ด้านนอกตำหนักยังคงต่อสู้กันอย่างร้อนระอุ แต่บรรยากาศภายในตำหนักกลับทั้งหนักและเย็น เงียบกริบไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ
เยี่ยหลีมองหนานจ้าวอ๋องที่สูงกว่าตนเกือบหนึ่งช่วงหัวด้วยสีหน้าเรียบเฉย บนใบหน้าอ่อนหวานดูมีแววขอโทษ ประหนึ่งรู้สึกผิดจริงๆ ที่จับตัวหนานจ้าวอ๋องไว้เช่นนี้ แต่กริชที่จออยู่ที่คอหนานจ้าวอ๋องกลับดูไม่มีแววว่าจะขยับออกไปแม้แต่น้อย
หนานจ้าวอ๋องที่รับรู้ถึงปลายกริชอันแข็งแย็นที่กดอยู่ที่ผิวคอ ก็ถึงกับเหงื่อแตกและขนลุกไปหมด “ชายาติ้งอ๋อง ท่านคิดจะทำอันใดกันแน่”
เยี่ยหลีเหลือบมององค์หญิงฉางเล่อที่นั่งอยู่กับพื้น ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “เหตุใดหนานจ้าวอ๋องถึงต้องแสร้งถามด้วย ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ”
“ท่านทำเพื่อแม่สาวน้อยคนสวยนี้หรือ” หนานจ้าวอ๋องดูเหมือนจะไม่เชื่อ แม่นางน้อยตรงหน้านี้เป็นองค์หญิงแห่งต้าฉู่ มิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับซีเป่ย หนานจ้าวอ๋องย่อมไม่เชื่อว่า ชายาติ้งอ๋องจะลงทุนลงแรงมากมายเช่นนี้เพื่อองค์หญิงที่ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับตน “ถึงแม้นางจะเป็นองค์หญิงแห่งต้าฉู่ แต่นางหาได้มีคุณค่าอันใดกับฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ไม่ ฮ่องเต้ได้มอบนางให้กับข้าแล้ว”
เมื่อคิดไปคิดมา หนานจ้าวอ๋องก็คิดได้แค่เพียงว่า ชายาติ้งอ๋อง ต้องการจับตัวองค์หญิงฉางเล่อไปเพื่อข่มขู่ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ ผู้ใดใช้ให้คนในใต้หล้าต่างรู้กันทั่วเล่าว่า ติ้งอ๋องและฮ่องเต้แห่งต้าฉู่มีความแค้นฝังลึกต่อกัน
“เรื่องนี้คงไม่ลำบากให้หนานจ้าวอ๋องต้องเป็นห่วง ข้าต้องการเพียงให้หนานจ้าวอ๋องบอกข้าว่า ข้าสามารถนำตัวองค์หญิงฉางเล่อไปได้หรือไม่ก็พอ” เยี่ยหลีมิได้ปฏิเสธคำพูดของเขา เพียงเอ่ยขึ้นเรียบๆ เท่านั้น
หนานจ้าวอ๋องหัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ง “สาวงามที่ผู้อื่นมอบให้ เดิมทีพระชายาอยากได้ตัวนางไปก็มิได้มีอันใดหรอก เพียงแต่…พระชายาเข้าออกวังหนานจ้าวได้อย่างใจคิดเช่นนี้ คิดว่าหนานจ้าวไม่มีผู้ใดอยู่แล้วหรือไร ข้าขอให้พระชายารีบวางอาวุธลงเถิด ข้าจะเห็นแก่หน้าของติ้งอ๋องไม่ทำอันใดพระชายา มิเช่นนั้นหากอีกเดี๋ยวองครักษ์เข้ามา พระชายาคงจะปลีกตัวออกไปได้ไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว”
หนานจ้าวอ๋องก็ดูจะมิได้ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนั้น เยี่ยหลีลอบคิดอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับระบายยิ้มน้อยๆ “ข้าเกรงว่าองครักษ์คงไม่มีโอกาสได้เข้ามา”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่เสียงต่อสู้ที่ด้านนอกค่อยหยุดลง ก่อนหน้านี้หนานจ้าวอ๋องยังยิ้มอย่างได้ใจ แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง หากองครักษ์ของหนานจ้าวชนะ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเอ่ยรายงานจากด้านนอกตำหนัก แต่ยามนี้ด้านนอกตำหนักกลับเงียบกริบ คนที่อยู่ภายในตำหนักกลับไม่ได้ยินเสียงอันใดเลยแม้แต่น้อย
หนานจ้าวอ๋องหน้าถอดสี เอ่ยว่า “ในวังหนานจ้าวของข้ามีองครักษ์อยู่พันนาย ในเมืองหนานจ้าวก็มีทหารฝีมือดีประจำการอยู่อีกแปดพันนาย พระชายาคิดว่าพวกท่านจะหนีไปได้หรือ”
