื่องอื่นเช่นกัน
ใครจะคิดว่าหลังจากนั่งยิ้มแล้ว ก็เลิกคิ้วบอกอีกว่า “อย่ามาเล่นลูกไม้นี้หน่อยเลย ข้าไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น ข้าก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง! ข้าจะบอกกับเจ้าจากใจจริงเลยนะ ถ้าจูเก๋อชิงล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ต้องรอให้หยางชิ่งกำจัดนางรอง ข้านี่แหละที่จะฆ่านางเอง! นอกจากนี้ ข้าก็ไม่อยากเห็นผู้หญิงแบบนั้นคนที่สองปรากฏอยู่ข้างกายเจ้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะทำให้นางกลายเป็นจูเก๋อชิงคนที่สอง! ก็อย่างที่บอก ถ้าข้าไม่อนุญาต ผู้หญิงคนอื่นก็เลิกคิดได้เลยว่าจะเข้าบ้านนี้ เจ้าเองก็อย่าทำให้ข้าเกิดความคิดบิดเบี้ยวอะไร ข้าไม่ตกหลุมพรางหรอก!”
ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นผู้หญิงปากร้ายไปแล้ว!
เหมียวอี้ที่เพิ่งอารมณ์ดี ตอนนี้สีหน้านิ่งขรึมลงทันที ในหัวเขามีเงาของหวงฝู่จวินโหรวแวบผ่านเข้ามา ที่จริงเขาเคยคิดว่าจะทำให้หวงฝู่จวินโหรวเข้ามาอยู่ในครอบครัวได้อย่างไร คงจะไม่ให้คำชี้แจงต่ออีกฝ่ายไปทั้งชีวิตไม่ได้ เดิมทีภูมิหลังของหวงฝู่จวินโหรวก็มีปัญหาอยู่แล้ว เขายังคิดว่ารอให้ตัวเองมีศักยภาพแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยแก้ปัญหา แต่ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะเอาก้อนหินมากดเรื่องนี้ไว้ เอามากดไว้ก้อนแล้วก้อนเล่า ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ถึงจะพลิกขึ้นมาได้
แต่ปากเขากลับไม่ยอมรับ แสยะยิ้มบอกว่า “เจ้าคิดมากไปเอง!”
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น! เอาล่ะ นายท่านยังมีงานมากมายต้องจัดการ ข้าไม่รบกวนแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งท้ายแล้วลอยลงจากแท่นสังเกตการณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปในลานบ้านลึก เสวี่ยเอ๋อร์เดินตามไป เชียนเอ๋อร์เงยหน้ามองอยู่ด้านล่าง กำลังรอเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่อยู่บนแท่นสังเกตการเดินมาริมระเบียง ขณะมองเงาร่างที่เดินเข้าไปในลานบ้าน เขาก็ค่อนข้างพูดไม่ออก ก่อนหน้านี้คนที่บอกให้เขาวางงานไว้แล้วออกมาเดินเล่นก็คือนาง ตอนนี้คนที่บอกให้เขาไปทำงานแล้วตัวเองหนีไปก่อนก็คือนางเช่นกัน
แต่เขาก็หันกลับมาทอดสายตามองราตรีที่กว้างไกล ความกลัดกลุ้มในใจหายไปหมดแล้ว เรื่องที่คิดวนเวียนก็วางลงแล้ว นอกจากจะรู้สึกกระปรี้กระเป่าไปทั้งตัว ทั้งยังรู้สึกกล้าหาญชาญชัยมากขึ้นด้วย กำลังคิดว่าการระบายอารมณ์บนร่างกายอวิ๋นจือชิวนั้นได้ผลไม่เลวเลย พอนึกถึงท่าทางขอร้องจะเป็นจะตายของอวิ๋นจือชิวตอนอยู่ในห้องอาบน้ำก่อนหน้านี้ เขาก็ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์…
ตลาดผี โคมไฟสลับสีสันแพรวพราว ในทะเลสาบสะท้อนแสงไฟ เรือแล่นไปเล่นมา
ตึกศาลาสัตยพรต ริมหน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่สูง ใบหน้าของเฉาหม่านซ่อนตัวอยู่ในความมืด
พายุหนึ่งลูกพัดผ่านไปแล้ว เขาย่อมกลับมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ในมือเขากำระฆังดาราไว้แน่น สำหรับเขา เหมือนว่าจะมีพายุอีกลูกมาเยือนเร็วๆ นี้
อิ๋งจิ่วกวงโดนโค่นล้มอย่างกะทันหัน นำความสะเทือนใจมาสู่เขา เขารู้อย่างชัดเจนมาก พวกพี่น้องออกแรงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ออกแรงมากเพื่อช่วยเซี่ยโห้วลิ่งเลย กลัวว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะทำซี้ซั้วแล้วพวกเขาจะติดร่างแหซวยไปด้วย เขาเองก็หลบเลี่ยงไปแล้วเช่นกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยโห้วลิ่งจะโค้นล้มอ๋องสวรรค์อิ๋งที่มีชื่อเสียงบารมีสะท้านใต้หล้ามาหลายปีได้ จัดการได้อย่างง่ายดาย โจมตีจนอิ๋งจิ่วกวงไม่มีแรงจะโต้ตอบ ทำลายล้างได้ในรวดเดียว!
อาศัยแรงฝ่ายศัตรูโจมตีศัตรู ชนะได้อย่างหมดจดเรียบร้อย!
ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็รู้ถึงสถานการณ์ในสวนต้องห้ามแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งที่ก่อคลื่นยักษ์กลับนอนอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น เวลาบัญชาการก็ทำตัวสบายๆ เหมือนทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ดีดกู่ฉินอย่างเอ้อระเหย โบกสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่หยี่ระ ขณะที่ทำตัวสูงส่งสง่างามก็ทำให้โลกภายนอกพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน บีบให้ยักษ์ใหญ่แห่งยุคจบชีวิตลงด้วยความคับแค้น
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาย่อมรู้ว่าตัวเองประเมินเจ้ารองต่ำไป รู้สึกละอายที่เทียบไม่ติด ตอนนี้เหมือนเขาจะเข้าใจแล้วว่าทำไมบิดาถึงให้เจ้ารองรับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าตระกูล บิดามีสายตาในการมองคนที่ค่อนข้างแม่นยำ
ในตอนนี้ คนที่เคยถูกเรียกรวมไปอยู่ในสวนต้องห้ามของจวนตระกูลเซี่ยโห้ววันนั้น หลังจากเข้าใจความจริงแล้ว เข้าใจแล้วว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีใครมีความมั่นใจที่จะแอบนินทาเจ้ารองอีก เพราะต่างก็ตะลึงค้างกับความสง่างามของเจ้ารองยามพลิกแพลงสถานการณ์ราวกับพลิกมือคว่ำเมฆหงายมือเสกฝน
เขาเชื่อว่าพี่น้องคนอื่นที่หลบอยู่ในที่ลับก็ตกตะลึงเหมือนเขา แต่ตอนนี้ในใจเขากลับรู้สึกหนาว เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ข่าวจากเจ้าหก บอกให้เขาระวังตัวไว้ พร้อมทั้งเตือนพี่น้องคนอื่นให้ระวังตัวด้วยเช่นกัน!
………………
Related