ทหารฝีมือดีแปดพันนายนั้น เกรงว่าคงจะไม่มีเวลาเข้ามาอารักขาในวัง” เยี่ยหลียิ้มหึหึเอ่ยกับหนานจ้าวอ๋อง “หนานจ้าวอ๋องลืมไปแล้วหรือว่า คืนนี้ยังมีเหตุการณ์สำคัญอื่นอยู่อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานจ้าวอ๋องก็ดูจะสะดุ้งตกใจไปเล็กน้อย สีหน้ายิ่งดูแย่ลงไปอีก เขาจะลืมได้อย่างไรว่าคืนนี้ ซูม่านหลินจะลงมือจัดการองค์หญิงอันซี เขาลอบนำป้ายคำสั่งเคลื่อนกำลังพลในเมืองหนานจ้าวให้กับซูม่านหลิน หากเป็นยามนี้ก็คง…
เยี่ยหลีระบายลมหายใจเอ่ยว่า “ในวังนี้ก็ต่อสู้กันมาพักใหญ่แล้ว แต่นอกจากองครักษ์ที่รักษาการณ์อยู่ในวังบรรทม ก็ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาอารักขาเพิ่มเติมอีก หนานจ้าวอ๋องลองเดาดูก็ได้ว่า พวกเขาไปอยู่สียที่ใดกัน”
หนานจ้าวอ๋องพูดอันใดไม่ออก “เจ้าจะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่เจ้าเถิด”
เยี่ยหลีแย้มยิ้มน้อยๆ “ข้าจะฆ่าหนานจ้าวอ๋องได้อย่างไร ข้าเพียงแค่ต้องการนำสาวน้อยนิรนามผู้หนึ่งออกไปจากเมืองหนานจ้าวเท่านั้น หากพ้นคืนนี้ไป เชื่อว่าองค์หญิงอันซีคงจะไม่ซักไซร้ถามข้าเรื่องนี้อีก มิตรไมตรีระหว่างหนานจ้าวกับซีเป่ยของข้าก็จะสืบทอดกันต่อไปอีกนานแสนนาน”
นางพูดว่าองค์หญิงอันซีจะไม่ถือสา มิใช่หนานจ้าวอ๋อง ความหมายที่แฝงอยู่นั้น หนานจ้าวอ๋องย่อมเข้าใจดี เมื่อพ้นคืนนี้ไป แคว้นหนานจ้าวจะมิได้ขึ้นอยู่กับหนานจ้าวอ๋องอีก
หนานจ้าวอ๋องกัดฟันเอ่ยว่า “ตำหนักติ้งอ๋องให้ความช่วยเหลืออันซี!”
“เดิมทีมิใช่ แต่ตอนนี้ใช่แล้ว” เยี่ยหลีไม่กลัวว่าตนจะล่วงเกินหนานจ้าวอ๋อง การล่วงเกินหนานจ้าวอ๋องไม่ส่งผลอันใดต่อความสัมพันธ์ระหว่างหนานจ้าวและซีเป่ยอีกแล้ว ด้วยเพราะหลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป ไม่ว่าผู้ใดจะแพ้ผู้ใดจะชนะ อำนาจที่แท้จริงของหนานจ้าว จะตัดขาดออกจากหนานจ้าวอ๋องโดยสมบูรณ์ หากองค์หญิงอันซีชนะ ด้วยบทเรียนจากคราที่แล้ว เชื่อว่าองค์หญิงอันซีคงไม่ยอมโอนอ่อนให้กับซูม่านหลินและหนานจ้าวอ๋องอีก หากซูม่านหลินชนะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หนานจ้าวอ๋องก็จะกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดของซูม่านหลิน หรือถานจี้จือโดยสมบูรณ์ สิ่งที่หนานจ้าวอ๋องทำผิดก็คือ การเลือกที่จะร่วมมือกับม่อจิ่งฉี บางทีม่อจิ่งฉีอาจคิดอยากร่วมมือกับหนานจ้าวอ๋องจริงๆ แต่คนที่เขาส่งมา ไม่ว่าจะหลิ่วกุ้ยเฟยหรือเสนาบดีหลิ่ว ดูแล้วคงไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ กับหนานจ้าวอ๋อง
“นังแพศยา!” หนานจ้าวอ๋องกัดฟันด่าทอด้วยความโกรธ
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อยมองหนานจ้าวอ๋อง เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “ข้ามีข้อสงสัยข้อหนึ่งที่ไม่เข้าใจมาตลอด ยามนี้องค์หญิงอันซีเป็นองค์หญิงเพียงองค์เดียวที่อยู่ภายใต้ชื่อหนานจ้าวอ๋อง อีกทั้งองค์หญิงอันซียังบริหารแคว้นได้เป็นอย่างดี ทั้งยังไม่กระหายในอำนาจ การมีบุตรสาวเช่นนี้ หนานจ้าวอ๋องควรจะดีใจถึงจะถูก เหตุใดหนานจ้าวอ๋องถึงได้คอยช่วยซูม่านหลินให้งัดข้อกับองค์หญิงอันซีหรือ”
การให้ธิดาเทพที่เดิมทีควรได้รับการเทิดทูนแต่ไม่มีอำนาจแท้จริงใดๆ ให้กลายมาเป็นคนที่ยามนี้สามารถข่มขู่คนที่มีฐานะเป็นรัชทายาทหญิงได้นั้น หนึ่งในสาเหตุจะต้องหนีไม่พ้นความช่วยเหลือจากหนานจ้าวอ๋องอย่างแน่นอน ต่อให้ซูม่านหลินก็เป็นธิดาของหนานจ้าวอ๋อง ต่อให้หนานจ้าวอ๋องรักใคร่โปรดปรานซูม่านหลินมากกว่าสักหน่อย แต่ก็คงไม่ถึงกับเกลียดชังองค์หญิงอันซีถึงเพียงนี้
หนานจ้าวอ๋องดูอึ้งไป เห็นได้ชัดว่า คำถามที่เยี่ยหลีถาม เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เขากับบุตรสาวของตนเอง กลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร
จำได้ว่าอันซีแตกต่างจากซีสยาที่ชื่นชอบการร่ายรำร้องเพลงและมีนิสัยอวดดีมาตั้งแต่เด็กโดยสิ้นเชิง นางมีนิสัยร่าเริงแจ่มใส แต่จัดการเรื่องใดก็เป็นไปอย่างสุขุมรอบคอบ อายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีก็สามารถช่วยจัดการงานในราชสำนักได้แล้ว หลายเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส แต่เมื่อให้นางรับไปจัดการ นางกลับทำได้อย่างรอบคอบเรียบร้อย ในยามนั้นเขาเพียงรู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ให้เขาได้มีบุตรสาวที่ฉลาดเฉลียวเช่นนี้ ต่อให้เขาไม่มีพระโอรสก็ไม่เสียใจ ดังนั้นเขาถึงได้แต่งตั้งอันซีขึ้นเป็นรัชทายาทหญิง คอยมองดูอันซีที่เหน็ดเหนื่อยกับการบริหารแคว้นนี้ และได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านทั้งหลาย
แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ที่ความรู้สึกยินดีและอุ่นใจในคราแรกกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป ทุกครั้งที่เห็นชาวบ้านพบหน้าบุตรสาวแล้วต่างพากันมีสีหน้ายกย่องและเลื่อมใส ในใจเขากลับเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างประหลาด เขาลำบากลำบนปกครองแคว้นมาหลายสิบปี ชาวบ้านก็มักบอกว่านั่นไม่ดีนี่ไม่ดี แม้แต่ยามพบหน้าเขา ก็เป็นความรักความเคารพที่เต็มไปด้วยความยำเกรงและคอยจะหลบหลีก เหตุใดบุตรสาวของเขาถึงได้ในสิ่งที่ตนไม่ได้รับมาตลอดชีวิตได้อย่างง่ายดายเพียงนี้
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของหนานจ้าวอ๋อง เยี่ยหลีก็รู้สึกว่าตนเข้าใจเขาแล้ว ด้วยเพราะริษยา แต่มิใช่เพราะกังวลว่าองค์หญิงอันซีจะยึดอำนาจไป และมิใช่ว่าเขารักใคร่ซูม่านหลินมากกว่า แต่ด้วยเพราะความริษยาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น บิดาคนหนึ่งที่ริษยาบุตรสาวของตนที่มีความสามารถในการปกครองแคว้น และได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้าน ดังนั้น เขาถึงได้พยายามทำทุกวิถีทางที่จะสร้างความลำบากให้กับบุตรสาว และถึงขั้นให้ความช่วยเหลือคนอื่นในการลงมือสังหารบุตรสาวของตนเอง
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยกับหนานจ้าวอ๋องว่า “หากองค์หญิงอันซีพ่ายแพ้จริงๆ หนานจ้าวจะให้ผู้ใดเป็นผู้สืบทอด ท่านจ้าวอ๋อง ท่านคิดดีแล้วจริงๆ หรือ”
สีหน้าหนานจ้าวอ๋องเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว ลมหายใจก็ดูจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ
แล้วเยี่ยหลีก็ปล่อยหนานจ้าวอ๋อง เดินเข้าไปหาองค์หญิงฉางเล่อที่ลุกขึ้นมาเองก่อนแล้ว เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “องค์หญิง พวกเราไปกันเถิด”
องค์หญิงฉางเล่อเหลือบมองหนานจ้าวอ๋องด้วยความระแวดระวัง แต่ไม่รู้ว่าหนานจ้าวอ๋องกำลังคิดสิ่งใด สีหน้าถึงได้ดูโกรธเกรี้ยว บิดเบี้ยว และประหนึ่งไม่เห็นพวกนางกระนั้น
เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไปกันเถิด” แล้วนางก็จูงองค์หญิงฉางเล่อเดินออกไปทางประตูตำหนัก
Related